|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ท่องเหนือเที่ยวน่าน
ต่อจากตอนที่แล้ว... ผมขับรถออกจากอุตรดิตถ์ผ่านแพร่ไปน่านครับ บล็อกนี้เราจะเที่ยวจังหวัดสุดสงบแสนสวยงาม และเป็นจังหวัดสุดท้ายของภาคเหนือที่ผมยังไม่เคยไปถึง นั่นก็คือเมืองน่าน
จากตัวเมืองอุตรดิตถ์จนเข้าเขตจังหวัดน่านระยะทางแค่ประมาณ 150 กม. แต่ขึ้นลงเขาเยอะจนใช้เวลาไปสองชั่วโมงครึ่ง ขับไม่ยากเท่าแม่ฮ่องสอน หรือกระทั่งทางจากพะเยาลงมาลำปางด้วยซ้ำ มีจังหวะต้องใช้เกียร์ต่ำไม่เยอะครับ ก่อนถึงตัวเมืองเราแวะเที่ยวเวียงสาอำเภอที่ได้ชื่อว่าประตูสู่น่าน เดิมชื่อเวียงป้อ ที่นี่เป็นเมืองเล็กที่มีแม่น้ำไหลผ่าน 7 สายให้ความอุดมสมบูรณ์และขึ้นตรงต่อเมืองน่านมานานแสนนาน สถานที่เที่ยวที่สำคัญคือวัดบุญยืนครับ จากเส้น 101 แยกเข้ามาตัวอำเภอเวียงสาเส้น 1026 ถึงสี่แยกไฟแดงแรกก็เลี้ยวซ้ายเข้ามา 100 เมตรก็เห็นวัด
วัดบุญยืน สร้างในปี พ.ศ.2329 เดิมชื่อวัดป่าสักงามเพราะล้อมด้วยต้นสัก และต่อมาได้สร้างโบสถ์มีพระพุทธรูปยืนเป็นประธานจึงเปลี่ยนชื่อเป็นวัดบุญยืนในปี พ.ศ.2343 ที่นี่มีพิธีใส่บาตรเทียนแห่งเดียวในประเทศไทยที่ปฏิบัติสืบต่อมาช้านานตั้งแต่สร้างวัดใหม่ๆ โดยพระสงฆ์และฆราวาสจะร่วมกันใส่บาตรด้วยเทียนในวันแรม 2 ค่ำเดือน 8 ของทุกปี (ถัดจากเข้าพรรษา 1 วัน)
พระพุทธรูปยืนปางเปิดโลกสูง 5 เมตร พระประธานของวัด
ผมไปถึงที่วัดนี้วันที่ 30 ธ.ค. 2559 เวลา 16.30 น. เห็นกุฏิถูกไฟไหม้ไปแล้ว เช็คข่าวดูปรากฏว่าไฟเพิ่งไหม้กุฏิเจ้าอาวาสตอนตีสามวันเดียวกันนี้เองครับ แต่ดับได้ก่อนสว่าง ตอนไปยังเห็นพระและลูกศิษย์วัดช่วยกันคัดแยกข้าวของที่ไม่ถูกไฟไหม้
ก่อนถึงเมืองน่านมีจุดชมวิวยอดนิยมบนดอยเขาน้อย ขับมาทางเส้น 1025 ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองน่าน ที่ตั้งวัดพระธาตุเขาน้อยครับ พระธาตุแห่งนี้สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 20 ยุคไล่เลี่ยกับพระธาตุแช่แห้ง หน้าตาก็คล้ายๆกันด้วยนะ มีกลิ่นอายพม่าเหมือนกัน เพราะบูรณะรอบสุดท้ายให้คนพม่ามาทำน่ะ ภายในบรรจุพระเกศาธาตุ
ด้านหน้าสามารถขึ้นบันไดนาคมา 303 ขั้นสำหรับคนชอบออกกำลังกาย แต่ถ้าไม่อยากเดินก็นั่งรถวนขึ้นมาได้ถึงองค์พระธาตุเลยครับ เพียงแต่ที่จอดรถออกจะน้อยสักหน่อยเมื่อเทียบกับความยอดนิยมของจุดถ่ายวิวเมืองแห่งนี้
พระประธานในอุโบสถหน้าองค์พระธาตุเป็นพระพุทธรูปศิลปะพม่า
พระเจ้าทันใจในวิหารใกล้พระธาตุ อันนี้จุดชมทิวทัศน์ที่ลานปูนหน้าองค์พระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน พระพุทธรูปปางประทานพรที่คนนิยมขึ้นมาชมวิวเมืองน่านกัน ดอยนี้เป็นดอยเล็กๆสมชื่อเขาน้อยครับ สูงจากระดับน้ำทะเลแค่ 240 เมตรเท่านั้นเอง เลยชมวิวไม่ได้มุมสูงอะไรมากมาย และเมืองน่านก็ไม่ได้มีจุดไฮไลต์ไม่เหมือนแม่ฮ่องสอนที่มองลงมาจากพระธาตุดอยกองมูเห็นหนองจองคำและวัดมากมายรายล้อม ทำให้ภาพยามกลางคืนสวยงามยิ่งนัก ส่วนพระธาตุเขาน้อยของน่านนี่ถ้าหมอกลงแล้วมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นน่าจะเวิร์ค แต่ผมขึ้นมาตอนเย็น เห็นพระอาทิตย์ตกลงอีกด้าน หมอกเหมิกอะไรก็ไม่มีทั้งนั้นละครับ นี่มันหน้าหนาวปลอมชัดๆ
อย่ากระนั้นเลย เมื่อรู้ว่าวิวมันไม่สวยพอที่จะคุ้มค่ารอถ่ายวิวกลางคืนแล้วก็รีบลงมาถ่ายรูปวัดพญาวัดที่อยู่เชิงดอยก่อนมืดกันดีกว่าครับ ถึงจะเป็นวัดที่หลายคนขับเลยขึ้นไปเที่ยวพระธาตุเขาน้อยแบบไม่ใยดีแต่นี่เป็นวัดที่สวยงามและน่าสนใจนะครับ
โบราณสถานที่สำคัญคือเจดีย์จามเทวี เป็นเจดีย์ห้าชั้นมีซุ้มพระพุทธรูปยืนคล้ายกับเจดีย์กู่กุดที่ลำพูน แสดงการรับอิทธิพลศิลปะจากล้านนา คาดว่าสร้างขึ้นหลังจากพระเจ้าติโลกราชผนวกเมืองน่านเข้าเป็นส่วนหนึ่งของล้านนาแล้ว เสียดายมุมนี้ด้านหลังวิหารกำลังบูรณะอยู่ แต่นี่ก็เป็นหนึง่ในไม่กี่วัดที่ยังมีโบราณสถานแบบดั้งเดิมให้เห็น
พระประธานภายในวิหารประดิษฐานในซุ้มปราสาทแบบล้านนา ด้านขวาคือพระเจ้าสายฝน พระพุทธรูปยืนบนฐานดอกบัวสูง 2 เมตรที่แกะสลักจากไม้ ช่วงแห้งแล้งชาวบ้านจะนำมาทำพิธีขอฝน โดยอัญเชิญพระเจ้าสายฝนไปสรงน้ำที่แม่น้ำน่าน แห่ไปถึงวัดมิ่งเมืองในเมืองน่าน แล้วแห่กลับวัด แต่พิธีที่ว่าเลิกไปตั้งเกือบ 30 ปีแล้วนะครับ องค์พระเก่ามากแล้ว เดี๋ยวจะละลายลงน้ำไป ด้านซ้ายของพระประธานคือธรรมาสน์ไม้แกะสลักฝีมือช่างสกุลน่านที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบ อายุประมาณสองร้อยปี
จากนั้นเราเข้าเมืองหาที่พักโรงแรมเบญญา (BENYA HOTEL) ที่จอง booking ไว้เรียบร้อยแล้ว หลังๆผมใช้เว็บ booking จองนะครับ มันจะทำหน้าที่จองให้อย่างเดียว ให้เราไปจ่ายตังค์ตอนไปถึงแล้วเอง ถ้าเจ้าของที่พักรับเงินจากเราก็จะออกใบเสร็จให้เราไปลดภาษีได้ แต่ถ้าเป็น agoda เราจ่ายเงินผ่านเว็บแล้วเว็บไปจ่ายให้ที่พักอีกรอบ บางที่พักจะไม่ออกใบเสร็จให้จ้าาาา ที่นี่ไม่มีใบกำกับภาษีที่ปีที่ผ่านๆมาใช้ใบเสร็จปกติก็ลดภาษีได้น่ะ คืนละ 1200.- แน่ะ! จัดว่าแพงนะ ข้าวของเครื่องใช้มีพร้อม โดยเฉพาะ WIFI ที่แรงดีและมีข้าวเช้าให้ แต่อยู่ไกลทั้งจากแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตกลางเมือง และแหล่งกินต่างๆ ใกล้สุดอย่างตลาดโต้รุ่งก็ต้องขับรถมา 2 กม.
แถวๆข่วงเมืองน่านยามค่ำคืนคนอย่างเยอะ!! หาที่จอดรถไม่ได้แน่ๆ เมืองน่านที่เคยคิดว่าเงียบสงบวันนี้มันเปลี่ยนไปเยอะแล้วครับ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับคนในพื้นที่ (หรือเปล่า?) ตอนนี้ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลักเลยครับ ที่เที่ยวไหนดังๆเงินไหลเข้าจังหวัดเยอะมาก วันนี้ผมกินข้าวเย็นที่ตลาดโต้รุ่งครับ ห่างออกมาจากจุดจอแจเยอะ ร้านกับข้าวตามสั่งธรรมดาๆ สั่งเมนูธรรมดาๆ รสชาติก็เลยธรรมดาๆ ไม่กล้าเอามารีวิวให้เปลืองโควต้ารูปในเอนทรี่ แต่ที่ชอบเลยคือร้านขนมเจ้นายแก้วนพเก้าตรงข้ามตลาดโต้รุ่งครับ (ไม่มีชื่อเสียงหรอกครับเป็นแค่รถเข็นคันเล็กๆ) มีขนมไทยหลากหลายและอร่อยด้วยนะ ทั้งสาคูเปียก เปียกข้าวเหนียวดำ ลูกชิด เต้าส่วน เม็ดเดือยเปียก บวดเผือก บัวลอยแก้ว (บางอันหากินยากม้ากกกกก ♥) ถุงละ 15 บาท ซื้อไปกินเป็นมื้อปิดวันได้อย่างสมบูรณ์
หมดไปแล้วสำหรับวันแรกครับ ออกจากอยุธยามาเที่ยวอุตรดิตถ์ภายในครึ่งวัน แล้วเที่ยวน่านต่อเหลือตัวเมืองน่านไว้เที่ยวครึ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ ดูโปรแกรมเหมือนจะอัด แต่สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งของทริปนี้อยู่ติดๆกันเดินทางสะดวกจริงๆนะ ไม่เชื่ออ่านต่อได้เลยจ้า...
เช้าวันต่อมา (31 ธ.ค. 59) เนื่องจากข้าวเช้าโรงแรมเบญญากว่าจะตั้งก็ 7 โมงแน่ะ! เลยไม่ชวนให้ตื่นเช้าไปชมอากาศเมืองเหนือยามเช้าตรู่เท่าไหร่ แกงเขียวหวานโรงแรมนี้เขาทำอร่อยดีนะ หลังจากเช็คเอาท์เสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางครับ เชิญดูแผนที่เพื่อชมความง่ายดายในการเที่ยวเมืองน่านได้เลย ที่พักของผมอยู่เหนือวัดสวนตาลขึ้นไปอีก
ก่อนอื่นมาอินโทรประวัติศาสตร์เมืองน่านกันสักหน่อย (นั่นๆ!! ...หลายคนกำลังสคอลผ่านย่อหน้านี้ไปอย่างรวดเร็ว!) การรวมกลุ่มของผู้คนในน่านเริ่มจากการสร้างเมืองย่างโดยพญาภูคา ทางตอนเหนือของจังหวัดน่านราวพุทธศตวรรษที่ 18 ใกล้เคียงกับสุโขทัย และต่อมาเจ้าขุนฟองได้นำผู้คนไปตั้งเมืองปัวทางตอนเหนือของน่าน (เขตอำเภอปัวปัจจุบัน) ก่อนที่พญางำเมือง ผู้ครองแคว้นพะเยาจะเข้ายึดเมืองปัว และชาวปัวได้กระชับสัมพันธ์กับสุโขทัยเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับพะเยา น่านเริ่มมีบ้านเมืองเป็นรูปธรรมในปี พ.ศ.1902 ที่พญาการเมืองได้สร้างเมืองแช่แห้งและพระธาตุแช่แห้งขึ้น ก่อนย้ายเมืองเพื่อหนีความแห้งแล้ง (ก็เล่นตั้งชื่อเมืองซะแห้งขนาดนี้) มาปักหลักที่เมืองน่านปัจจุบันในปี พ.ศ.1911
หลังพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนาพิชิตน่านได้ในปี พ.ศ.1993 เมืองน่านก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของล้านนามานับแต่บัดนั้น พร้อมเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นนันทบุรี (แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเรียกน่านเหมือนเดิม) ช่วงที่บุเรงนองพิชิตอาณาจักรล้านนาได้ เมืองทั้งหลายรวมทั้งเมืองน่านก็ตกเป็นเมืองขึ้นของหงสาวดีไปด้วย ก่อนจะมาถึงยุคปลดปล่อยเมืองเหนือในช่วงกรุงธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์ดังที่เคยเล่าในประวัติศาสตร์ล้านนาช่วงพาเที่ยวเชียงใหม่ไปแล้ว เมืองน่านถูกทำลายครั้งใหญ่ในช่วงที่ภาคเหนือพยายามปลดแอกจากพม่า และน่านถูกกองทัพพม่าจากเชียงแสน (ซึ่งเป็นเมืองที่เข้มแข็งที่สุดที่พม่าใช้คุมดินแดนในล้านนาไว้) ทำลายย่อยยับและกลายเป็นเมืองร้างไปถึง 23 ปี ก่อนที่เจ้าอัตถวรปัญโญได้รับการแต่งตั้งจากรัชกาลที่ 1 ให้ครองเมืองน่าน และได้ฟื้นฟูเมืองน่านที่รกร้างกลับมา
ขับรถมาจอดที่เที่ยวกลางเมืองทีไหนก็ได้สักที่ครับ ผมเลือกจอดที่วัดหัวข่วง พร้อมทำบุญ 20 บาท เป็นค่าจอดรถ (ถ้ารู้ว่าต้องจอดเกือบครึ่งวันน่าจะเพิ่มเป็น 50 บาท)
วัดหัวข่วง (แปลว่าวัดที่อยู่หน้าลานกว้าง) ตั้งอยู่หน้าหอคำ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้าง คาดว่าสร้างราวพุทธศตวรรษที่ 20-22 ในสมัยล้านนา สังเกตลักษณะของวัดภาคเหนือนะครับ ตัววิหารจะเด่นกว่าโบสถ์ (วิธีสังเกตโบสถ์คืออาคารที่มีใบเสมาล้อม) นอกจากเป็นที่ตั้งพระประธานของวัดแล้ววิหารยังใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีเจดีย์อยู่ด้านหลังวิหาร ส่วนโบสถ์เป็นที่ของสงฆ์และภาคเหนือห้ามผู้หญิงเข้าด้วยครับ เลยไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ หลายวัดก็รวมโบสถ์กับวิหารเข้าด้วยกันซะเลย
เจดีย์วัดหัวข่วงเป็นเจดีย์ทรงปราสาทศิลปะแบบล้านนาคล้ายเจดีย์วัดโลกโมฬีที่เชียงใหม่ ถัดจากเจดีย์คือหอไตร สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2473 เพื่อใช้เก็บคัมภีร์ใบลานครับ
พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สังเกตว่าตำแหน่งพระประธานจะเบี่ยงซ้ายไม่อยู่ตรงกลาง ผิดจากวัดอื่นๆนะครับ เรื่องมีอยู่ว่าสมัยราว 500 ปีก่อน ชาวบ้านชุมชนวัดหัวข่วงกับชาวบ้านชุมชนวัดภูมินทร์ไม่ถูกกันมีปัญหาทะเลาะกันบ่อยๆ ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝั่งเชื่อว่าเป็นเพราะพระประธานของทั้งสองวัดหันหน้าชนกันพอดี พระประธานวัดภูมินทร์นี่ย้ายยากแน่ๆ วัดหัวข่วงจึงยอมขยับพระประธานมาทางซ้าย และทั้งสองชุมชนก็สงบศึกกันมาจนบัดนี้ครับ พระประธานวัดนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของความสงบปรองดอง มากราบไหว้แล้วจะพบแต่ความสุขสวัสดี
| เยื้องลงมาด้านล่างขวาคือวัดพระธาตุช้างค้ำ เดิมชื่อวัดหลวงกลางเวียง เป็นวัดประจำพระราชสำนักน่าน สร้างในปี พ.ศ.2091 แต่ต่อมาชาวบ้านเรียกว่าวัดช้างค้ำตามลักษณะเจดีย์ประธานที่มีช้างค้ำอยู่ที่ฐาน เป็นอิทธิพลจากเจดีย์ช้างล้อมของสุโขทัย แม้จะบูรณะหลายรอบแต่ก็ยังคงรูปแบบเดิมอยู่ครับ ที่หน้าบันหอไตรจะมีรูปครุฑพ่าห์เป็นการถวายกุศลของเจ้าเมืองน่านที่มีต่อรัชกาลที่ 5 ที่เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ.2453 | ในวิหารหลวงประดิษฐานพระเจ้าหลวง พระประธานของวัดเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะเชียงแสน สูง 6 เมตร
(ภาพเล็ก) ภายในหอไตรด้านขวาของวิหารหลวงประดิษฐานพระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนีเป็นพระพุทธรูปปางลีลาทำจากทองคำ 65% สูง 1.45 เมตร สร้างในปี พ.ศ.1969 | |
เมินพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านไปก่อน มันเปิดเก้าโมง เดินลงมาที่วัดภูมินทร์ที่เป็นจุดขายสำคัญของเมืองน่านครับ วัดนี้อยู่หน้าข่วงเมืองน่านที่คืนเมื่อวานมีตลาดคึกคักผู้คนขวักไขว่แต่เจ้าของบล็อกหาที่จอดรถไม่ได้เลยต้องไปนั่งกินกับข้าวห่วยๆในตลาดโต้รุ่ง ...ว่าแต่ทำไมวัดที่อยู่หน้าข่วงถึงชื่อวัดภูมินทร์ไม่ใช่วัดหัวข่วงฟะ?
วัดภูมินทร์ สร้างใน พ.ศ.2139 เดิมชื่อวัดพรหมมินทร์ แต่เพี้ยนเป็นภูมินทร์ วิหารของวัดเป็นอาคารจตุรมุขมีราวบันไดนาคงดงาม
พระประธานของวัดนี้อลังการที่สุดในเมืองน่านครับ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย 4 องค์หันหลังชนกัน ตรงกลางเป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมย่อมุมสิบสอง
นอกจากวิหารและพระประธานที่งดงามโดดเด่นแล้ว วัดนี้ยังมีชื่อเสียงเรื่องภาพจิตรกรรมที่วาดโดยหนานบัวผันชาวไทลื้อช่วงบูรณะในปี พ.ศ.2410 แสดงวิถีชีวิตชาวน่านในยุคนั้น
และภาพที่โด่งดังที่สุดก็คือ "ปู่ม่านย่าม่าน" ด้านประตูทิศตะวันตกภาพนี้ครับ เป็นภาพหนุ่มสาวกำลังเกี้ยวพาราสีกัน หนุ่มมีรอยสักสีดำตามตัว ตามลักษณะคนแถบนี้ในยุคนั้นที่ถูกเรียกว่าลาวพุงดำ และเนื่องจากภาพนี้มีการสัมผัสตัวผิดธรรมเนียมพม่าที่หนุ่มสาวปกติจะไม่ถูกเนื้อต้องตัวกันจึงคาดว่าสองคนนี้เป็นสามีภรรยากัน คำว่าปู่ย่าใช้เรียกหนุ่มสาวที่พ้นวัยเด็ก ส่วนม่านหมายถึงพม่า ภาพนี้โด่งดังจนเห็นได้ทั่วทั้งบนของประดับตกแต่งบ้านและของฝากต่างๆ ปู่ม่านย่าม่านเป็นชื่อภาพแบบเป็นทางการที่ศิลปินเขียนไว้บนภาพครับ แต่ป็อบคัลเจอร์เรียกภาพนี้ว่า "กระซิบรัก"
ด้านหลังวิหารมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน มีของเก่านิดหน่อยแล้วก็ของที่ระลึก
เดินต่อมาที่วัดมิ่งเมืองครับ ด้านหน้าวัดมีเสาหลักเมืองน่านเป็นไม้สักทองใหญ่สองคนโอบสร้างในปี พ.ศ.2333 แต่ถูกน้ำท่วมทำลายและมีการนำไปเกลาสลักรูปพรหมสี่หน้าพร้อมสร้างศาลาคลุมในปี พ.ศ.2515 และบูรณะในปี พ.ศ.2548
ตัววัดมิ่งเมืองสร้างในปี พ.ศ.2400 ต่อมาในปี พ.ศ.2527 ได้บูรณะวัดครั้งใหญ่ โดยรื้อพระอุโบสถเดิมออกและสร้างใหม่เป็นศิลปะล้านนาร่วมสมัย มีลายปูนปั้นงดงามโดดเด่นมีสไตล์น้องๆวัดร่องขุ่น
หลวงพ่อพระศรีมิ่งเมือง องค์พระประธานศิลปะแบบเชียงแสน สร้างพร้อมวัด แต่ถูกย้ายจากพระอุโบสถเดิมและได้รับการบูรณะปิดทองใหม่ในปี พ.ศ.2527 เช่นกัน
จากนี้เหลือวัดศรีพันต้นอีกวัด จะขับรถก็ใกล้ไปและขี้เกียจหาที่จอด สุดท้ายก็เดินนั่นละครับ ประมาณ 400 เมตรจากวัดมิ่งเมือง อากาศเย็นๆตอนเช้าชวนให้เดินได้สบายๆ
วัดศรีพันต้น ...สวยอีกแล้ว!! สร้างโดยพญาพันต้นผู้ครองนครน่านช่วงปี พ.ศ.1960-1969 โดยเดิมมีต้นโพธิ์ (ต้นสลี) ต้นใหญ่อยู่ในเขตวัด (ชื่อวัดมาจากไหนไม่สงสัยแล้วเนาะ) บูรณะเป็นรูปร่างปัจจุบันในปี พ.ศ.2547 วัดนี้โดดเด่นด้วยตัววิหารสีทองอร่ามทั้งหลังและลายปูนปั้นโดยเฉพาะพญานาคเจ็ดเศียรที่ราวบันไดมีความงดงามมาก ช่างชาวน่านฝีมือดีจริงๆ
พระพุทธสลีพระประธานของวัดนี้เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ส่วนจิตรกรรมฝาผนังมีทั้งประวัติศาสตร์เมืองน่าน และรามเกียรติ์
ในวิหารกัจจายนะมีพระสังกัจจายน์ที่ใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุดในจังหวัดน่าน คาดว่าสร้างโดยพญาพันต้นตั้งแต่ครั้งที่สร้างวัด เดิมเปิดให้สักการะเฉพาะช่วงเทศกาล แต่ช่วงหลังมีกล้องวงจรปิด เลยเปิดให้เข้าได้ตลอดไม่ต้องกลัวคนอุ้มพระไปไหน |
|
ส่วนร้านของหวานป้านิ่มฝั่งตรงข้ามวัดศรีพันต้นเป็นร้านขนมดังนะครับ แต่ยังไม่ถึงเวลากินขนม แล้วเขาก็ยังไม่เปิดด้วยอะนะ ก็ขอข้ามไปก่อน ตอนนี้เกิน 9 โมงเช้าแล้ว ได้เวลาเที่ยวพิพิธภัณฑ์กันสักที เดินกลับไปทางที่เดินมาจากวัดหัวข่วงเลยครับ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน เดิมคือหอคำ หรือคุ้มเจ้าผู้ครองนครน่านสมัยรัตนโกสินทร์ สร้างในปี พ.ศ.2446 พอสิ้นเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าเมืองน่านคนสุดท้ายในปี พ.ศ.2474 ลูกหลานก็ยกให้เป็นของแผ่นดินและถูกใช้เป็นศาลากลางจังหวัด พอย้ายศาลากลางไปใช้ที่อื่นก็กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในสังกัดกรมศิลปากรไป
จุดถ่ายรูปยอดนิยมก็ต้องทิวต้นลั่นทมเลย หน้านี้ใบร่วงโกร๋นยิ่งดูอาร์ตเข้าไปอีก
หน้าอาคารมีอนุสาวรีย์พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าเมืองน่านคนที่ 63 ผู้สร้างคุ้มแห่งนี้ ที่นี่เป็นอาคารสองชั้นครับ แต่น่าเศร้ามากที่ตอนนี้กำลังบูรณะชั้นสองอยู่ เปิดให้ชมแค่ชั้นแรก ซึ่งส่วนใหญ่มีแค่บอร์ดให้อ่าน
อย่างน้อยก็ได้ชมโบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่สุดของพิพิธภัณฑ์อย่างงาช้างดำนะครับ เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่านที่ได้มาจากเมืองเชียงตุงเมื่อนานมาแล้ว และสืบทอดมาในตระกูลเจ้าผู้ครองนครน่าน จนสิ้นเจ้าหลวงน่านองค์สุดท้ายลูกหลานจึงยกให้เป็นของแผ่นดินพร้อมบ้านหลังนี้
ในเขตพิพิธภัณฑ์มีวัดน้อย ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯเช่นกัน เนื่องจากรายงานจำนวนวัดในน่านให้รัชกาลที่ 5 ฟังเกินไปวัดนึง จึงต้องรีบสร้างวัดน้อยขึ้นมาให้จำนวนพอดีกัน เลยกลายเป็นวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทยไปเลย ขนาดพอๆกับศาลพระภูมิครับ
เดินกลับไปที่วัดหัวข่วง เดินเลยปั๊มน้ำมันและสี่แยกขึ้นไปจะเห็นกำแพงเมืองน่านที่ขับรถผ่านมาตอนขามาและตั้งใจจะแวะกลับมาดูนี่แหละ อันนี้คือกำแพงเมืองน่านตั้งแต่สมัยเป็นเมืองยุคก่อนล้านนาเลยนะครับ สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.1969 เป็นแนวเดียวที่ยังเหลืออยู่ ด้านขวายังเห็นแนวคูเมืองน่านเก่าด้วย
ส่วนอันนี้เด็กปั๊มแถวนั้น
| จากนั้นย้อนขึ้นมาเที่ยววัดที่ไกลจากกลุ่มวัดกลางเมืองอย่างวัดสวนตาลครับ อันนี้ถึงจะไกลแต่ก็น่าแวะเพราะมีความเก่าแก่และมีพระคู่บ้านคู่เมืองน่านอยู่ วัดสวนตาลสร้างขึ้นใน พ.ศ.1955 อยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศเหนือ บริเวณนี้เดิมเป็นสวนตาลหลวง เป็นที่มาของชื่อวัด เจดีย์ด้านหลังกำลังบูรณะอยู่ แต่ถึงไม่บูรณะก็ไม่ได้เก่าแก่อะไรครับ เพราะพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯแก้เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์เดิมเป็นทรงยอดปรางค์ในปี พ.ศ.2457 |
พระเจ้าทองทิพย์ พระประธานของวัดนี้เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย สูง 14 ฟุต สร้างในสมัยพระเจ้าติโลกราชในปี พ.ศ.1993 หลังพิชิตเมืองน่านให้ตกอยู่ภายใต้อาณาจักรล้านนาได้ ในช่วงสงกรานต์ชาวน่านจะนำรูปจำลองของพระเจ้าทองทิพย์แห่ให้ประชาชนสรงน้ำกัน
หมดเรื่องราวในตัวเมืองไปแล้ว ต่อไปออกนอกเมืองไปชมวัดที่โด่งดังที่สุดของจังหวัดน่านอย่างวัดพระธาตุแช่แห้งกัน ขับตามเส้น 1168 ข้ามแม่น้ำน่านออกจากตัวเมืองมาเลยครับ
ตามที่ได้เล่าช่วงต้นๆบล็อกนี้ว่าพระธาตุแช่แห้งเคยเป็นศูนย์กลางเมืองน่าน สมัยที่เมืองน่านตั้งอยู่บริเวณนี้ในปี พ.ศ.1902-1911 โดยพญาการเมืองเจ้าเมืองปัวได้รับพระธาตุจากสุโขทัยที่เจริญสัมพันธ์ไมตรีด้วย (เพื่อต้านอำนาจพะเยา) จึงสร้างพระธาตุแช่แห้งขึ้นบนยอดดอยภูเพียงแช่แห้ง พร้อมนำพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์เข้าไปเผยแพร่และปักหลักในเมืองน่านมานับแต่นั้น
วัดนี้มีที่จอดรถเยอะ แต่มีรถเยอะกว่ามาก ต้องขับเลยวัดไปจนถึงลานจอดใหญ่กว่าจะหาที่ลงได้ คนกระจุกเที่ยวจริงๆครับวัดนี้ ก็เพราะพระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะตามความเชื่อทางเหนือด้วยนั่นแหละ คนปีเถาะซึ่งปีนี้เป็นปีชง เลยมาไหว้แก้ชงกัน
บริเวณลานจอดรถ ทั้งคนทั้งรถแน่นอึ้ด |
เจดีย์ชเวดากองจำลองตรงทางเข้าวัด สร้างสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ | องค์พระธาตุแช่แห้งเป็นเจดีย์ทรงระฆังบุทองจังโก บรรจุพระธาตุที่นำมาจากสุโขทัย
วิหารหลวงประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง สร้างในปี พ.ศ.2065
บรรยากาศสุดคึกคัก รูปแบบการทำบุญก็หลากหลายสมเป็นวัดใหญ่ครับ
วิหารพระนอนมีพระธาตุเกตุแก้วจำลองอยู่ด้านหลัง
|
พระนอนในวิหาร สร้างปี พ.ศ.2129
|
ศาลเจ้าหลวงท้าวขาก่านที่พระเจ้าติโลกราชส่งมาปกครองเมืองน่าน |
ที่นี่จำลองเจดีย์ทั้ง 12 นักษัตรมาให้บูชากันง่ายๆ | จากนั้นก็กลับเข้าเมืองน่านไปหาข้าวเที่ยงกิน มีโอกาสกินมื้อนี้เป็นมื้อสุดท้ายในน่านแล้วก็ขอกินร้านดังหน่อยแล้วกัน ว่าแล้วก็ไปร้านเตี๋ยวไร้เทียมทานที่โด่งดังเรื่องน้ำซุปไขสันหลังที่เคี่ยวกระดูกสันหลังหมูจนหอมหวานและก๋วยเตี๋ยวต้มยำรสจัดจ้าน ตัวร้านเป็นห้องแถวคูหาเดียว แถมคนทะลักออกมารอคิวนอกร้านกันให้เพียบเลยครับ คาดว่าเป็นคนกรุงเทพที่อ่านรีวิวมาทั้งนั้น (เหมือนตู) แต่ร้านที่มีศักยภาพในการรับแขกต่ำแบบนี้ผมไม่กิน 555
ว่าแล้วก็เปลี่ยนไปร้านดังอีกร้านดีกว่า อันนี้คนพื้นที่เชียร์กันเยอะครับ ร้านก๋วยเตี๋ยวลุงสงค์ ตั้งอยู่โซนตลาดบน มีทั้งหมูทั้งเนื้อหมัก นุ่มมากๆ ลูกชิ้นหมู ชิ้นเนื้อ ชิ้นเอ็น ก็จัดมาให้เต็มชาม มีถั่วป่นให้เติมแบบไม่หวง ราคาชามละ 35 บาทเท่านั้นเองครับ นอกจากความจุใจในปริมาณแล้วน้ำซุปร้านนี้อร่อยมาก! จะว่าไปร้านดังๆน้ำซุปเขาก็เคี่ยวกระดูกจนหอมหวานกันทั้งนั้นนี่นะ นี่น่าจะเป็นร้านเดียวในรอบหลายๆปีที่ผมและแม่ซดน้ำซุปจนหมดชาม นับว่าโชคดีจริงๆที่กระเด็นมากินร้านนี้ พอดีอ่านเจอในเพจน้องอิ้ม (PS Story) เมื่อวาน เลยได้ช่องแวะมาซะเลย
จากนั้นก็ออกเดินทางกลับลงใต้ ไม่ได้ขึ้นไปปัวหรือบ่อเกลือนะครับ ทริปนี้เวลาน้อย ใช้กับน่านครึ่งวันเมื่อวานกับครึ่งวันวันนี้พอละ ทริปปีใหม่หนนี้เราแวะเที่ยวแพร่เป็นจังหวัดสุดท้ายครับ ปีนี้ได้นอนข้ามปีที่เมืองแพร่ เพราะความที่กระแสเบากว่าน่านคนก็เลยน้อยกว่าเที่ยวสบายไปด้วย บล็อกหน้าเราไปแพร่กันเถอะ
Create Date : 20 มกราคม 2560 |
Last Update : 22 มกราคม 2560 23:13:41 น. |
|
65 comments
|
Counter : 5805 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณmastana, คุณอุ้มสี, คุณเจ้าการะเกด, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณเรียวรุ้ง, คุณกาบริเอล, คุณlovereason, คุณMax Bulliboo, คุณกะว่าก๋า, คุณtuk-tuk@korat, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณไอเอิร์ธ, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณtoor36, คุณTui Laksi, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณClose To Heaven, คุณmambymam, คุณชมพร, คุณข้ามขอบฟ้า, คุณkae+aoe, คุณRinsa Yoyolive, คุณสองแผ่นดิน, คุณThe Kop Civil, คุณเป็ดสวรรค์, คุณTristy, คุณผู้ชายในสายลมหนาว, คุณซองขาวเบอร์ 9, คุณเนินน้ำ |
โดย: sawkitty วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:6:48:34 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:7:21:14 น. |
|
|
|
โดย: เจ้าการะเกด วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:7:30:02 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:8:24:04 น. |
|
|
|
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:11:21:06 น. |
|
|
|
โดย: กาบริเอล วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:12:52:49 น. |
|
|
|
โดย: NENE77 วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:16:57:19 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:20:09:05 น. |
|
|
|
โดย: ดาริกามณี วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:20:35:30 น. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:21:35:26 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 มกราคม 2560 เวลา:23:09:04 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:0:35:02 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:2:48:26 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:7:09:07 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:11:47:13 น. |
|
|
|
โดย: ไอเอิร์ธ วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:11:50:57 น. |
|
|
|
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:19:25:37 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:23:04:54 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 21 มกราคม 2560 เวลา:23:27:46 น. |
|
|
|
โดย: ชมพร วันที่: 22 มกราคม 2560 เวลา:16:08:08 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 22 มกราคม 2560 เวลา:21:26:57 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 มกราคม 2560 เวลา:22:39:03 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 23 มกราคม 2560 เวลา:1:24:01 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 23 มกราคม 2560 เวลา:1:28:29 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 มกราคม 2560 เวลา:6:36:48 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 23 มกราคม 2560 เวลา:11:27:27 น. |
|
|
|
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 23 มกราคม 2560 เวลา:12:19:11 น. |
|
|
|
โดย: ชมพร วันที่: 23 มกราคม 2560 เวลา:13:25:46 น. |
|
|
|
โดย: oa (rosebay ) วันที่: 23 มกราคม 2560 เวลา:16:16:41 น. |
|
|
|
โดย: Tui Laksi วันที่: 23 มกราคม 2560 เวลา:18:14:10 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 23 มกราคม 2560 เวลา:22:42:07 น. |
|
|
|
โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 24 มกราคม 2560 เวลา:1:09:36 น. |
|
|
|
โดย: Tristy วันที่: 24 มกราคม 2560 เวลา:3:23:04 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 24 มกราคม 2560 เวลา:9:08:38 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 24 มกราคม 2560 เวลา:16:04:23 น. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 24 มกราคม 2560 เวลา:21:44:41 น. |
|
|
|
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 25 มกราคม 2560 เวลา:15:03:30 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 26 มกราคม 2560 เวลา:22:33:37 น. |
|
|
|
|
|
|
|