"ที่ประทับ" ของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน หลายคนอาจจะจินตนาการว่าต้องมีอาณาบริเวณกว้างขวาง ใหญ่โต หรูหราแต่สำหรับ "ที่ประทับ" ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ กลับมีอาณาบริเวณไม่มากนัก และยังตกแต่งอย่างเรียบง่าย สอดคล้องกับพระจริยวัตรของพระองค์ที่เรียบง่าย...แต่งดงามยิ่งจากถนนสุขุมวิทที่คึกคักด้วยผู้คนและยวดยานพาหนะ เลี้ยวเข้าซอยสุขุมวิท 43 (ซอยแสงมุกดา) เป็นที่ตั้งของ พระตำหนักเลอดิส ที่ประทับในสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ "เลอดิส" เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า 10 จึงหมายว่า สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ทรงประทับอยู่ ณ บ้านเลขที่ 10เดิม สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ประทับ ณ วังสระปทุม กาลต่อมาก็ทรงย้ายมาประทับ ณ พระตำหนักเลอดิส เมื่อปี 2523 ส่วนพระตำหนักวิลล่าวัฒนาซึ่งมี 6 ชั้น ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 47 สร้างแล้วเสร็จเมื่อราวปี 2540 ใช้เป็นที่ทรงงานหรือเป็นที่รับแขก และเนื่องจากซอยสุขุมวิท 45 เป็นซอยตัน จึงทำให้ทั้ง 2 พระตำหนักเป็นอาณาบริเวณเดียวกันบริเวณพระตำหนักเลอดิส ร่มรื่นด้วยเงาไม้ใหญ่ มีตำหนักแพซึ่งเคยอยู่ในวังเพชรบูรณ์ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ตั้งอยู่เป็นศาลากลางน้ำ มีเต่าอาศัยอยู่มากมายในสระน้ำนั้น ใกล้กันเป็นพระตำหนักเลอดิสซึ่งมี 2 ชั้นเป็นที่ประทับ เมื่อเดินออกไปสักนิดจะเห็นศาลาทรงงาน ซึ่งเปรียบเสมือนห้องอเนกประสงค์ห้องหนึ่ง ใช้ทำได้หลายอย่าง ผู้ถวายงานสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า พระตำหนักเลอดิส มีขนาดไม่ใหญ่ สร้างอย่างเรียบง่าย เนื่องจากไม่ทรงโปรดความหรูหรา ถ้าพูดภาษาสามัญชนคือเป็นเหมือนบ้านทั่วไป สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญทางภาษา และทรงเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนอยู่ตลอดเวลา ห้องทรงพระอักษรภายในพระตำหนักเลอดิส จึงเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายเนื้อหาที่มีจำนวนมากมาย แต่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ สมุดจดงานที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ทรงใช้ ก็เป็นสมุดจดงานแบบเรียบๆ ไม่ได้ทรงใช้สมุดราคาแพงแต่อย่างใด และบางเล่มก็เป็นสมุดจดงานที่มีร่องรอยของความเก่าสิ่งประดับตกแต่งภายในพระตำหนักเลอดิส โดยมากเป็นสิ่งของชิ้นเล็ก อาทิ ดอกไม้ต้นเล็กๆในกระถาง ตุ๊กตาเซรามิคส์รูปสุนัข เนื่องจากทรงโปรดสุนัข เป็นต้น สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ยังทรงเก็บของที่ผู้มีความจงรักภักดีนำมาทูลเกล้าฯ ถวาย ไว้อย่างเป็นระเบียบภายในพระตำหนักด้วย ส่วนด้านหลังของพระตำหนักคือกรงสุนัขทรงเลี้ยงส่วนศาลาทรงงานก็มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก ภายในมีเครื่องปรับอากาศ 2 ตัว เครื่องหนึ่งเป็นรุ่นเก่า ส่วนอีกเครื่องเป็นรุ่นใหม่ เนื่องจากเครื่องเก่าใช้งานมานานจนใช้การไม่ได้แล้วจึงเปลี่ยน หากมีคนอยู่ในศาลาเพียงไม่กี่คน สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ จะทรงโปรดให้เปิดเครื่องปรับอากาศเพียงเครื่องเดียว แต่หากมีผู้มาเข้าเฝ้ามาก ก็จะทรงโปรดให้เปิดเครื่องปรับอากาศทั้ง 2 ตัวแต่บางครั้งก็ไม่ได้ใช้เครื่องปรับอากาศทั้ง 2 ตัวเลย เนื่องจากหากวันใดอากาศไม่ร้อน สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ก็ทรงโปรดให้เปิดประตูศาลาทรงงาน เพื่อให้ลมพัดถ่ายเท หรือไม่ก็ทรงโปรดให้เปิดพัดลมคลายร้อน ถึงเวลาที่ไม่มีผู้ใดหรือคณะไหนเข้าเฝ้า พื้นที่เข้าเฝ้า ก็จะกลายเป็นที่วางเครื่องออกกำลังกาย ไว้สำหรับสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ทรงออกพระกำลังเมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคมของทุกปี และวันคล้ายวันประสูติสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ 6 พฤษภาคม สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ก็จะทรงจัดงาน โดยมีโต๊ะยาวมาวาง คลุมผ้าอย่างเรียบร้อย ไว้เป็นที่วางจำหน่ายหนังสือพระนิพนธ์เรื่องต่างๆ ผู้จำหน่ายก็จะเป็นข้าหลวงผู้ถวายงานใกล้ชิดเพียงไม่กี่คน เนื่องจากไม่ทรงโปรดใช้คนเยอะในกิจการต่างๆ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ จะทรงเรียกพระตำหนักของพระองค์ว่า "บ้าน" เมื่อมีใครมาที่พระตำหนักเลอดิส แล้วไม่รับประทานอาหารที่ทางพระตำหนักจัดเตรียมไว้ จะด้วยเกิดอาการเกร็งหรือไม่ก็ตาม สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ก็จะทรงมีรับสั่งแกมหยอกว่า "อาหารบ้านฉันไม่อร่อยรึ?.." เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงฯ ทรงมีรับสั่งขอบใจบุคคลหรือคณะที่มาเข้าเฝ้า ณ พระตำหนักเลอดิส ก็จะทรงมีรับสั่งอย่างนุ่มนวลว่า "ขอบใจนะที่มาบ้านของฉัน" สร้างความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีให้เกิดขึ้นในหัวใจของผู้ที่ได้รับฟังทั้งหมดนับว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงมีพระจริยวัตรเรียบง่ายและงดงามอย่างแท้จริง...หมายเหตุ : ขอขอบคุณ : ผู้ถวายงานสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, ดร.ดินาร์ บุญธรรม อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ นิตยสารพลอยแกมเพชรที่เอื้อเฟื้อภาพบางส่วน