รมต.กลาโหม กินข้าวบนเขาพระวิหารและปราสาทพระวิหาร
รมต.กลาโหม ท่านสุกำพล ต้องดูให้ดีเรื่องการจะไปกินข้าวกับรมต.เตียร์ บัน บนปราสาทพระวิหารครับ (ปราสาทกับเขาไม่เหมือนกัน) แม้ว่าการกินข้าวธรรมดาอาจจะไม่ใช่สาระมากมายที่อ้างเรื่องอธิปไตยในพื้นที่แถวนั้น แต่ก็ต้องระวัง เพราะอย่างกรณีเกาะ Pedra Branca ของมาเลเซีย-สิงคโปร์นั้น เหตุผลหนึ่งที่ศาลโลกยกเกาะ Pedra Branca ให้สิงคโปร์ก็เพราะเจ้าหน้าที่มาเลเซียต้องขออนุญาตสิงคโปร์เพื่อขึ้นไปบนเกาะก่อน แม้มันจะไม่ใช่เหตุผลหลักก็ตาม แต่นั่นแสดงถึงอธิปไตยของสิงคโปร์เหนือเกาะนั้นเช่นกัน แม้ว่าตอนนี้ปราสาทพระวิหารจะอยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชาแล้ว ดังนั้นต่อให้กินโต๊ะจีนกัน 7 วัน 7 คืนก็คงไม่อาจทำให้มันกลายเป็นของไทยได้ แต่กระบวนการที่ต้องระวังคือ การเข้าไปในปราสาทพระวิหาร ต้องผ่านพื้นที่เขาพระวิหารซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ก่อน ซึ่งตรงนี้ไทยอ้างสิทธิ และการจะผ่านไป ถ้ากัมพูชาเล่นเกมส์ด้วยการส่งใครมาต้อนรับแถว ๆ พื้นที่ทับซ้อนนั้น ก็อาจจะกลายเป็นว่า เราต้องขออนุญาตกัมพูชาเพื่อเข้าไปยังพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งถ้าเป็นข้าราชการธรรมดาก็คงไม่เท่าไหร่ แต่นี่เป็นถึงรัฐมนตรีของรัฐบาลไทย ถ้าปล่อยให้ภาพนี้เกิดขึ้น เราจะซวยเอาง่าย ๆ ครับ แต่ในทางกลับกัน ถ้าท่านจะย้อนรอยกัมพูชา โดยท่านสุกำพลไปแสดงการต้อนรับท่านเตียร์บันเข้ามายังพื้นที่ทับซ้อน และตีฆ้องร้องเป่าว่าเรายินดีต้อนรับท่านรมต.กลาโหมกัมพูชาสู่ประเทศไทย ตรงนี้ก็อาจจะดีก็ได้ แต่กล่าวโดยสรุปก็คือ จะกินข้าวที่ปราสาทพระวิหารนั้นกินได้ แต่ต้องระวังกระบวนการในการเดินทางไปกิน แต่ถ้าไม่ชัวร์ ผมว่าเปิดโรงแรมกินข้าวกันดีกว่าครับ
และแล้วก็มีภาพนี้ออกมาจริง ๆ กรณีท่านสุกำพล รมต.กลาโหมไปกินข้าวกับ รมต.เตียร์บัน การไปกินข้าวบนปราสาทพระวิหารนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหายและคงไม่ส่งผลอะไร เพราะปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาไปแล้ว จะกินโต๊ะจีนก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือการหารือบนวัดแก้วสิขาคีรีสวาระนี่แหละครับ วัดแก้วสิขาคีรีสวาระคือวัดที่กัมพูชาตั้งขึ้นมาบนพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. เพื่ออ้างความเป็นเจ้าของ ปัญหาก็คือการที่ รมต.กลาโหมไทยไปพบกับรมต.กลาโหมกัมพูชานั้นไปในฐานะอะไร? ฐานะเจ้าบ้านหรือฐานะแขกรับเชิญ? ถ้าเป็นฐานะเจ้าบ้าน และแสดงออกอย่างชัดเจนก็ไม่น่าห่วงอะไร แต่ถ้าไปในฐานะแขกรับเชิญ คำถามก็คือ รมต.ไทยจะเป็นแขกรับเชิญของรมต.กัมพูชาในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของไทยได้อย่างไร? ถ้ามิใช่ว่านี่คือการยอมรับว่าพื้นที่นี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจอธิปไตยของไทย? รมต.เตียร์บันผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของไทยหรือไม่? รมต.สุกำพลแสดงออกหรือไม่ว่าสุดท้ายแล้วตรงนั้นคือพื้นที่ของไทย และรมต.เตียร์บันคือแขกของไทย? กรณีนี้จะเหมือนภาพที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพไปเยี่ยมปราสาทพระวิหาร แต่กลับมีธงชาติฝรั่งเศสและเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสให้การต้อนรับ ซึ่งทำให้สุดท้ายเราเสียปราสาทพระวิหารไป และในอีกแง่ ก็จะเหมือนกรณีที่กษัตริย์สีหนุมาเยี่ยมเขาพระวิหารแล้วมีภาพถ่ายคู่กับแนวรั้วของไทย ซึ่งไทยกำลังใช้เป็นหลักฐานะว่ากัมพูชายอมรับแนวรั้วนั้นเป็นเขตแดนแล้ว นี่คือเรื่องน่าห่วง และผมขอตำหนิรมต.สุกำพลที่ปล่อยให้มีภาพแบบนี้ออกมา ความจริงกระทรวงการต่างประเทศก็ทักท้วงแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมกระทรวงกลาโหมจึงไม่ฟัง กระทรวงกลาโหมไม่น่าจะรู้ดีไปกว่ากระทรวงการต่างประเทศในเรื่องกฏหมายระหว่างประเทศ แล้วกระทรวงกลาโหมทำแบบนี้ ถ้าสุดท้ายเกิดผลเสียต่อไทย กระทรวงกลาโหมจะรับผิดชอบอย่างไร? ตรงนี้ ถ้าจะมีทางออกบ้าง กระทรวงการต่างประเทศควรออกแถลงการณ์ในนามของรัฐบาลไทย บอกว่าการพบปะของผู้นำทั้งสองเป็นการแสดงออกถึงความพยายามในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ ไทยยังยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม. นั้นอยู่ในเขตแดนของไทยและไทยยังอ้างสิทธิเสมอมา จะทำอะไรก็ต้องรีบทำนะครับ การให้การด้วยวาจาต่อศาลโลกจะเริ่มในเดือนเมษายนนี้แล้ว
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2556 |
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2556 22:42:02 น. |
|
0 comments
|
Counter : 15395 Pageviews. |
|
|
|
|
|