|
||||
ลู่หมินซีรีส์ The Writer 3 / sink 3.4 (จมรัก) ความเงียบทำให้บรรยากาศทวีความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายคนที่รุกก็ต้องยอมถอยเพราะความรู้สึกผิดอยู่ลึกๆว่าตัวเองอาจจะใจร้อนเกินไปสักหน่อย "คุณ....พักผ่อนเถอะ..พรุ่งนี้เจอกันครับ" มินซอกเม้มปากพยักหน้า ไม่สามารถจะพูดอะไรได้อีก ร่างกายที่มีเสื้อกล้ามตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นผ้ายืดพลิกตัวไปมาบนเตียงอยู่หลายรอบ จบที่นอนนิ่งเอามือก่ายหน้าผากก่อนถอนใจแล้วดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอน ระยะทางไม่เกินสิบนาทีด้วยการเดินเท้าจากบ้านไปถึงร้าน วันนี้เขาใช้เวลาเกือบสองเท่า พอหัวใจมันอึดอัดขามันก็ก้าวไม่ค่อยออก เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูหลังร้านสงบลงตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่เจ้าตัวพยายามจะลงน้ำหนักให้เบาที่สุด เบาพอที่จะโดนกลบด้วยเสียงกระทบกันของอุปกรณ์การทำขนมปังที่ดังแว่วมาจากในห้อง แต่สุดท้ายก็ต้องเคาะประตูให้ดังพอที่คนข้างในจะได้ยินก่อนเปิดเข้าไปอยู่ดี "อรุณสวัสดิ์ครับ" ลู่หานทักทายตามปกติพลางแอบสำรวจอาการของคนตัวเล็กไปด้วย ทั้งอาการทางร่างกายและอาการในจิตใจที่เจ้าตัวไม่เคยปิดได้มิด "ดื่มกาแฟก่อนมั๊ยครับ ผมเตรียมแป้งโดว์กับไส้ชุดแรกแล้วเดี๋ยวค่อยมาช่วยกันขึ้นรูป" เจ้าของร้านตัวเล็กพยักหน้าแล้วเดินออกไปนั่งรอที่ข้างซิ้งค์ด้วยความเคยชิน จนรับแก้วกาแฟมาไว้ในมือแล้วนั่นแหละถึงได้รู้สึกว่าตัวเองออกจะดูทำตัวเป็นเจ้านายมากไปหน่อย ที่ต้องมีคนคอยชงกาแฟให้ดื่มแบบนี้ ลู่หานดันตัวขึ้นนั่งข้างซิ้งค์อีกด้านที่กลายเป็นที่ประจำของเขาไปแล้ว จากนั้นต่างคนต่างก็ขังตัวเองอยู่ในภวังค์ จนน้ำชงกาแฟที่อุ่นจัดคลายลงสามารถจิบได้โดยไม่ต้องอาศัยลมปากเป่า มินซอกรู้ดีว่าลู่หานรอจังหวะที่จะเริ่มต้นเปิดบทสนทนาอยู่ เจ้าตัวจึงเลี่ยงโดยการหันมองผ่านกระจกประตูออกไปด้านนอก วางสายตาไว้ที่ไฟถนนซึ่งทำให้ห้วงความคิดดึงเหตุการณ์ในวันที่เกิดอุบัติเหตุกลับมาให้เห็นอย่างชัดเจน แววตาที่เริ่มเหม่อลอยและแผ่นหลังที่มักงุ้มลงจนเป็นเส้นโค้งตามความเคยชินดูเหมือนจะเกร็งและกดต่ำลงกว่าปกติ ทำให้ลู่หานมองด้วยความกังวล เขาขยับตัวจนชิดขอบซิ้งค์เหยียดแขนเพื่อวางมือลงที่แผ่นหลังลงน้ำหนักให้พอรู้สึกถึงสัมผัสเพื่อดึงอีกคนให้กลับมานั่งอยู่ด้วยกันในเวลาปัจจุบัน แล้วลูบหลังเบาๆรอจนมินซอกหันมายอมสบตาเขาถึงละมือออกไป
"คุณไม่เป็นไรนะ" มินซอกพยักหน้า.....สายตาที่สบกัน ความรู้สึกลึกๆข้างในที่ดวงตาโตสวยเปิดเผยให้เห็นอย่างจริงใจ ทำให้เขาขอบตาร้อนขึ้นมา พอจะก้มหน้าหลบตาอีกครั้ง คนรู้ทันก็รีบยื่นมือไปเชยคางมนให้อยู่นิ่งๆเหมือนบังคับกลายๆไม่ให้ละสายตาไปไหน มินซอกกลืนน้ำลายยากเย็นเพราะความรู้สึกแน่นๆที่ขวางอยู่ตรงคอ เขายืดตัวตรงเชิดคางนิดๆให้อีกคนรู้ว่าจะไม่หลบตาอีก คางมนจึงเป็นอิสระ "ผมขอโทษที่พูดจาใช้อารมณ์กับคุณมากไปหน่อย" ลู่หานเปรยแล้วเว้นจังหวะอยู่พักใหญ่ "ผมเป็นห่วงคุณมาก" "ไม่เป็นไร..แล้วก็ขอบคุณที่เป็นห่วง" "คุณปฏิเสธผมแต่ยอมไปกับเพื่อน แล้วผมก็มั่นใจว่าคุณคิดว่าผมไปกับแฟน แล้วคุณก็ยังมาเกิดอุบัติเหตุอีก มันทั้งเสียใจทั้งกังวลทั้งกลัว ถึงคุณจะไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ผมก็กลัวอยู่ดี" มินซอกมองนิ่ง แต่ในหัวและในหัวใจทั้งยุ่งเหยิงและสั่นไหว "ผมเคยมีแฟน....แต่เขาเสียไปนานแล้ว เขาช่วยเด็กที่จะจมน้ำ..." นักเขียนหนุ่มหยุดกระแอมเบาๆเป็นการสงบใจตัวเองไปด้วย "แต่พอส่งเด็กถึงมือผู้ปกครองได้ ตัวเขาเองก็โดนคลื่นลูกใหญ่ม้วนเอาตัวออกห่างฝั่งไปอีก มันเป็นวันที่นิยายเล่มแรกของผมวางขาย ผมโทรไปหาเขาด้วยความดีใจ แต่ตำรวจเป็นคนรับสาย" มินซอกหน้าเสีย ยิ่งเห็นสีหน้าของลู่หานที่เป็นแบบเดียวกับที่สนามเด็กเล่นวันนั้น ยิ่งรู้สึกแย่ที่เหมื่อนเขาเอาแต่คิดถึงความรู้สึกของตัวเอง อยากจะพูดแสดงความเสียใจแต่ก็ละอายใจตัวเองเหลือเกิน "แฟนผมเป็นผู้ชาย คนที่คุณเห็นที่สวนสนุกเป็นน้องสาวเขา พอดีเธอโทรหาผมบอกข่าวว่ากำลังจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ ผมเลยถือโอกาสพาเธอไปสวนสนุก เพราะพวกเราสามคนก็เคยไปกันมาแล้วและเธอก็ชอบมากๆ" ทั้งที่รู้ว่าวันนี้จะต้องมีเรื่องให้หัวใจทำงานหนักแต่มินซอกก็คิดไม่ถึงว่ามันจะหนักจนทำร่างกายควบคุมไม่ค่อยได้ไปด้วย เขาย้ายสายตามามองเท้าตัวเองที่ลอยอยู่เหนือพื้นที่ตอนนี้สามารถใส่ผ้าใบคู่เก่งได้แล้ว คิดว่าจะใช้เวลาคุยกับความคิดของตัวเองซักนิดให้ความวุ่นวายสับสนลดลงบ้าง แต่ลู่หานก็ไม่ให้โอกาสเขาเลย "ผมไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถรักใครได้อีก แต่ถ้าผมเปลี่ยนใจ มันก็เป็นเพราะคุณนะ" ดวงตาโตปลายรีเบ่งกว้างแต่กลับเห็นเท้าของตัวเองกลายเป็นภาพเบลอๆ ข้อมูลใหม่ทำเอาหัวใจที่เต้นเร็วเพราะต้องเร่งสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองที่เหมือนถูกฟรี๊ซกระทันหัน ลู่หานวางแก้วกาแฟ เหยียดขาลงเตะพื้น เดินมาหาคนที่เอาแต่ก้มหน้าอุ้งมือสองข้างบีบเข้าหากันจนน่ากลัวว่าแก้วกาแฟจะแตก ชายหนุ่มประกบมือเล็กเอาไว้แล้วพยายามคลายนิ้วที่แรงกดไล่เลือดออกไปจนผิวซีด ค่อยๆดึงแก้วกาแฟออกมาวางให้ห่างตัว เชยคางให้ยกขึ้น ดวงตาที่น้ำใสๆเอ่อยู่มองกลับมาแบบกล้าๆกลัวๆ ระยะห่างขยับใกล้เข้ามาจนปลายจมูกชนกัน มินซอกหลับตาเผลอกลั้นหายใจ จนแก้มที่ยังช้ำบวมได้รับสัมผัสอุ่นๆจากริมฝีปาก เจ้าตัวก็หดคอหนีด้วยสัญชาตญาณ แล้วจู่ๆสัมผัสลางเลือนในวันที่เมาแทบไม่ได้สติก็ชัดเจนขึ้นมา....สัมผัสแบบเดียวกัน เขาจำได้ ....จำได้ แต่คงทำอะไรไม่ได้ เพราะร่างกายของเขาตอนนี้เหมือนขึ้นอยู่กับคำพูดและการกระทำของอีกคน ใบหน้าที่ยังวนเวียนอยู่ในระยะที่ตาพร่ายังไม่ยอมขยับถอย ซ้ำยังกดริมฝีปากลงตามจุดต่างๆที่เป็นรอยถลอกเล็กๆและรอยช้ำเป็นจ้ำแดง ทำราวกับว่าที่ริมฝีปากตัวเองมียาวิเศษช่วยสมานแผลและความเจ็บให้คลายลงในทุกจุดที่ได้สัมผัส ตอหนวดที่ไล้โดนผิวหน้าไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บหรือจั๊กจี้ เพราะความรู้สึกหน่วงๆมวนๆที่ท้องน้อยแต่ทำให้เหมือนตัวจะลอยเสียให้ได้มีอำนาจเหนือทุกความรู้สึกในตอนนี้ กดประสาทให้เคลิบเคลิ้ม และหัวใจให้หวิวไหว สมองที่คิดอะไรวุ่นวายไปหมดถูกดึงความสนใจกลับมา เมื่อร่างที่ยืนแนบอยู่กับเค้าท์เตอร์ตรงกลางหว่างขาของเขาขยับหน้าออกแค่พอให้สามารถโฟกัสใบหน้าของกันและกันได้ "ผมขอโทษที่เคยจูบคุณโดยพละการ แต่วันนี้ผมจะขอคุณก่อน ...ขอได้มั๊ยครับ" เหมือนตอกย้ำให้ภาพชัดเจนขึ้นไปอีก แก้มสีระเรื่อก็ขึ้นสีชัดตามไปด้วย มินซอกเผลอเลียริมฝีปากไม่รู้ตัว แล้วก็อยากจะตีตัวเองแรงๆที่ทำท่าเหมือนเชิญชวนแบบนั้น แต่จะปฎิเสธก็พูดไม่ออกจะบอกอนุญาตก็กระดากใจ แต่ลู่หานก็รู้ทันซะเหลือเกิน "นับหนึ่งที่สามในใจถ้าอนุญาตก็พยักหน้านะครับ" "จะบ้าตาย" มินซอกมีแต่คำนี้อยู่ในหัว ถ้าพลังวิเศษมีจริงเขาอยากจะฟรี๊ซตัวเองให้ไร้ความรู้สึกไปเลย เพราะหัวใจทำงานหนักจนเจ็บในอกไปหมดแล้วและส่งเสียงดังรบกวนสมาธิจนทำให้คิดอะไรไม่ออก แต่สุดท้ายก็นับหนึ่งถึงสามในใจแล้วพยักหน้าตอบไปแบบที่ไม่เข้าใจตัวเองสักนิด ยังไม่ทันได้เงยหน้าด้วยซ้ำ ลู่หานก็ก้มลงมาหาเอียงหน้าในมุมแหงนเพื่อเอาปากตัวเองประกบกับปากคนที่นั่งบนเค้าเตอร์ ออกแรงดันจนมินซอกกลับมานั่งตัวตรงๆ และกดน้ำหนักมากขึ้นไปอีกจนคนโดนจู่โจมต้องยอมเปิดปากรับ ฟันที่กระทบโดนกัน ลิ้นที่โดนบดเบียดจนต้องพยายามหดหนีในบางครั้ง ริมฝีปากที่โดนดูดและคลายในจังหวะที่แทบหายใจไม่ทัน เสียงหอบครางเบาๆที่กลั้นเอาไว้ไม่ได้ ทำให้ร่างเล็กโงนเงนทั้งที่นั่งอยู่ ลู่หานจึงขยับวงแขนที่โอบแค่เอวขึ้นมาช้าๆเอามือประคองท้ายทอยไว้ แทรกนิ้วไปตามกลุ่มผมนุ่มทำให้อารมณ์ยิ่งเตลิดจนยากที่จะควบคุม มืออีกข้างจึงตามสอดเข้าไปในชายเสื้อยืดสีน้ำตาลแดงโอเวอร์ไซส์ลากช้าๆจากแผ่นหลังลงไปที่เหนือสะโพกต่อเนื่องไปถึงท้องน้อย มินซอกเกร็งหดตัวหนีมือแต่ลู่หานก็ยังไปต่อจนถึงเนื้อนูนเล็กที่อกทั้งสองข้าง เขาไล้สลับไปมาแล้วหยุดมือไว้ที่ข้างซ้ายกดเน้นคลึงเบาๆวนไปมาจนร่างเล็กกระตุก คนที่ถูกไล่ต้อนพลิกหน้าหนีเพื่อปลดล็อกริมฝีปากที่ประกบแน่นให้คลายออก เขาหอบจนตัวโยน ลู่หานจึงต้องยอมละมือแต่ก็ยังตามไปจูบเบาๆที่มุมปาก คาง และปลายจมูกแล้วถึงขยับตัวออกมองริมฝีปากแดงฉ่ำที่ยังเผยอค้าง แก้มสีเดียวกันและดวงตาที่หลุบต่ำเห็นเส้นปลายตาเฉียงขึ้นนิดๆ เขายิ้มและพยายามข่มอารมณ์ตัวเองไปด้วย "เราไม่โกรธกันแล้วนะ" "ผม...ผมไปโกรธคุณเมื่อไหร่" หลบตาเพราะเขินอยู่ดีๆก็หันมาเบ่งตาใส่เถียงเสียงแข็ง "อ้าว..ผมเข้าใจผิดเหรอเนี่ย งั้นผมให้คุณจูบคืนดีมั๊ยครับ" ลู่หานได้ใจเย้าต่อ "คุณนี่...." มินซอกขมวดคิ้ว เม้มปากแน่น แล้วดันไหล่ลู่หานให้พ้นทางรีบลงจากเค้าเตอร์แต่ก็เกือบเข่าทรุดเพราะอารมณ์ภายในที่ยังปั่นป่วนอยู่ แต่ก็พยายามฝืนตัวเดินฉับๆเข้าห้องทำขนมไป ลู่หานส่ายหัวขำๆแล้วรีบเดินตาม ถ้าไม่ติดว่ายังมีแป้งขนมปังรอให้จัดการให้เสร็จสิ้น ก็ไม่แน่เหมือนกันว่ายิ่งเดินหนีอาจจะยิ่งโดนดีรึเปล่า พอถึงเวลาที่ลูกจ้างกับนายจ้างต้องยุติบทบาทต่อกัน ก็มีแค่คำลาสั้นๆง่ายๆกับรอยยิ้มเท่านั้น เพราะในตอนนี้สัญญาจ้างกลายเป็นสัญญาใจไปแล้ว คืนที่ไม่มีใครนอนเฝ้าร้านด้วยกัน ห้องข้างๆไม่มีคนอยู่แล้ว มินซอกตื่นก่อนเสียงปลุกตามเวลาประจำ พลิกตัวอยู่บนเบาะเล็กๆที่วางกับพื้นในห้องที่มีพื้นที่พอให้วางราวแขวนผ้า โต๊ะญี่ปุ่นและตู้เก็บสัมภาระหลังย่อมๆ ก็เกือบจะไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้เดินแล้ว มีแต่เสียงถอนหายใจปนอยู่กับเสียงรถจากถนนใหญ่ที่แว่วมาเป็นครั้งคราว แล้วจู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูแทรกเข้ามา ร่างเล็กลุกพรวด เพ่งไปที่ประตูแล้วนึกย้อนไปตอนปิดร้าน ทวนกับตัวเองว่าล็อกประตูทุกบานเรียบร้อยรึเปล่า ใจนึงก็คิดว่าถ้าเป็นโจรงัดแงะก็คงไม่เคาะประตู อีกใจก็คิดว่าถ้าเป็นผีก็คงไม่เคาะประตูเหมือนกัน เขายีหัวตัวเองเพราะชักจะฟุ้งซ่านกันไปใหญ่ จนสิ่งมีชีวิตหน้าประตูส่งเสียง "ผมเองนะ เอากุญแจมาคืนครับ" มินซอกแทบจะถอนใจหมดไส้หมดพุง รีบลุกไปที่ต้นเสียง ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ ค่อยๆแง้มจนเห็นหน้าอีกคนทีละเสี้ยวเป็นภาพสโลว์โมชั่น "ผมเอง..คุณกลัวผีเหรอก็เห็นเข้าบ้านผีสิงนี่หน่า" ลู่หานถามขำๆ "ก็อันนั้นมันรู้อยู่แล้วว่าผีปลอมอะ" เถียงพลางรีบดึงกุญแจออกจากมือลู่หาน แล้วก็ทำท่าจะปิดประตู แต่อีกคนมือไวกว่าดันประตูไว้ได้ทัน "นี่อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตีสามแล้วนะ คุณยังจะนอนต่ออีกเหรอ" มินซอกอึกๆอักๆ ย่ำเท้าอยู่กับที่ไม่รู้จะเข้าห้องก่อนดีหรือลงไปทำขนมปังเลย "นอนก็คงไม่ทันแล้ว จะทำขนมปังเลยก็เร็วไป อืม..เอาไงดีน้า" ไม่ใช่แค่แกล้งพูดทำเสียงแผ่วๆต่ำๆ แต่ขยับกระชับพื้นที่แล้วดันประตูให้เปิดกว้างจนสุด มินซอกหยุดยืนนิ่งได้แต่กรอกตาไปมา กลิ่นหอมที่คุ้นเคยจากร่างกายที่จงใจขยับมาจนชิดทำให้หัวใจเพิ่มจังหวะการเต้น ตัวเริ่มเกร็งไม่เป็นธรรมชาติ จนได้ยินเสียงเสียงหัวเราะเบาๆแบบคนกลั้นขำไม่อยู่มือที่เกร็งๆอยู่นั่นก็ฟาดผัวะเข้าที่อกแบบเสียงดังฟังชัด "ก็คุณมันน่าแกล้งเองนะ ไม่ใช่ความผิดผมซักหน่อย" ลู่หานพูดพลางคว้ามือที่จู่โจมทำร้ายร่างกายเขาเอาไว้ เจ้าของร้านร่างเล็กตอบโต้กลับทางวาจาด้วยความว่องไวเช่นเคย "เพื่อนเล่นรึไงล่ะ" "ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นเพื่อนเลยนะ อยากได้เป็นแฟนมาตลอด" ลู่หานก็โต้กลับไวไม่แพ้กัน มือก็ยังค้างอยู่ที่อกเพราะคนจับยังไม่ยอมปล่อย "จะบ้าตาย" มินซอกมีแต่คำนี้วนให้หัวเหมือนเดจาวู "ผมขอเวลาเคลียร์งานซักพัก แล้วจะกลับมาถามคนที่อยากให้เป็นแฟนว่าจะยอมเป็นแฟนกับผมรึเปล่า รอผมหน่อยนะครับ" ลู่หานเปลี่ยนโทนเสียงเป็นจริงจัง ย้ายมือที่จับไว้ตรงอกให้ไปอยู่ข้างๆตัวเจ้าของ บีบเบาๆก่อนคลายมือออกแล้วหันเดินกลับไปที่บันได มินซอกมองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆลดต่ำลงตามจังหวะการก้าวลงบันได จนทั้งร่างลับสายตาไป เจ้าตัวถึงหันหลังกลับเดินมาทิ้งตัวคว่ำหน้าลงกับที่นอน เอาหน้าถูๆกับหมอนจนแก้มที่แดงอยู่แล้วแดงหนักเข้าไปอีก "โอ้ยยยยยจะบ้าตาย" คราวนี้เสียงเล็กๆแผดลั่นห้องระบายความอัดอั้น พอคลายความหน่วงลงก็เด้งตัวลุกพรวดเดินย่องไปที่หน้าต่าง กำผ้าม่านค้างอยู่ชั่วอึดใจก่อนค่อยๆแหวกออกด้วยสองมือแล้วแทรกหน้าตัวเองเข้าไปในช่องว่างระหว่างผ้าม่าน มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ไซด์เล็กสีแดงคุ้นตาจอดเยื้องไปนิดเดียว มินซอกสะดุ้งผลุบหน้าหลบเมื่อเห็นเจ้าของรถเดินพ้นชายคาร้านออกมา จะแอบดูอีกก็ไม่กล้าได้แต่ยืนรอจนได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นแล้วค่อยๆเงียบหายใป รู้สึกเหมือนใจจะหายตามไปด้วย มินซอกเดินกลับมาที่เบาะนอน คว้ากระเป๋าสตางค์ที่วางไว้ข้างหมอนมาเปิดตรงช่องซิบด้านใน หยิบห่อกระดาษเล็กๆยู่ยี่ออกมาคลี่ออก เอานิ้วลูบโลหะรูปหัวใจที่หลานชายให้ไว้ "ขวัญใจ......" เสียงเล็กๆพึมพัมกับตัวเองแล้วหน้าก็ร้อนขึ้นมาเอง วันๆคิมมินซอกถนัดเหลือเกินกับการคิดไปเองแล้วย้อนมาทำร้ายตัวเองแบบนี้ ............................................. ลู่หานพ้นสภาพพนักงานชั่วคราวไปไม่กี่วันร้านเบเกอรี่เล็กๆก็กลับมาเป็นแบบหลายเดือนก่อน มีแม่ มีลูก มีเด็กลูกจ้างที่ชื่อยุนกิ เริ่มมีขนมเค้กหลายหลายมากขึ้น ขนมปังทำจำกัดปริมาณและเฉพาะตัวที่ลูกค้านิยมเท่านั้น บรรยากาศความอบอุ่นแบบครอบครัวกลับมาแต่ก็มีบรรยากาศบางอย่างหายไป มินซอกเอาขนมปังที่คลายร้อนแล้วออกมาเรียงที่ชั้นตู้กระจกข้างประตูร้าน ลูกค้าผู้หญิงวัยทำงานสองคนที่ยืนตรงเค้าท์เตอร์คุยกันระหว่างรอยุนกิแพ็คขนมและคิดเงิน เสียงดังพอที่จะทำให้คนที่ยืนห่างไปไม่กี่ก้าวได้ยินชัดเจน "ฉันบอกแล้วให้ขอลายเซ็นตั้งแต่วันที่เจอที่สุสาน นี่คุณลู่หานเลิกทำงานร้านนี้แล้วเธอก็ต้องรอตอนงานไซน์หนังสือเล่มใหม่โน้น" "ก็ฉันไม่อยากรบกวนเวลาคุณลู่หานอยู่กับคุณดงจูนี่หน่า" "จ้า..แม่คนดี งั้นก็อดใจรอหน่อยละกัน" ชื่อดงจู ทำให้มือที่คีบขนมปังอยู่ชะงักไปชั่วครู่ จนเสียงปิดลิ้นชักเรื่องแคชเชียร์เรียกสติให้มินซอกรีบวางถาดขนาดปังไว้หลังตู้ แล้วเดินมาหาลูกค้าที่กำลังง่วนกับการแบ่งถุงขนมกันอยู่ "ขอโทษนะครับ คุณดงจูที่พูดถึงเมื่อกี้ที่เป็นแฟนคุณลู่หานใช่มั๊ยครับ" ลูกค้าสองคนอึกๆอักๆแม้จะคุ้นเคยกับร้านดีและรู้ว่ามินซอกเป็นเจ้าของร้าน แต่เรื่องส่วนตัวที่รู้กันแค่ในหมู่แฟนคลับกลุ่มเล็กๆบางทีก็ลำบากใจที่จะพูด "ผมรู้เรื่อง...เรื่องแฟนของคุณลู่หานพอสมควร คุณลู่หานเป็นคนเล่าให้ผมฟัง เพียงแต่ไม่รู้ชื่อเท่านั้นเองก็เลยถามดูน่ะครับ" สองสาวมองหน้ากันเหมือนถามความเห็นด้วยสายตาก่อนพยักหน้าให้กัน "ใช่ค่ะ"ตอบสั้นๆแล้วก็พากันเดินออกจากร้านไป เสียงกรุ้งกริ้งที่กระดิ่งประตูกับเสียงที่คีบขนมปังร่วงลงพื้นดังขึ้นพร้อมกัน มินซอกรีบก้มเก็บแล้วเดินกลับเข้าห้อง ยุนกิมองตามด้วยความเป็นห่วง แล้วเดินมาหยิบถาดขนมปังเอามาเก็บไว้ที่เค้าท์เตอร์ก่อน เจ้าของร้านร่างเล็กทรุดลงไปนั่งกับพื้นพิงหลังกับตู้เย็นชันศอกไว้กับหัวเข่าสองมือกุมขมับแน่น นึกย้อนไปถึงเรื่องอุบัติเหตุทางทะเลที่ทำเอาหลานชายไม่กล้าว่ายน้ำจนทุกวันนี้ ตอนนั้นซอลมียังไม่เลิกกับพ่อของมินจุน สามคนพ่อแม่ลูกไปเที่ยวทะเลกันโดยที่แม่กับเขาไม่ได้ไปด้วย เรื่องนี้เป็นข่าวที่คนสนใจไม่น้อยจนทำให้ซอลมีเปลี่ยนชื่อหลานเป็นมินจุน แม้ว่าสื่อจะไม่ได้นำภาพเด็กน้อยออกข่าวก็ตาม ตอนลู่หานพูดเรื่องอุบัติเหตุเขาไม่ได้เอะใจสักนิดเพราะมีเรื่องให้คิดเยอะแยะไปหมด แต่ชื่อดงจูทำให้มินซอกปะติดปะต่องเรื่องราวได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน มันทำให้เรื่องอื่นๆแทบจะหมดความสำคัญไปเลย มินซอกหลับตา เอียงหัวไปพิงกับพนังห้อง ไหล่ลู่ทิ้งแขนเหยีดดขาเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง ......................................................... ลู่หานคลิ๊กที่ปุ่มชัทดาวน์ก่อนถอนหายใจแล้วหันมาหยิบแก้วที่เหลือกาแฟเย็นชืดอยู่เกือบครึ่งขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เขาใช้เวลาทั้งอาทิตย์วางโครงเรื่องคร่าวๆและกำหนดคาแรคเตอร์ตัวละครสำหรับนิยายเรื่องใหม่ งานที่ต้องสะสางหลังหายหน้าหายตาไปสองเดือนเต็มๆไม่ใช่มีแค่นิยายที่จะออกปลายปีนี้ แต่ยังมีงานเขียนคอลัมน์ประจำและสัมภาษณ์ที่มีเข้ามาเป็นระยะ ชายหนุ่มลุกจากโต๊ะทำงานมานอนแผ่ที่โซฟายาวหน้าทีวี เหยียดแขนหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ที่โต๊ะกระจกใกล้ๆกัน แตะๆสไลด์ๆหน้าจอแล้วก็กลับไปวางลงที่เดิม เที่ยงคืนแล้วคนที่เขาคิดถึงคงหลับสบายอยู่ เวลาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆที่ไม่ได้ติดต่อกันเลยมันทำให้เขาได้สัมผัสถึงคำว่าคิดถึงในอีกรูปแบบหนึ่ง ตลอดสามปีที่เขาคิดถึงคนรักที่ไม่อาจได้พบกันอีกแล้วมันทรมานจนแทบบ้า แม้ว่าจะค่อยๆบรรเทาลงตามเวลาแต่ก็ไม่เคยหายสนิทและเขารู้ว่าไม่มีวันหาย .....ไม่มีใครแทนใครได้เป็นเรื่องจริง ความรู้สึกที่เขามีให้ดงจูยังคงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แต่ความรู้สึกที่มีให้กับมินซอกมันก็เป็นสิ่งที่มีค่ากับตัวเขามากแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะสามารถมีได้อีก การมีใครอีกคนให้คิดถึงและเป็นคนที่สามารถพบเจอกันได้ตามต้องการมันเป็นรสขมปนหวานที่ช่วยเยียวยาหัวใจได้ดีราวกับยาวิเศษ แม้ว่าช่วงนี้คงต้องยุ่งอีกพักใหญ่แต่ถ้าเนื้อหารูปแบบของนิยายเข้าที่ประชุมแล้วผ่านฉลุย เขาก็จะมีเวลาอยู่กับตัวเองได้เขียนงานเงียบๆและแบ่งเวลาไปหาคนที่คิดถึงอยู่ตลอดเวลาได้บ่อยๆ ชายหนุ่มมีรอยยิ้มที่มุมปาก คิดถึงวันอาทิตย์หน้าที่ตัวเองตั้งใจไปเซอร์ไพรส์เจ้านายเก่าที่ร้านก่อนจะแบกงานเข้าที่ประชุม และหวังว่าการขอเดทเป็นครั้งแรกแบบเป็นเรื่องเป็นราวคงจะไม่เก้อแบบครั้งที่แล้ว .................................................. มินซอกไม่โวยวายเหมือนทุกครั้ง เมาจนไม่ไหวแล้วก็หลับไปเฉยๆ ในรถแท็กซี่ที่มีผู้โดยสารสามชีวิตปล่อยให้เสียงเพลงในวิทยุดังเป็นแบคกราวน์ไปเรื่อยๆ ก่อนที่แบคฮยอนที่นั่งข้างคนขับจะเอียงหน้ามาคุยกับคนข้างหลัง "มึงมันพ่อพระ" จงอินเงยหน้าละสายตาจากใบหน้าที่เป็นภาพเดียวที่มองตั้งแต่ขึ้นแท็กซี่มา "กูไม่ใช่คนดีหรอก กูแค่ฉลาดพอที่รู้ว่าคนสองคนที่ต่างรักกันกูไม่มีสิทธิ์เอาความรักของตัวเองเข้าไปเสือก" "เออ ไอ้ฉลาด หล่อ พ่อรวย ชีวิตดีฉิบหายแต่เสือกมาตกม้าตายเพราะรักเพื่อน" เสียงครางปนกับเสียงบ่นงึมงัมของคนหลับเพราะเมาดังขึ้นมา จงอินประคองหัวกลมๆยกขึ้นจากต้นขาแล้วขยับนั่งตั้งท่าให้อีกคนนอนได้สบายขึ้น แบคฮยอนได้แต่มองแล้วถอนใจ ร่วมครึ่งชั่วโมงที่คุยกันในร้านเหล้าหลังจากที่มินซอกเมาฟุบกับโต๊ะไปแล้ว ตัวเขาเองก็จนใจจะโต้แย้ง ถึงจะรู้สึกว่าจงอินดูจะยอมแพ้ง่ายไปหน่อยเมื่อเทียบกับความเชี่ยวชาญเรื่องความรักที่ผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็เชื่อลึกๆว่าเพื่อนคงเลือกทางที่ดีี่สุดแล้ว เพราะสำหรับเพื่อนคนนี้มินซอกสำคัญมากกว่าใคร ความกล้าได้กล้าเสียหรื่อสุ่มเสี่ยงต่อความรู้สึกที่อาจพลาดพลั้งให้มินซอกรู้สึกเจ็บแม้เพียงนิดเดียวจงอินไม่ทำแน่ แม้ว่าจะหมายถึงตัวเองต้องเจ็บอยู่คนเดียวก็ตาม ดวงตาเล็กหางตาตกนิดๆมองตามมือที่ลูบหน้าลูบตาและเกลี่ยไรผมให้พ้นกรอบหน้าคนที่หลับไม่รู้เรื่องความด้วยความทนุถนอมแล้วพึมพัมก่อนจะหันกลับไป "ไอ้ลูกแมวตัวนี้โชคดีฉิบหาย" แม้จะพูดแค่นี้แต่จริงๆเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองก็โชคดีมากเช่นกัน ที่มีจงอินและมินซอกเป็นเพื่อน งานจะเหนื่อยจนร่างจะพังแค่ไหนแต่ถ้าใจยังดีอยู่เขาก็คิดว่าจะสามารถประคองตัวผ่านทุกเรื่องไปได้ และเพื่อนสองคนนี้ก็มีผลต่อจิตใจของเขามากเหลือเกิน
..................................................... ซอลมีนั่งมองพี่ชายวางแขนโอบไหล่เจ้าตัวเล็กไว้แต่ตาเหม่อลอยไม่ได้รับรู้เรื่องราวในจอทีวีดึงความสนใจของมินจุนไว้จนหมด จนอดรนทนไม่ได้ก็ลุกจากเก้าอี้ที่โซนห้องครัวเดินมานั่งเบียดรวมกับอีกสองชีวิตที่โซฟา มินซอกหันมามองหน้าน้องสาวนิดนึงแล้วก็กลับไปแสร้งทำท่าสนใจเรื่องราวในจอทีวีต่อ "มีอะไรทำไมไม่เล่าให้ฟังบ้าง" คนเป็นพี่ยังเงียบ "ยุนกิบอกว่าตั้งแต่คุณลู่หานไม่อยู่พี่ก็ดูเศร้าๆ ไม่โทรคุยกันรึไง" "ลู่หานคงยุ่งเพราะหยุดงานไปนาน พี่เองก็ไม่อยากโทรไปกวน อาชีพนักเขียนต้องใช้สมาธิไม่ใช่เหรอ เธอเป็นแฟนคลับเขาน่าจะรู้นี่" "คงไม่ใช่แค่นั้นมั้ง แม่ก็บอกว่าพี่ดูเครียดถามก็บอกไม่ได้เป็นอะไร" มินซอกเงียบไปอีกแต่มือที่วางอยู่บนไหล่หลานชายเผลอลงนำหนักจนเจ้าตัวเล็กหันมามองหน้า "คุณลุงมิงซ๊ก จุนนี่เจ็บ" มินซอกรีบคลายมือแล้วขอโทษขอโพยหลานก่อนจะทำทีเป็นลุกไปเปิดตู้เย็น แต่ซอลมีไม่วางมือง่ายๆเดินตามมาประกบดึงแขนพี่ชายให้นั่งที่โต๊ะอาหาร มินซอกมองกระป๋องโซดาที่หยิบติดมือมาทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอยากกิน ปล่อยให้ความเย็นจากผิวโลหะถ่ายทอดมาถึงผิวเนื้อ กระทั่งไอความเย็นกลายเป็นหยดน้ำเกาะรอบกระป๋องแล้วไหลผ่านตามร่องนิ้วลงมาจนชุ่มหลังมือ ซอลมีดึงกระป๋องน้ำออกจากมือพี่ชาย มินซอกเช็ดมือกับกางเกงยีนส์ทรงสลิมสีเข้มแล้วเอามาประสานวางที่โต๊ะ มองหน้าน้องสาวเหมือนต่างคนต่างหยั่งความรู้สึกกันไปมา จนคนพี่มั่นใจว่าตัวเองพร้อมถึงยอมพูด "จำ...คุณดงจูได้ใช่มั๊ย..." เขาเกริ่นสั้นๆ "คณดงจูที่...." "ใช่...คุณดงจูป็นแฟนลู่หานนะ" คราวนี้กลายเป็นซอลมีที่พูดไม่ออก อ้ำๆอึ้งๆหันไปมองลูกชายที่ยังนั่งสนอกสนใจกับการ์ตูนยอดมนุษย์ในจอทีวีแล้วหันกลับมามองหน้าพี่ชาย ยื่มมือไปกุมมืออีกคู่ที่ขนาดไม่ต่างกันนัก "แต่พี่ต้องคุยกับคุณลู่หานก่อนนะ อย่าเพิ่งคิดอะไรไปเอง ฉันมองออกว่าเขารู้สึกดีๆกับพี่แค่ไหน" "พี่ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี...เขา...เขาดูจะรักและคิดถึงคุณดงจูมาก กับพี่มันอาจเป็นแค่ความรู้สึกฉาบฉวยเพราะได้ใกล้ชิดกันแค่นั้นก็ได้" "พี่คิดว่าคุณลู่หานเป็นคนแบบนั้นจริงๆเหรอ" มินซอกคอตก จริงอยู่ที่ลู่หานเป็นคนตรงๆเปิดเผยจนเขารับรู้ได้ว่านักเขียนหนุ่มรู้สึกยังไงกับตัวเอง แต่เขาก็กลัวเหลือเกินว่าความจริงเรื่องนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง "เรื่องนี้ฉันไม่ปล่อยนะพี่เพราะมันเกี่ยวกับลูกฉันด้วย ถ้าพี่ไม่พูดฉันจะพูดเอง" "ไม่..ไม่นะซอลมี" "พี่ห้ามฉันไม่ได้หรอก ฉันให้เวลพี่อีกอาทิตย์เดียว" มินซอกรู้ว่าน้องสาวทำจริง เขาพยักหน้ารับเพราะยังไม่รู้จะเอาเหตุผลอะไรมาแย้งตอนนี้ สำหรับเขามันเคยไม่มีอะไรง่าย เขาไม่เด็ดเดี่ยวใจแข็งแบบน้องสาวและกังวลมากกว่าความเป็นจริงเสมอ .................................................. "กูคุยด้วยหน่อย" "ทางโทรศัพท์นี่หรือจะให้กูไปหา" "ไม่เป็นไรมันดึกแล้ว คุยทางโทรศัพท์นี่แหละ" มินซอกลุกจากเบาะนอนมานั่งขัดสมาธิตั้งท่าจริงจัง "โอเค" จงอินรับคำพลางพยักหน้าไปด้วย แล้วขยับตัวออกจากจอโน๊ตบุ้คพิงหลังกับพนักเก้าอี้บุหนังแท้เนื้อนุ่ม "เรื่องที่กูบอกมึงกับไอ้หมาวันนั้น กูตัดสินใจแล้วว่าจะคุยกับลู่หานให้รู้เรื่อง" "ก็ดีแล้ว" ปากว่าดีแต่ใจเสียไปแล้ว "มึงว่า...เขาจะโกรธกูมั๊ย" "เขาก็คงต้องตกใจบ้าง...เพราะมันก็โคตรบังเอิญที่เด็กคนนั้นคือมินจุนหลานมึง แต่เขาไม่มีทางโกรธหรือรู้สึกไม่ดีกับมึงหรอก" "ทำไมมึงถึงมั่นใจเขานัก" "กูไม่ได้มั่นใจในตัวลู่หานแต่กูมั่นใจในตัวมึง กูมั่นใจว่าถ้าใครรักมึงแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลิกรักมึงได้ เพราะเขาจะรักมึงมากกว่าที่มึงรักตัวเองซะอีก" จงอินพูดยาวเหยียดแบบไม่ติดขัด เพราะมันคือเรื่องจริงที่เขารู้สึกต่อเพื่อนคนนี้เสมอมา "ไอ้หมี...เดี๋ยวกูก็ร้องไห้หรอก" มินซอกเสียงอ่อยรู้สึกตรงอกมันแน่นๆขึ้นมา "อย่าร้องตอนกูไม่อยู่ด้วย" "มึงก็อยู่นี่ไง" "ได้ยินแต่เสียง กูกอดปลอบมึงไม่ได้" เสียงใหญ่พร่าลงไป "ไอ้หมีควาย กู...กูรักมึงนะ" "กูก็...รักมึงมากไอ้ตูดแมวยิ้ม" "........." "มึงอย่าดื้อกับกู อย่าร้อง ไม่งั้นกูไปหาที่ร้านเดี๋ยวนี้เลย" "เออๆ...กูไม่ได้ร้องซะหน่อยนี่" มินซอกไม่ได้โกหก ก็แค่ตรงอกมันแน่นๆแล้วน้ำมันก็มาเอ่ออยู่ในเบ้าตาเฉยๆ "ไปนอนซะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยกลั้นน้ำตา ไม่มีอะไรต้องกังวลทั้งนั้นเข้าใจมั๊ย" จงอินขึ้นเสียงท้ายประโยคเหมือนกำลังดุเด็กเล็กๆ "อืม...มึงก็นอนนะอย่าทำงานดึกๆ เดี๋ยวเจ็บหน้าอกอีก" "อืม กูรู้"
มินซอกเอาข้อนิ้วชี้กดๆที่ปลายตา วางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอนแล้วนอนตามลงไป เขาคว้าผ้าห่มที่ลงไปกองอยู่ตรงเข่ามากอดไว้พยายามข่มตาให้หลับทำตามที่เพื่อนรักบอก จงอินเซฟงานแล้วปิดเครื่องรู้ตัวดีว่าคืนนี้คงทำงานต่อไม่ได้แล้ว เขารู้สึกเจ็บหน้าอกนิดหน่อย ยาที่หมอให้มายังกินไม่หมดและก็กะว่าจะเลิกกินแล้ว เขาเกลียดการกินยาเพราะมันไม่เคยลงคอไปก่อนที่รสขมจะกระจายไปทั่วปากเลย แต่ถ้ามินซอกถามถึงก็ไม่อยากจะโกหก ถึงจะรู้ตัวว่าความเจ็บไม่ได้มาจากผลของอุบัติเหตุวันนั้น แต่ก็เอาเถอะกินๆไปแล้วหวังว่ามันอาจจะหาย ไอ้ความเจ็บที่มาจากการฝืนใจทำเพื่อคนที่ตัวเองรักอะไรนี่น่ะ กินยาแล้วก็นอนซะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยกลั้นน้ำตาแบบที่ตัวเองสอนคนอื่น
. ........................................................................... ...................................... ..........................
|
สมาชิกหมายเลข 2090139
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
Group Blog All Blog
| |||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |