|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
อยุธยายศยิ่งฟ้า (7): นอกเกาะเมืองทิศเหนือ
กลับมาอีกครั้งกับบล็อกร้างกลางซากอิฐ ...ไม่สิ ไม่ร้างขนาดนั้น! หลังจากพาเที่ยวเกาะเมืองอยุธยา นอกเกาะเมืองฝั่งตะวันออก (อโยธยา), ฝั่งใต้, ฝั่งตะวันตก ไปแล้ว คราวนี้มาถึงฝั่งที่ผมหนักใจที่สุดคือฝั่งเหนือครับ ทำใจเตลิดไปอัพบล็อกปีใหม่อยู่นานกว่าจะมีเวลาหยุดยาวรวบรวมพลังเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาได้ เพราะฝั่งทิศเหนือนี่วัดโคตรเยอะ! เยอะไม่แพ้ในเกาะเมืองเลยครับ! และที่สำคัญหลายวัดมันรกร้าง ไม่ได้ลุยเข้าไปถ่ายได้รัวๆแบบวัดในเกาะเมืองนะครับ ต้องขออนุญาตคุณหมาๆ ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ไม่ให้ไล่กัดด้วย ทีแรกคิดว่าต้องขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องวัดอยู่และขออนุญาตผีป่า แต่ก็ไม่เคยไปล่วงเกินอะไร มีไอ้หมานี่แหละคุยไม่รู้เรื่อง
แผนที่ครับ! ขอเริ่มจากเส้นออกนอกเกาะเมืองที่เป็นที่นิยมกันได้แก่เส้นอยุธยา-อ่างทองที่ตรงดิ่งเข้าจังหวัดอ่างทองครับ ถ้ามาตามถนนอู่ทองรอบเกาะเมือง พอเห็นอนุสรณ์สถานปรีดีพนมยงค์ และพิพิธภัณฑ์ล้านของเล่นเกริก แล้วก็เลี้ยวซ้ายที่แยกไฟแดงตรงที่มีร้านขายเครื่องบูชาใหญ่ๆ เลยครับ
Click ที่ภาพเพื่อโหลดแผนที่ขนาดใหญ่ (ควรเปิดประกอบการอ่านบล็อกนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเจ้าของบล็อกมันบอกเส้นทางแล้วงงๆ)
ออกมานอกเกาะเมืองแล้ว วัดแรกที่เจอด้านซ้ายมือคือวัดพนมยงค์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านเดิมของท่านปรีดี พนมยงค์ครับ (ปัจจุบันทำเป็นอนุสรณ์สถานปรีดีพนมยงค์) ครั้งมีการใช้นามสกุลในสมัย ร.6 ตระกูลของท่านปรีดีก็ใช้ชื่อของวัดนี้แหละเป็นนามสกุล
วัดพนมยงค์ สร้างในสมัยพระนารายณ์ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้นางโยง พระนมในราชสำนักท่านหนึ่งที่เสียชีวิตไปแล้ว เลยได้ชื่อว่าวัดพระนมโยง --> พนมยงค์ (อืม มีเหตุผลๆ) จุดเด่นคือองค์พระนอนขนาดใหญ่ที่พุทธลักษณะใกล้เคียงพระนอนวัดป่าโมก จ.อ่างทอง จึงเชื่อได้ว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนกลางเช่นเดียวกัน วัดถูกทิ้งร้างหลังเสียกรุง แม้จะได้รับการบูรณะในสมัย ร.5 แต่ก็ไม่มีคนดูแลต่อ จนกระทั่งกลุ่มลูกศิษย์ท่านปรีดีร่วมกันสมทบทุนลงกองทุนปฏิสังขรณ์วัดในปี พ.ศ.2538 วัดจึงกลับมาดูงดงามครับ
ภายในอุโบสถ
|
ฝั่งตรงข้ามเห็นเรือนเก่าของท่านปรีดี เดิมเป็นเรือนแพลอยน้ำ แต่นำขึ้นบกมาอนุรักษ์ไว้ มีสะพานเดินเท้าข้ามไปอีกฝั่งได้นะครับ
| ขึ้นไปอีกหน่อยจะเป็นซอยทางเข้า วัดศาลาปูน เหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะในสมัยอยุธยาบริเวณนี้เป็นแหล่งเผาปูน (อืม มีเหตุผลอีกแล้ว) วัดนี้บูรณะในสมัย ร.3 และ ร.5 ภายในอุโบสถจึงมีภาพจิตรกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นด้วย วัดนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อวัดไร่ขิงมาก่อน แต่ในปี พ.ศ.2427 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) เจ้าอาวาสวัดศาลาปูนสมัยนั้นได้อัญเชิญพระประธานไปที่วัดไร่ขิง เพราะท่านเป็นชาวเมืองนครไชยศรีและก่อนหน้าจะมารับตำแหน่งที่วัดศาลาปูนท่านเป็นผู้สร้างวัดไร่ขิง พระประธานองค์ก่อนของวัดศาลาปูนจึงกลายเป็นหลวงพ่อวัดไร่ขิงที่ชาวนครปฐมเคารพนับถือกันมากนับแต่นั้น ส่วนพระประธานองค์ปัจจุบันของวัดศาลาปูนสร้างจำลองขึ้นมีลักษณะเหมือนหลวงพ่อวัดไร่ขิงทุกประการครับ
ขับตามเส้นอยุธยา-อ่างทองขึ้นมาต่อเลยครับ พอไกลออกจากเขตเมืองเก่าออกไปเรื่อยๆ เหล่าซากอิฐก็ลดความหนาแน่นลง มีทุ่งนามากขึ้นๆ บริเวณนี้คือทุ่งภูเขาทอง-ทุ่งลุมพลี-ทุ่งหันตรา-ทุ่งมะขามหย่อง เป็นสมรภูมิเก่าที่มีการสู้รบหลายครั้งหลายครา แต่ปัจจุบันใช้เป็นที่ทิ้งน้ำป้องกันน้ำท่วมครับ มองไปด้านซ้ายมือจะเห็นเจดีย์สูงเด่นเป็นสง่าอยู่กลางทุ่งนาเลย นั่นคือภูเขาทองของอยุธยาที่กรุงเทพสร้างภูเขาทองวัดสระเกศตามอย่าง
ด้านหน้าภูเขาทองมี อนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวร ในปี พ.ศ.2129 กองทัพของนันทบุเรงเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาที่กระด้างกระเดื่อง พระนเรศวรได้ควบม้าใช้ทวนแทงลักไวทำมู นายกองของพม่าตายที่บริเวณทุ่งลุมพลีแห่งนี้ อนุสาวรีย์นี้สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2542 จำลองพระนเรศวรถือทวนบนหลังม้าตามสงครามครั้งนั้นครับ
วัดภูเขาทอง สร้างโดยพระราเมศวร ในปี พ.ศ.1930 ส่วนองค์เจดีย์นี้สร้างตามมาทีหลังครับ ฐานของเจดีย์เป็นแบบมอญที่มีขนาดใหญ่โตกว่าเจดีย์ทรงอยุธยาปกติ เชื่่อกันว่าสร้างโดยพระเจ้าบุเรงนองในปี พ.ศ.2112 เพื่อประกาศชัยชนะเหนืออยุธยา แต่ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศตอนปลายของอยุธยาด้านบนของเจดีย์องค์นี้ก็ถูกแก้เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองแบบอยุธยา
ด้านหลังเจดีย์ภูเขาทองคือพระอุโบสถที่สร้างทับฐานเดิมที่สร้างมาตั้งแต่สมัยพระราเมศวร รอบอุโบสถมีเจดีย์รายที่ส่วนใหญ่สร้างตอนบูรณะวัดสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศครับ
พระพุทธรูปในอุโบสถแบ่งเป็นสามตอน มีพระพุทธรูปเก่าแก่ที่สำคัญอยู่หลายองค์เลยครับ ตอนที่ 1 - หลวงพ่อขาว หลวงพ่อเสือ ตอนที่ 2 - พระพุทธรูปสุโขทัย 3 องค์ รอยพระพุทธบาทจำลอง ปู่ฤาษีตาไฟ ตอนที่ 3 - พระประธาน หลวงพ่อเชียงแสน
บนกุฏิเจ้าอาวาสมีรอยพญานาคด้วย ผมไปวัดนี้รอบหลังสุดปี พ.ศ.2555 ตอนนั้นกำลังฮิตพญานาคเลยเนอะ
ไม่ใช่แค่ศึกลักไวทำมูนะครับ ทุ่งบริเวณนี้เป็นสนามรบหลักในสมัยอยุธยาเลยก็ว่าได้ ตอนปลายอยุธยาทั้งในศึกพระเจ้าอลองพญาและสงครามเสียกรุงพม่าเข้าประชิดอยุธยารอบด้าน วัดภูเขาทองก็ถูกใช้เป็นที่ตั้งทัพของพม่า เช่นเดียวกับวัดนอกเกาะเมืองอีกหลายวัด ตอนพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้บุกกรุงศรีครั้งแรก พระมหาจักรพรรดิก็ใช้วัดภูเขาทองและวัดโคกพระยาที่อยู่ใกล้ๆกันนี้เป็นที่ตั้งรับข้าศึก แม้แต่สงครามที่พระสุริโยทัยขาดคอช้างก็เกิดที่ทุ่งมะขามหย่องใกล้ๆกันนี้ครับ
ก่อนออกไปทุ่งมะขามหย่องขอมาชม วัดโคกพระยา กันก่อน ถึงจะชื่อโคกพระยาแต่วัดนี้ไม่ใช่สถานที่ประหารชีวิตกษัตริย์นะครับ วัดโคกพระยาที่ใช้ประหารนั่นอยู่แถวคลองสระบัว ปกติเมื่อกล่าวถึงวัดโคกพระยาที่ภูเขาทองที่มีสำคัญน้อยกว่าเลยต้องวงเล็บท้ายชื่อว่า วัดโคกพระยา (ภูเขาทอง) วัดนี้เป็นสถานที่ที่พระมหาจักรพรรดิใช้ตั้งทัพรับศึกกับพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ศึกเดียวกับที่เสียพระสุริโยทัยครับ
จากภูเขาทองตรงขึ้นเหนือมาอีก 3 กม. จะมีสี่แยกใหญ่แยกเข้าทุ่งมะขามหย่อง ระหว่างทางด้านขวามือมี วัดตูม เป็นวัดเก่าแก่ ได้รับการบูรณะสมัยรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาครับ มีเครื่องรางของขลังให้เช่าเยอะ เพราะเดิมตั้งแต่สมัยอยุธยาก็ใช้สระโบราณในวัดนี้เป็นที่ลงเครื่องพิชัยสงคราม และ ร.6 เคยมาประกอบพิธีกรรมลงยันต์และอักขระบนธงพระครุฑพ่าห์เป็นธงไชยเฉลิมพลให้ทหารในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่วัดนี้ด้วย พระประธานคือหลวงพ่อสุขสัมฤทธิ์ (องค์หน้า) ที่เศียรเปิดได้มีน้ำไหลตลอดเวลาและเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ดื่มรักษาโรค
ขึ้นมาจนเจอสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายลงมาทางใต้จะเข้ามาถนน 347 ขับลงมา 2 กม. จะถึง ทุ่งมะขามหย่อง ครับ (หลุดจากแผนที่ด้านบนออกไปทางซ้ายอีก) ในหลวงภูมิพลเคยเสด็จมาที่ทุ่งมะขามหย่องสามครั้งครับ ครั้งแรกปี พ.ศ.2534 เพื่อเปิดอนุสาวรีย์พระสุริโยทัย เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองราชินีครบ 5 รอบ ครั้งที่สองในปี พ.ศ.2538 เพื่อเกี่ยวข้าว ครั้งที่สามในปี พ.ศ.2555 หลังน้ำท่วมใหญ่ พื้นที่ทุ่งมะขามหย่องเป็นพื้นที่แก้มลิงที่ช่วยลดความรุนแรงของน้ำที่จะทะลักเข้าเมือง และเป็นการเสด็จอยุธยาครั้งสุดท้ายด้วย
กลางทุ่งมะขามหย่องมี อนุสาวรีย์พระสุริโยทัย มเหสีของพระมหาจักรพรรดิ (เคยเผลอเขียนชื่อเป็นสุริโยไทหลายหนเพราะชื่อหนังท่านมุ้ย) เพื่อระลึกถึงสงครามพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ในปี พ.ศ.2091 ช้างของพระมหาจักรพรรดิเสียทีพระเจ้าแปร พระสุริโยทัยจึงไสช้างเข้าขวางและถูกพระเจ้าแปรฟันขาดสะพายแล่ง สิ้นพระชนม์ที่ทุ่งมะขามหย่องนี้ พระศพถูกนำกลับพระนครโดยพระมหาจักรพรรดิได้สร้างวัดสบสวรรค์ขึ้นบริเวณที่ถวายพระเพลิง
ไปไกลแล้วทีนี้กลับมาแถวๆเกาะเมืองบ้างครับ ถ้าเลยแยกพิพิธภัณฑ์ล้านของเล่นเกริกมาจะเห็นพระราชวังโบราณอยู่ด้านขวา ด้านซ้ายเป็นคลองเมือง (เดิมคือแม่น้ำลพบุรี แต่ตื้นเขินลงกลายเป็นคลอง) จะมีสะพานข้ามออกจากเกาะเมืองตรงกับวัดหน้าพระเมรุ สะพานค่อนข้างเล็กสำหรับรถนะครับ ถนนด้านบนที่ตรงกับเกาะเมืองเป๊ะๆเลยจะมีแต่ถนนชนบทที่แคบกระจิ๋วหลิว แต่มีวัดโบราณอยู่เพียบ! เพราะในอดีตบริเวณนี้มีคลองสระบัวที่เป็นแหล่งสัญจรที่สำคัญของอยุธยาเชื่อมกับเกาะเมืองครับ ปัจจุบันยังคงเหลือแนวคลองแต่ก็ตื้นเขินจนใช้การไม่ได้แล้ว
วัดหน้าพระเมรุ สร้างโดยพระองค์อินทร์ พระราชโอรสองค์เล็กของพระรามาธิบดีที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2047 ที่เรียกหน้าพระเมรุไม่ใช่เป็นที่เผาศพหรืออะไรนะครับ แต่ตำแหน่งวัดนี้อยู่ตรงข้ามกับสนามหลวงในเกาะเมืองอยุธยาที่เป็นที่ปลงศพเจ้านายชั้นสูงสมัยอยุธยา แต่ในช่วงอยุธยาตอนปลายพื้นที่ตรงนี้ส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นสนามหน้าจักรวรรดิไป สำหรับศัตรูที่จะมาบุกอยุธยาวัดนี้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะแก่การยึดเป็นอย่างยิ่ง เพราะอยู่นอกเกาะเมือง แถมอยู่ตรงข้ามพระราชวังพอดี การถูกใช้เป็นที่ตั้งทัพของพม่าจึงไม่ถูกทำลายเลยกลายเป็นจุดขายของวัดไปเลย แต่อันที่จริงพม่าก็ยึดวัดรอบเกาะเมืองไปตั้งค่ายเป็นสิบๆวัดอะนะ ที่พังๆจนเหลือแต่ซากนั่นส่วนใหญ่มารื้อเอาไปสร้างกรุงเทพทั้งนั้น แต่วัดนี้ถูกบูรณะในสมัย ร.3 เพราะอยู่ใกล้จวนของพระยาไชยวิชิตเจ้าเมืองอยุธยาในสมัยนั้น จึงเป็นวัดแรกๆที่ถูกบูรณะขึ้นท่ามกลางอยุธยาที่เหลือแต่ซากอิฐ ต่อมาในสมัย ร.4-5 ที่เริ่มสนใจประวัติศาสตร์จริงจังแล้วจึงเริ่มมีการบูรณะวัดหลายแห่งในอยุธยาตามมาครับ
พระประธานวัดนี้มีชื่ออันยาวเหยียดว่า "พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ" (ตั้งชื่อสมัย ร.3) อยู่ในอุโบสถ สร้างในสมัยพระเจ้าปราสาททองซึ่งนิยมทำพระพุทธรูปทรงเครื่องตามคติจักรพรรดิราช เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นเทคนิคเสริมสร้างบุญญาธิการของคนที่ไม่ได้มาจากเชื้อสายเจ้าแต่ขึ้นเป็นกษัตริย์
องค์ที่สำคัญต้ององค์นี้เลยครับ พระคันธารราฐ ศิลปะสมัยทวารวดีอายุ 1,200 ปีที่นำมาจากทุ่งพระเมรุที่นครปฐม ตามที่เคยเล่าตอนอัพบล็อกนครปฐมเมื่อ 4 ปีก่อน (ใครมันจะไปจำได้ฟะ!) วัดทุ่งพระเมรุเดิมเคยมีสถูปกลางที่มีพระศิลาขาวประจำสี่ทิศ แต่วัดพังทลายและพระศิลาขาวได้กระจายไปยังที่ต่างๆ ส่วนพระคันธารราฐองค์นี้เป็นพระศิลาเขียวที่เคยอยู่ที่ทุ่งพระเมรุเช่นกัน เป็นองค์ที่ 5 (อาห์.....สมบัติลับ) ในสมัยอยุธยาได้อัญเชิญมาไว้ที่วัดมหาธาตุ กลางเมืองอยุธยา ก่อนจะย้ายมาประดิษฐานที่วิหารน้อยในวัดหน้าพระเมรุจนถึงปัจจุบันครับ สันนิษฐานว่าพระศิลาขาวทั้ง 4 (ยกพระหัตถ์แสดงธรรม) คือพระพุทธเจ้าทั้งสี่ในภัทรกัปป์ และพระศิลาเขียวองค์นี้ (วางพระหัตถ์ทั้งสองข้าง) คือพระศรีอาริยเมตไตรย
ด้านหลังวัดหน้าพระเมรุมี วัดหัสดาวาส สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น ถนนระหว่างวัดหน้าพระเมรุและวัดหัสดาวาสเคยใช้เป็นที่เจรจาสงบศึกระหว่างพระมหาจักรพรรดิและพระเจ้าบุเรงนอง โดยจะจัดช้างเผือกถวายให้หงสาวดีตามที่ขอ (a.k.a. ขอยอมแพ้นั่นเอง) วัดหัสดาวาสมีอีกชื่อว่าวัดช้าง มีเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่เป็นประธาน สมัยก่อนเคยเป็นเจดีย์ช้างล้อม แต่ตอนนี้ไม่เหลือช้างแล้วครับ
ด้านซ้ายของวัดหน้าพระเมรุมี วัดเชิงท่า ตำนานเล่าว่าลูกสาวของเศรษฐีหนีตามชายหนุ่มไป เศรษฐีเลยปลูกเรือนให้รอลูกสาวกลับมาจะยกให้อยู่กับคนรัก แต่เธอไม่กลับ เศรษฐีเลยเลยถวายเรือนให้เป็นที่วัด มีชื่อดั้งเดิมว่าวัดคอยท่า (น่าจะชื่อวัดคอยเก้อ) และเปลี่ยนเป็นเชิงท่าในภายหลัง ได้รับการบูรณะในสมัย ร.4
ปรางค์ประธานของวัดมีลักษณะแบบอยุธยาตอนต้น ด้านหน้ามีปรางค์บริวารอีกมากมายเลยครับ
วัดนี้เป็นอีกวัดทางตอนเหนือของเกาะเมืองที่คนนิยมมาทำบุญกันมาก ตอนไปครั้งแรกกับครั้งหลังอัพเกรดขึ้นมาเยอะเหมือนกัน
ศาลาการเปรียญถูกสร้างขึ้นในสมัย ร.4 เป็นศาลาสองชั้นอายุกว่า 100 ปีที่ยังคงสภาพเดิม มีภาพจิตรกรรมเทพชุมนุม พุทธประวัติ ทศชาติชาดก และเตมีย์ชาดก
ทางเหนือของวัดหัสดาวาสเป็นเขตชุมชน ต้องตั้งใจวนหาหน่อยนะครับถึงจะเจอวัดนี้ วัดโคกพระยา สถานที่ประหารกษัตริย์และเจ้านายในสมัยอยุธยาหลังมีการชิงบัลลังก์กันนับครั้งไม่ถ้วน เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่มีประวัติศาสตร์นองเลือดมากที่สุดแล้ว เพราะเป็นที่ๆระบุให้เป็นที่ประหารชีวิตตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองกำหนดลงในกฎมณเทียรบาลก่อนพระบรมไตรโลกนาถจะร่างกฎหมายตราสามดวงเสียอีก
ถ้าแลโทษหนักถึงสิ้นชีวิตไซร้ ให้ส่งแก่ทะลวงฟันหลังแลนายแวงหลังเอาไปมล้างในโคกพญา
แต่กฎหมายประหารเจ้านายถูกใช้งานจริงครั้งแรกก็ตอนที่พระเจ้าทองลันผู้ครองราชย์ได้ 7 วัน ถูกพระราเมศวรนำตัวมาสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่นี่ในปี พ.ศ.1931 หลังจากนั้นวัดนี้ก็ถูกใช้เป็นที่ประหารกษัตริย์มาตลอด เวลาอ่านประวัติศาสตร์ช่วงชิงบัลลังก์หลายท่านจึงคุ้นเคยกันดีกับคำว่า "แล้วนำไปสำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา" มาดูรายนามกษัตริย์ที่สวรรคตที่นี่กันครับ...
1. พระเจ้าทองลัน ถูกพระราเมศวรสำเร็จโทษในปี พ.ศ.1931 2. พระรัษฎาธิราช ถูกพระไชยราชาธิราชสำเร็จโทษในปี พ.ศ.2077 3. พระยอดฟ้า ถูกขุนวรวงศาธิราชสำเร็จโทษในปี พ.ศ.2091 4. พระศรีสาวภาคย์ ถูกพระเจ้าทรงธรรมสำเร็จโทษในปี พ.ศ.2154 5. พระเชษฐาธิราช ถูกพระเจ้าปราสาททองสำเร็จโทษในปี พ.ศ.2172 6. เจ้าฟ้าไชย ถูกพระศรีสุธรรมราชาร่วมกับพระนารายณ์สำเร็จโทษในปี พ.ศ.2199 7. พระศรีสุธรรมราชา ถูกพระนารายณ์สำเร็จโทษในปี พ.ศ.2199
ฉากประหารพระยอดฟ้าจากเรื่องสุริโยไท เมื่อประหาร จะนำตัวนักโทษใส่ถุงแดงแล้วเอาท่อนจันทน์ตอกเพื่อไม่ให้เลือดเจ้าหยดใส่แผ่นดินตามความเชื่อสมัยก่อนครับ ส่วนกษัตริย์อีกหลายองค์ที่ถูกชิงอำนาจแต่ไม่ได้ประหารที่นี่ก็จะมีเหตุจำเป็นต่างๆกันไปครับ เช่น ขุนวรวงศาธิราช ถูกลอบฆ่าแถวคลองสระบัว แล้วนำหัวไปเสียบประจานที่วัดแร้ง (พวกคณะก่อการไม่ถือว่าขุนวรวงศาเป็นกษัตริย์) หรือพระอาทิตยวงศ์ ถูกพระเจ้าปราสาททองชิงอำนาจ แต่ไว้ชีวิต เมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็มาก่อกบฏ เลยถูกจับไปประหารที่ตะแลงแกงแบบนักโทษทั่วไป
และยังมีเจ้านายชั้นสูงอีกมากที่ถูกจับใส่ถุงแดงเอาท่อนจันทน์ตอกที่นี่ครับ เอาเฉพาะที่ดังๆก็เช่น พระพันปีศรีศิลป์, เจ้าพระขวัญ, เจ้าฟ้าอภัย, เจ้าฟ้าปรเมศร์, พระองค์เจ้าชื่น, พระองค์เจ้าเกิด, กรมหมื่นจิตรสุนทร, กรมหมื่นสุนทรเทพ, และกรมหมื่นเสพภักดี หลังประหารเสร็จก็ห่อศพด้วยผ้าแดงแล้วทิ้งลงในหลุมหรือในบ่อน้ำวัดนี้โดยไม่เผา เป็นที่มาของคำว่าไม่เผาผี...
...แต่อาถรรพ์ก็คงไม่ค่อยจะเหลือแล้วครับ บ้านเรือนสร้างเบียดที่วัดเข้ามาเหลือกระจึ๋งเดียว ซากกระดูกส่วนใหญ่คงถูกฝังอยู่ใต้บ้านพวกนี้แหละ พอย้ายเมืองหลวงไปกรุงเทพก็ไปประหารกันต่อที่วัดปทุมคงคา การประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ยกเลิกไปในสมัย ร.4 ครับ
เหนือจากวัดโคกพระยาขึ้นไปมี วัดตะไกร ถึงจะมีบ้านเรือนและต้นไม้ขึ้นหนาทึบ แต่เจดีย์วัดนี้สูงพอสังเกตได้ครับ สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น ในวรรณคดีขุนช้าง-ขุนแผน วัดนี้เป็นที่ปลงศพนางวันทองด้วย ตอนนี้ก็มีคนเข้ามาใช้งานนะครับ คนจรจัดที่เข้ามาทำเพิงอยู่นั่นเอง
บริเวณนี้ยังเห็นแนวคลองสระบัวอยู่ครับ คลองนี้ไหลลงแม่น้ำลพบุรีทางตอนเหนือของเกาะเมือง (ปัจจุบันเป็นคลองเมือง) เดิมเป็นลำคลองตามธรรมชาติ แต่พระมหาจักรพรรดิได้สั่งขุดขยายคลองขึ้นไปจนถึงพระที่นั่งเพนียด หลังจากตัวเองสั่งให้ย้ายเพนียดคล้องช้างออกไปนอกเมืองแถวสวนพริก พอกษัตริย์จะเสด็จไปคล้องช้างก็ต้องนั่งเรือผ่านคลองนี้ขึ้นไปครับ สมัยก่อนเป็นเส้นทางสัญจรที่สำคัญมีตลาดมีชุมชนขึ้นพรึ่บพั่บ มีวัดเรียงรายสองฝั่งคลอง แต่ตอนนี้เหงาทั้งคลองทั้งวัดเลยครับ กาลเวลาเปลี่ยนอะไรๆก็เปลี่ยนไป
ข้างคลองมีถนนแคบๆให้เดินเท้าจากด้านข้างวัดหน้าพระเมรุขึ้นไปจนถึงวัดศรีโพธิ์ เดินมาเพลินๆ เจอเอาวัดนี้ครับ วัดกำแพง เป็นวัดร้างริมคลองสระบัว เหลือพระประธานที่ถูกโจรเจาะจนพรุนไปแล้ว ไปต่อจากนี้มีฝูงหมามาไล่เห่า เลยเดินกลับทางเดิมดีกว่า
จากวัดหน้าพระเมรุ ขับตามถนนเข้าวัดศรีโพธิ์ขึ้นมาสักพักจะเห็น วัดเจ้าย่า อยู่ข้างทางครับ วัดนี้มีถนนผ่านไม่ต้องลุยป่าเข้าไป แต่ถนนมันผ่ากลางวัดเลยนี่สิ! วัดเลยอยู่ทั้งสองฝั่งถนนจ้ะ วัดนี้ยังคงเหลือร่องรอยโบราณสถานมากมาย ฝั่งตะวันออกของถนนมีเจดีย์และวิหาร สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น
ฝั่งตะวันตกของถนนมีหอระฆังและตำหนัก เป็นอาคารสองชั้นเหมือนตำหนักกำมะเลียนวัดกุฎีดาว คาดว่าสร้างขึ้นสมัยอยุธยาตอนปลาย
ใกล้ๆ วัดเจ้าย่านี้มีวัดเก่ากระจายอยู่ในป่าเพียบเลย เดี๋ยวจะพาไปดูวัดที่ดังที่สุดคือ วัดแร้ง ครับ หลังท้าวศรีสุดาจันทร์หนุนขุนวรวงศาธิราชขึ้นเป็นกษัตริย์สร้างความไม่พอใจให้ขุนนางผู้ใหญ่ เหล่าขุนนางนำโดยขุนพิเรนทรเทพ (พระมหาธรรมราชา) จึงก่อการหลอกให้ขุนวรวงศาไปคล้องช้างป่าที่เพนียดวัดซองแถวหัวรอ (ตอนนั้นยังไม่ได้ย้ายเพนียดไปสวนพริก) เมื่อขุนวรวงศา ท้าวศรีสุดาจันทร์ และโอรส ล่องเรือมาตามคลองสระบัวก็ถูกคณะก่อการโจมตี ต้องล่าถอยขึ้นมาบนฝั่งและถูกสังหารแถวๆ วัดแร้ง จากนั้นก็ถูกนำศพมาเสียบประจานไว้ที่วัดแร้งแห่งนี้ แล้วคณะก่อการก็เชิญพระเฑียรราชาขึ้นครองราชย์เป็นพระมหาจักรพรรดิ ใช่แล้ว! เราจะไม่ยอมให้คนนอกมาครองบัลลังก์ของอยุธยาเด็ดขาด! ....แล้วไม่นานก็เสียกรุงครั้งที่ 1 โดยพระมหาธรรมราชาไปเข้าข้างพม่ามาเล่นงานอยุธยาเองด้วย เวรกำ...
ทางเข้าวัดแร้งจะเห็นบ้านร้างหลังนี้ครับ ข้างบ้านมีทางลงไปยังป่าละเมาะด้านล่าง
|
แถวนี้มีอิฐโบราณกระจัดกระจายอยู่ทั่ว มีขนาดเล็กกว่าอิฐที่วัดอื่นๆ
| วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า ♫ เข้ามาสักพักจะเจอส้วม! ...ไม่ใช่! นั่นคือวัดแร้ง!! ถูกไถกลบจนไม่เหลือสภาพวัดละครับ อิฐของวัดนี้ถูกโกยมากองกัน ด้านบนพยายามสร้างอาคารอะไรสักอย่าง น่าจะทำเป็นศาล แต่ตอนนี้รื้อออกไปแล้วเหลือแต่เสา
ด้านหลังวัดแร้งมีร่องรอยของคลองบางปลาหมอ เป็นลำคลองเล็กๆที่แยกจากคลองสระบัว และไหลลงแม่น้ำลพบุรีเช่นกัน ปัจจุบันตื้นเขินกลายเป็นหนองน้ำไปแล้วครับ ข้ามหนองไปทางตะวันออกเฉียงใต้อีกนิดจะมีวัดลายสอ แต่ควรให้ชาวบ้านในพื้นที่พาเข้าไปนะครับ เดี๋ยวไปตกน้ำตกท่าเอา | | แถวป่าละเมาะบริเวณนี้ยังมีซากวัดกระจัดกระจายอยู่ แต่ถ้าไม่ได้ชาวบ้านนำเข้าไปก็ลำบากนะครับ หลายๆวัดถูกไถกลบไปจนแทบไม่เหลือซากแล้วด้วย อย่างบ้านแถบนี้มีเศษอิฐของวัดเก่ากระจายอยู่ตามพื้นดิน ในป่าหลังบ้านนั้นถามชาวบ้านได้ความว่าเป็นซากวัดใบสอ (อย่าสับสนกับวัดลายสอแถววัดแร้งนะ)
ตอนนี้กลับมาแถวนี้ไม่เห็นจุดสังเกตที่เคยเห็นแล้วนะครับ กลุ่มอาคารหน้าวัดใบสอกลายเป็นตึกแถวไปหมดแล้ว ส่วนบ้านร้างหน้าวัดแร้งก็ยิ่งรกชัฏจนมองไม่เห็นทางเข้าแล้ว
ขับตามถนนขึ้นมาต่อจะถึง วัดศรีโพธิ์ สร้างในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่ถูกทิ้งร้างหลังเสียกรุงครั้งที่สอง ปัจจุบันควบรวมกับวัดพรหมกัลยารามที่ร้างไปแล้วและบูรณะขึ้นใหม่ทั้งหมด เจดีย์หน้าอุโบสถถึงจะทาสีใหม่เอี่ยมอ่องแต่ยังคงรูปแบบเดิมสมัยอยุธยาตอนปลายอยู่ครับ | | จากวัดศรีโพธิ์มีถนนอ้อมมาหลังวัดทั้งด้านซ้าย-ขวา ถนนขวาใหญ่กว่าครับ เป็นทางไปยัง วัดกลางคลองสระบัว ปัจจุบันเป็นวัดที่มีพระจำพรรษา วัดนี้ไม่ได้มีแค่ซากอิฐ แต่มีผู้คน! เป็นวัดที่คึกคักที่สุดของชุมชนคลองสระบัวเลย ที่นี่มีวิหารพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ ที่โด่งดังที่สุดคือหลวงพ่อทันใจ (รูปซ้ายบน-องค์หน้า-ด้านซ้าย)
ถ้ามาถนนด้านซ้ายถนนแคบมากครับ จะมีโบราณสถานเรียงกันสามวัดเลย วัดพระงาม-วัดจงกลม-วัดพระยาแมน ส่วนทุ่งทางตะวันตกของวัดเหล่านี้เรียกว่าทุ่งขวัญ สมัยก่อนรู้สึกว่ายิ่งเข้าไปลึกวัดก็ยิ่งใหญ่ขึ้นๆ วัดพระงามไม่มีอะไรเท่าไหร่ วัดจงกลมใหญ่ขึ้น วัดพระยาแมนใหญ่มาก แต่ตอนนี้วัดพระงามดังสุดเลยครับ เพราะการท่องเที่ยวโปรโมทว่าประตูวัดที่มีรากโพธิ์คลุมนี้คือประตูกาลเวลา~ เท่านั้นละ นักท่องเที่ยวแห่กันมาถ่ายรูปไม่ขาดสาย ถนนเล็กๆบ้านเหงาๆที่อยู่แถวนั้นก็เริ่มมีร้านขายของผุดขึ้นมา นี่มันวัดไชยวัฒนารามโมเดล! (แบบลดอิมแพ็คลงมา)
วัดพระงาม หรือวัดชะราม สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น มีเจดีย์แปดเหลี่ยมเป็นประธานครับ
วัดจงกลม สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้นและมีเจดีย์แปดเหลี่ยมเป็นประธานเช่นกัน แต่อุโบสถยังค่อนข้างสมบูรณ์มีกำแพงครบ
วัดพระยาแมน สร้างในสมัยอยุธยาตอนกลาง เป็นวัดที่พระเพทราชาเคยมาผนวชก่อนขึ้นครองราชย์ พอครองราชย์แล้วก็กลับไปถมที่บูรณะจนใหญ่โตกว่าวัดอื่นในบริเวณนี้ ศิลปะเลยคล้ายวัดบรมพุทธารามที่พระเพทราชาสร้าง เนื่องจากวัดมันอยู่ลึก ไปทีไรก็เจอแต่ฝรั่งเที่ยวครับ คนไทยแถวนั้นก็มีแต่ชาวบ้านที่เข้ามาเลี้ยงวัวเลี้ยงไก่ในวัด
ระหว่างวัดจงกลมและวัดพระยาแมนสมัยก่อนเคยมี ตลาดน้ำคลองสระบัว เป็นตลาดน้ำแห่งแรกๆที่ผมเคยมาเที่ยวเลย มาครั้งแรกสุดปี 2552 ครับ เป็นแพต่อให้เดินกลางสระน้ำ มีควายเผือก มีอาหารขาย มีการแสดงกลางน้ำเป็นรอบๆด้วย
น่าเสียดายช่วงน้ำท่วมปี 54 ตลาดปิดตัวไป แล้วก็ไม่เปิดกลับมาอีกเลย ตอนปี 2558 เคยไปด้อมๆมองๆด้วยความคิดถึง ก็ได้เจอลุงรงค์เจ้าของตลาดน้ำแห่งนี้ชวนให้เข้าไปชมด้านใน มีเรือนไทย มีห้องสัมมนา ระหว่างรอเปิดตลาดใหม่ก็ให้โรงถ่ายหนังเช่าพื้นที่ไปถ่ายละครหลายเรื่องแล้ว เสียดายชื่อละครที่ลุงเล่ามาผมไม่รู้จักจ้า (ดังอยู่นะ แต่ผมไม่ค่อยได้ดูละคร) ตอนนั้นลุงบอกว่าเตรียมเปิดตลาดกลับมาอีกครั้ง แต่ด้วยการท่องเที่ยวแถบนี้ที่ซบเซาน่าจะยาก ลูกๆลุงก็โตทำงานกันหมดแล้ว ผมไปรอบล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วเอง (เม.ย. 2561) การท่องเที่ยวอยุธยาบูมขึ้นมาเพราะกระแสบุพเพสันนิวาส แต่ลุงรงค์ไม่ได้คิดจะกลับมาเปิดตลาดแล้วครับ ตอนนี้มีทั้งตลาดน้ำอโยธยา ตลาดกรุงศรี ตลาดน้ำบางกะจะ ถนนคนเดินคลองในไก่ ฯลฯ ตลาดแนวท่องเที่ยวเต็มอยุธยาไปหมดแล้ว ให้เช่าพื้นที่เป็นที่ถ่ายหนังไปเลยดีกว่า อ้อ บุพเพสันนิวาสก็ถ่ายทำที่นี่ฉากนึงนะครับ ฉากคว่ำเรือตอนแรกสุดเลย | | ออกมาชนกับถนน 3060 จะเจอ วัดสี่เหลี่ยม ที่สามแยก ชื่อก็ตามภาพเลยครับ สี่เหลี่ยมเน้นๆก้อนเดียวเลย วัดนี้เหลือแค่อุโบสถ
จากวัดสี่เหลี่ยม เลี้ยวมาทางขวาจะชนกับถนนเส้นที่ออกจากวัดหน้าพระเมรุมาทางขวา ที่หัวมุมมี วัดครุฑธาราม วัดนี้สร้างในปี พ.ศ.2302 สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ปัจจุบันก็ยังมีพระสงฆ์จำพรรษานะครับ แต่หน้าตาเหมือนวัดร้างไปหน่อย
ทางใต้ของวัดสี่เหลี่ยมมีวัดข้างๆอีกแห่งนึง วัดแคครับ แต่ก่อนเห็นเจดีย์กองอยู่ข้างทางหรอมแหรมคิดว่าวัดไม่ใหญ่มาก ไปรอบล่าสุดลงไปเดินถ่ายรูป ข้างในยังมีซากโบราณของวัดนี้อีกเพียบเลยครับ! พื้นที่วัดกินไปถึงบ่อน้ำหน้าเพนียดคล้องช้างเลย
วัดแค สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ประกอบด้วยเจดีย์ขนาดใหญ่ถึง 3 องค์ ป้ายของกรมศิลป์จะระบุเป็นเจดีย์ประธานหมายเลข 1, 2, 3 มองจากฝั่งถนนไล่จากซ้ายไปขวา ซึ่งในรูปนี้คือเจดีย์ประธานหมายเลข 1 มีวิหารอยู่ด้านหน้าครับ ด้านหลังติดถนน
เจดีย์ประธานหมายเลข 2 มีลักษณะคล้ายพระธาตุหริภูญไชยที่ลำพูน คาดว่าบริเวณนี้เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของชาวล้านนาที่ถูกกวาดต้อนมาในสมัยพระไชยราชาไปตีล้านนา
เจดีย์ประธานหมายเลข 3 เป็นเจดีย์ทรงระฆังสององค์ตั้งอยู่บนฐานเดียวกันคล้ายเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์
ส่วนวัดแคที่โด่งดังเรื่องหลวงปู่ทวดเคยมาจำพรรษาคือวัดแคบนเกาะลอย ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
ข้ามคลองหัวรอไปอีกฝั่งมี วัดป้อมรามัญ เดิมชื่อวัดป้อม และแถวนี้เป็นที่เผาอิฐมอญขาย เลยเอาคำว่ารามัญมาเติมทีหลัง (มีเหตุผลๆ) ปัจจุบันบูรณะจนไม่เหลืออะไรเก่าๆไว้ดูแล้วครับ
ทีนี้กลับมาที่เกาะเมืองอีกรอบ จากวัดราชประดิษฐานออกมาทางซ้ายข้ามสะพานออกจากเกาะเมืองมา เส้นนี้จะพาเลาะไปวัดทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมือง ซึ่งโซนนี้ไม่ได้รกชัฏแบบคลองสระบัวครับ มีวัดเก่าๆที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีอยู่เลยเลย ข้ามสะพานมาเจอวัดแรกคือ วัดวงษ์ฆ้อง ถนนตัดผ่ากลางวัดนี้เลยครับ เดิมชื่อวัดโรงฆ้อง เป็นวัดเก่าแก่ก่อนยุคกรุงศรีอยุธยา ได้รับการบูรณะในปี พ.ศ.1920 สมัยขุนหลวงพะงั่ว สมัยอยุธยาบริเวณนี้มีตลาดวัดโรงฆ้องที่คึกคัก
ซากเจดีย์ในวัดทุกองค์มีรอยทะลวงกรุหมดสิ้น แย่จัง
จากวัดวงษ์ฆ้องขับมาทางตะวันตกจะผ่านโบราณสถาน วัดโพธิ์ (ร้าง) สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันเหลือเจดีย์ วิหาร อุโบสถ และเจดีย์ราย เป็นวัดร้างท่ามกลางวัดที่ถูกบูรณะวัดอื่นๆเลย
เลยมาอีกเป็น วัดกุฎีทอง ถูกถนนผ่ากลางวัดเช่นกัน วัดนี้เป็นวัดเก่าก่อนยุคกรุงศรีอยุธยา เดิมเป็นวัดใหญ่โต ปิดทองสวยงาม แต่ถูกทำลายในครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 เพิ่งบูรณะครั้งใหญ่ปี พ.ศ.2525 จนอุโบสถใหม่เอี่ยมปิ๊งๆ~ แต่ซุ้มประตูทางเข้าวัดกับเจดีย์หลังอุโบสถยังเก่าอยู่นะครับ
ใกล้วัดกุฎีทองมี วัดใหม่คลองสระบัว สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย ถึงจะชื่อวัดใหม่ แต่โทรมกว่าวัดอื่นๆครับ (ใหม่เมื่อ 200 ปีที่แล้ว) ลงไปถ่ายรูปมีหมามาไล่เห่าฝูงนึง วัดที่ไม่ค่อยมีคนมาหมาแถวนั้นจะขี้ตื่นน่ะ
กลับมาที่วัดวงษ์ฆ้องอีกรอบ คราวนี้ไปต่อทางตะวันออกบ้างครับ จะมี วัดแม่นางปลื้ม สร้างในปี พ.ศ.1920 สมัยขุนหลวงพะงั่ว (กษัตริย์ต้นราชวงศ์สุพรรณภูมิท่านนี้อุปถัมป์พุทธศาสนามากจึงมีวัดเกิดขึ้นมากมาย ที่สำคัญที่สุดคือวัดมหาธาตุกลางเกาะเมืองอยุธยา) และได้รับการบูรณะในสมัยพระนเรศวร เพื่ออุทิศให้แม่ปลื้มซึ่งพระนเรศวรเคยรับมาอุปการะ พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแม่นางปลื้ม ส่วนอุโบสถบูรณะในสมัย ร.3 ภายในประดิษฐานหลวงพ่อขาว
ปัจจุบันวัดนี้มีพระสงฆ์จำพรรษาครับ | | จุดขายสำคัญของวัดนี้คือเจดีย์สิงห์ล้อมเช่นเดียวกับที่วัดธรรมมิกราช คาดว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นหลังเจ้าสามพระยาตีเขมรและยึดเอาศิลปะการสร้างสิงห์แบบเขมรมาด้วย ภาพนี้ถ่ายวันฝนตก แต่เมฆก่อนฝนลงก็ช่วยให้ฟ้าสวยแฮะ
ขับข้ามสะพานข้ามคลองบางขวดมาจะเห็น วัดสามวิหาร ที่มีเจดีย์สูงเด่น เดิมชื่อวัดสามพิหาร สร้างในปี พ.ศ.1920 สมัยขุนหลวงพะงั่ว (อีกแล้วครับท่าน) เอกลักษณ์ของวัดนี้คือมีวิหารสามหลัง วิหารพระนอน วิหารพระนั่ง และวิหารพระยืน ปัจจุบันวิหารพระยืนพังทลายไปหมดแล้ว มีการสร้างพระอุโบสถใหม่ขึ้นมา ส่วนวิหารพระนั่งและวิหารพระนอนได้รับการบูรณะอย่างดี ภาพด้านล่างคือพระนั่ง (พระพุทธนิมิตรพิชิตมาร) หน้าเจดีย์ประธานครับ
องค์พระนอนยาว 21 เมตร อยู่ในวิหารด้านในสุด อายุ 600 ปีตั้งแต่แรกเริ่มสร้างวัด นับเป็นพระนอนที่ใหญ่โตและเก่าแก่อันดับต้นๆของอยุธยา (ใหญ่โตที่สุดคือพระนอนวัดโลกยสุทธา ยาว 42 เมตร)
ทางเหนือของวัดสามวิหารมีถนนสองเส้นขึ้นไปยังวัดเจดีย์แดง ถ้ามาทางเส้นติดแม่น้ำลพบุรี ข้างทางจะมี วัดกุฎีสูง อยู่ในป่า แต่เข้าไปจากถนนไม่ลึกป่าไม่รกมากครับ มีวิหารและหอระฆังปกคลุมด้วยรากไม้สวยงาม
ภายในวิหารมีการสร้างพระประธานขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2522 แทนที่พระประธานองค์เดิมที่พังทลายหมดแล้วเรียกว่าหลวงพ่อขาว
วัดเจดีย์แดง มีเจดีย์ย่อมุมไม้ยี่สิบเป็นประธาน สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย ลายปูนปั้นรอบองค์เจดีย์ค่อนข้างสมบูรณ์ นับว่าเป็นเจดีย์ที่มีลักษณะงดงามที่สุดในอยุธยา สมัยก่อนเคยทาสีแดง เป็นที่มาของชื่อวัด แต่ตอนนี้สีหลุดลอกหมดแล้วครับ
รอบเจดีย์เป็นสถูปบรรจุกระดูกรูปร่างหน้าตาหลากหลาย ทรงแปลกๆก็มีครับ
|
เดี๋ยวสิ... แกไม่ใช่สถูปใช่มั้ย?!
| ภายในอุโบสถมีพระประธานตั้งแต่สมัยอยุธยา วัดนี้ดังเรื่องเครื่องรางของขลังครับ ที่เด่นคือตะกรุดหลวงพ่อจำลอง ผมไม่ได้เล่นเพระเครื่องเลยไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ รอบที่ไปเที่ยววัดเมื่อปี 2557 หลวงพี่ที่พาชมในวัดโชว์พระเครื่องของอาจารย์ของสมเด็จโตให้ดูด้วย เป็นสมบัติล้ำค่ามาก (เสียใจผมจำรายละเอียดไม่ได้ ไม่เชี่ยวเรื่องพระจริงๆ) | | ในเขตสังฆาวาสของวัดนี้มีโบราณสถานอยู่หลังกุฏิพระด้วยนะครับ มีหอระฆังกับเจดีย์องค์เล็ก แต่สร้างสมัยรัตนโกสินทร์แล้ว
ขับขึ้นมาอีกหน่อยจะมีรูปปั้นยุทธหัตถีหน้าเพนียดคล้องช้าง แสดงความสำคัญของช้างในสงครามสมัยอยุธยา
เพนียดคล้องช้าง เดิมตั้งอยู่แถวหัวรอ แต่พระมหาจักรพรรดิขยายกำแพงเมืองออกเพื่อรับศึกกับพม่า เลยย้ายมาสร้างเพนียดใหม่นอกเกาะเมืองทิศเหนือแถบสวนพริกครับ ไปต้อนจากในป่ามาคล้องได้เลย จะใช้การปักซุงล้อมเป็นเพนียด แล้วพรานช้างจะนำช้างไปล่อเอาช้างป่าเข้ามาในเขตเพนียด เอาบ่วงคล้องขาช้างที่จะนำไปใช้งานแล้วปล่อยช้างที่เหลือกลับไป กลางเพนียดมีศาลปะกำใช้ทำพิธีก่อนคล้องช้าง หน้าเพนียดเป็นพระที่นั่งสำหรับกษัตริย์ชมการคล้องช้าง ตัวที่มีลักษณะดีจะนำมาใช้เป็นพระราชพาหนะ และช้างหายากอย่างช้างเผือกนับเป็นหนึ่งในสัปตรัตนะแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ ได้แก่ จักรแก้ว ช้างแก้ว (ช้างเผือก) ม้าแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว คฤหบดีแก้ว และ ปรินายกแก้ว พระมหาจักรพรรดิมีช้างเผือกในครอบครองถึง 7 ช้าง จึงมีอีกพระนามหนึ่งว่าพระเจ้าช้างเผือก
ที่นี่ถูกใช้งานอีกครั้งในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งกลับมามีการคล้องช้างมาใช้ในงานราชการเกือบทุกปี สมัยนั้นตามที่ราบแถวนี้มีช้างป่าเยอะมากๆครับ ในสมัย ร.5 ปี พ.ศ.2451 มีเหตุการณ์รถไฟที่เพิ่งเปิดใช้งานในรัชกาลนี้ขับชนช้างพังทั้งขบวนเลย งานคล้องช้างครั้งใหญ่จัดในปี พ.ศ.2426 เพื่อต้อนรับดยุคโยฮัน อัลเบรกต์แห่งรสเซีย และปี พ.ศ.2434 ต้อนรับมกุฏราชกุมารนิโคลัสแห่งรัสเซีย (ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2) ที่มาเยือนประเทศแถบนี้หลังทำการเปิดเส้นทางรถไฟทรานส์ไซบีเรีย การสร้างสัมพันธไมตรีกับมหาอำนาจอย่างรัสเซียช่วยต้านทานการรุกรานจากอังกฤษและฝรั่งเศสในช่วงล่าอาณานิคมด้วย
ภาพการคล้องช้างเมื่อครั้ง ร.5 ต้อนรับมกุฏราชกุมารนิโคลัส พ.ศ.2434 จากหนังสือกรุงเก่าเมื่อกาลก่อน ของ Siam Renaissance
ตรงข้ามเนียดคล้องช้างมีเตาเผาบ้านเพนียด เป็นเตาเผาที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์และเพิ่งถูกปล่อยร้างเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนนี้เอง มีศาลอยู่ด้านบนครับ
|
ติดกับเพนียดเป็นหมู่บ้านช้างเพนียดหลวงที่มีช้างอยู่หลายสิบตัว เลี้ยงไว้สำหรับการท่องเที่ยวและการแสดงต่างๆ
| ใกล้เพนียดคล้องช้างมีวัดบรมวงศ์ หรือชื่อเดิมคือวัดทะเลหญ้า เป็นวัดร้างหลังเสียกรุง แต่หลังจากมีการนำเพนียดคล้องช้างกลับมาใช้งานอีกครั้ง วัดทะเลหญ้าได้รับการบูรณะโดยเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ในสมัย ร.5 เพื่อใช้เป็นที่ทำบุญของเจ้าพนักงานในกรมคชบาลด้วย เปลี่ยนชื่อเป็น วัดบรมวงศ์อิศรวราราม (ชื่อแบบรัตนโกสินทร์นี่เรียกยากจัง) เป็นการสร้างวัดใหม่ทับลงไปบนซากวัดเดิมแบบไม่เหลือเค้าเลยนะครับ ศิลปะเป็นแบบรัตนโกสินทร์ทั้งนั้น เจดีย์กลางวัดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและอัฐิกรมพระยาบำราบปรปักษ์ด้วย
ภายในวิหารสร้างสมัย ร.5
|
ภายในอุโบสถมีพระรูปและรูปถ่ายเก่าสมัย ร.5 เสด็จมาทอดกฐินที่นี่หลายครั้งเหมือนกัน
| ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำลพบุรีไปอีกฝั่ง ไกลออกมาจากตัวเมืองพอสมควรแล้วครับ แถบนี้จะมี วัดตองปุ อยู่ริมน้ำ วัดนี้สร้างสมัยอยุธยาตอนต้น และถูกบูรณะสมัยพระนเรศเพื่อเป็นที่จำพรรษาของมหาเถรคันฉ่อง ปัจจุบันวัดนี้มีพระสงฆ์จำพรรษา พื้นที่วัดถูกบูรณะหมดแล้ว แต่ก็มีพระพุทธรูปโบราณที่เป็นที่นับถืออยู่เยอะเลยครับ
องค์ที่สำคัญที่สุดคือหลวงพ่อโต ที่สร้างขึ้นพร้อมกับวัด อายุราว 600 ปี แต่ต่อมาอุโบสถหลวงพ่อโตชำรุด จึงสร้างพระอุโบสถใหม่ขึ้น แต่เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้องค์พระเก่าแก่เสียหายไปด้วย เลยขยับอุโบสถออกมาด้านหน้า แล้วเปลี่ยนอุโบสถเดิมเป็นวิหารหลวงพ่อโตคลุมองค์พระไว้เฉยๆ ส่วนพระประธานองค์ใหม่หันหน้าเข้าหาหลวงพ่อโต พระเก่าแก่อีกองค์คือหลวงพ่อหินที่ชะลอมาจากวัดนางคำฝั่งอโยธยา อายุกว่า 500 ปี ส่วนพระองค์ดำน่าจะสร้างขึ้นมาภายหลังเพื่อบูชาพระนเรศ
ด้านหลังวัดติดแม่น้ำป่าสัก ฝั่งตรงข้ามเป็นเกาะเล็กๆ มีวัดช่องลมอยู่กลางเกาะเลยเรียกว่าเกาะวัดช่องลม (คนละวัดกับวัดช่องลมที่คลองมหานาคนะครับ) ไม่มีแม้แต่สะพานคนเดินครับ จะขึ้นไปต้องนั่งเรืออย่างเดียว ผมไม่ได้ข้ามไปดูนะครับ หาข้อมูลในเว็บแทบไม่เจออะไรคงไม่มีอะไรน่าสนใจ ส่วนที่เห็นฝั่งไกลๆนั่นคือตอนเหนือนอกเกาะเมืองแถวๆวัดสามวิหาร
จริงๆมีผืนดินแยกออกจากส่วนอื่นๆของอยุธยาที่น่าสนใจคือ เกาะลอย อยู่ฝั่งตรงข้ามพระราชวังจันทรเกษม ล้อมด้วยแม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำป่าสักทุกทิศ กลายเป็นเกาะโดดเดี่ยว แต่ขนาดใหญ่กว่าเกาะวัดช่องลมมากๆครับ มีบ้านเรือนชุมชน โรงเรียน และที่สำคัญ โบราณสถาน ตั้งอยู่บนเกาะด้วย วัดที่สำคัญคือวัดแคที่หลวงปู่ทวดเคยมาจำพรรษา เกาะนี้มีสะพานเดินเท้าข้ามมาได้ทางเดียวนะครับ ไปจอดรถในด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วข้ามมาได้เลย
เมื่อข้ามมาจะเป็นพื้นที่ของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือ เดินออกจากโรงเรียนแล้วเดินมาตามทางเท้าที่เขาทำไว้ข้ามทุ่งนามาเรื่อยๆเลยครับ บ้านเรือนชาวบ้านจะอยู่สองฝั่ง วันที่ผมไปเกาะลอยครั้งแรก พอถามทางไปวัดแค ผู้ใหญ่ในโรงเรียนก็ให้กลุ่มเด็กๆแถวนั้นขี่จักรยานพาไปเลย | | ระหว่างทางมีซาก วัดข้าวสารดำ เหลือแค่โคกแล้ว
เดินมาประมาณ 700 เมตรจะถึง วัดแค ที่อยู่อีกฝั่งของเกาะลอย ให้ค่าขนมน้องๆเอาไปแบ่งกันแล้วสำรวจวัดต่อเลยครับ เนื่องจากชื่อซ้ำกับวัดแคทางเหนือของเกาะเมือง เลยนิยมเขียนชื่อว่าวัดแค (เกาะลอย) หรือวัดแค (ราชานุวาส) ที่นี่เคยเป็นที่จำพรรษาของหลวงปู่ทวดเมื่อครั้งเดินทางจากภาคใต้มาที่อยุธยา
วิหารหลวงปู่ทวด สร้างบนบริเวณเดิมที่เคยเป็นกุฏิที่หลวงปู่ทวดมาจำพรรษาหลายปีช่วงมาพำนักอยู่ที่อยุธยา ข้างใต้กอบเอาเศษอิฐเก่าของวัดนี้มารวมกันไว้
ภายในอุโบสถมีภาพวาดประวัติหลวงปู่ทวด ภาพหลวงปู่ทวด และหุ่นขี้ผึ้งด้วย เพิ่งเคยเห็นหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่ทวดครับ ปั้นเกจิในตำนานที่ไม่มีต้นแบบให้ดูออกมารายละเอียดดีมากเลย
มีทางเดินเท้าไปวัดมณฑปต่อนะครับ แต่คนแถวนั้นเตือนว่ามีหมาดุฝูงนึง แล้วพวกมันก็เห่าเป็นซาวแทร็คประกอบ เลยถอยดีกว่า ไม่ไปดีกว่า~ ชะโงกถ่ายเอาจากฝั่งตลาดหน้าวังจันทร์นี่ละครับ แชะ! วัดมณฑป สร้างในสมัยอยุธยา แต่ถูกบูรณะจนไม่เหลืออะไรเก่าแล้วครับ เนื่องจากทำเลที่อยู่ตรงข้ามวังจันทร์พอดีเลยถูกพม่าใช้เป็นที่ตั้งปืนยิงถล่มวังบ่อยๆ ด้วย
กว่าจะจบ แทบจะสลายร่างราวโดนอินฟินิตี้กันเล็ตสั่งตาย ถ้ามีร้านอาหารให้รีวิวสักหน่อยคงยาวกว่าบล็อกเกาะเมืองซะอีกครับ ตอนเหนือจัดว่ามีวัดมากมายมหาศาลจริงๆ ทีนี้ก็พาเที่ยวรอบอยุธยาเกือบครบแล้วนะครับ - อโยธยา, พระราชวังโบราณ, บึงพระราม, เกาะเมือง, สวนสมเด็จ, นอกเกาะเมืองทิศใต้, ตะวันตก, เหนือ เหลือแค่โบราณสถานนอกตัวเมืองอยุธยา และพาเที่ยวพิพิธภัณฑ์+เทศกาล ก็จะจบซีรี่ยส์อยุธยาแล้ว
Create Date : 06 พฤษภาคม 2561 |
Last Update : 15 พฤษภาคม 2561 23:31:49 น. |
|
78 comments
|
Counter : 6469 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณtuk-tuk@korat, คุณเริงฤดีนะ, คุณmambymam, คุณ**mp5**, คุณtoor36, คุณซองขาวเบอร์ 9, คุณmastana, คุณกะว่าก๋า, คุณmcayenne94, คุณเนินน้ำ, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณสองแผ่นดิน, คุณKavanich96, คุณRain_sk, คุณkae+aoe, คุณโอพีย์, คุณThe Kop Civil, คุณMax Bulliboo, คุณlife for eat and travel, คุณSweet_pills, คุณTui Laksi, คุณRinsa Yoyolive, คุณยังไงก็ได้ว่ามาเลย, คุณข้ามขอบฟ้า, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณmariabamboo, คุณJinnyTent, คุณhaiku, คุณruennara, คุณmoresaw, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณVELEZ, คุณหงต้าหยา, คุณคนผ่านทางมาเจอ, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณกาบริเอล, คุณnewyorknurse, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณlovereason |
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 6 พฤษภาคม 2561 เวลา:11:52:58 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 6 พฤษภาคม 2561 เวลา:12:31:02 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 6 พฤษภาคม 2561 เวลา:14:14:59 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 6 พฤษภาคม 2561 เวลา:16:57:56 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 6 พฤษภาคม 2561 เวลา:18:10:06 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 พฤษภาคม 2561 เวลา:20:34:33 น. |
|
|
|
โดย: mcayenne94 วันที่: 6 พฤษภาคม 2561 เวลา:20:34:50 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 6 พฤษภาคม 2561 เวลา:21:58:42 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 7 พฤษภาคม 2561 เวลา:3:24:37 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 พฤษภาคม 2561 เวลา:5:59:16 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 7 พฤษภาคม 2561 เวลา:8:34:46 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 8 พฤษภาคม 2561 เวลา:0:17:10 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 8 พฤษภาคม 2561 เวลา:5:53:38 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 พฤษภาคม 2561 เวลา:6:28:42 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 8 พฤษภาคม 2561 เวลา:19:28:21 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 8 พฤษภาคม 2561 เวลา:21:42:34 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 8 พฤษภาคม 2561 เวลา:23:20:20 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 พฤษภาคม 2561 เวลา:5:51:38 น. |
|
|
|
โดย: mariabamboo วันที่: 9 พฤษภาคม 2561 เวลา:11:28:42 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 9 พฤษภาคม 2561 เวลา:18:26:26 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 9 พฤษภาคม 2561 เวลา:19:07:43 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 9 พฤษภาคม 2561 เวลา:22:46:21 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 10 พฤษภาคม 2561 เวลา:12:10:04 น. |
|
|
|
โดย: moresaw วันที่: 10 พฤษภาคม 2561 เวลา:22:04:50 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 10 พฤษภาคม 2561 เวลา:22:07:27 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 พฤษภาคม 2561 เวลา:22:32:55 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 พฤษภาคม 2561 เวลา:6:51:15 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 11 พฤษภาคม 2561 เวลา:8:29:17 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 11 พฤษภาคม 2561 เวลา:11:55:41 น. |
|
|
|
โดย: VELEZ วันที่: 11 พฤษภาคม 2561 เวลา:12:59:29 น. |
|
|
|
โดย: หมุยจุ๋ย วันที่: 11 พฤษภาคม 2561 เวลา:13:52:14 น. |
|
|
|
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 12 พฤษภาคม 2561 เวลา:7:20:40 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 15 พฤษภาคม 2561 เวลา:9:07:59 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 พฤษภาคม 2561 เวลา:22:42:38 น. |
|
|
|
โดย: คนงาม ณ เจีนงใหม่ IP: 171.96.55.77 วันที่: 15 พฤษภาคม 2561 เวลา:22:59:15 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 16 พฤษภาคม 2561 เวลา:0:22:25 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 16 พฤษภาคม 2561 เวลา:0:28:30 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 พฤษภาคม 2561 เวลา:6:37:00 น. |
|
|
|
โดย: VELEZ วันที่: 16 พฤษภาคม 2561 เวลา:7:05:53 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 16 พฤษภาคม 2561 เวลา:8:50:03 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 16 พฤษภาคม 2561 เวลา:9:27:48 น. |
|
|
|
โดย: หมุยจุ๋ย วันที่: 16 พฤษภาคม 2561 เวลา:10:52:21 น. |
|
|
|
โดย: กาบริเอล วันที่: 16 พฤษภาคม 2561 เวลา:16:12:38 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 พฤษภาคม 2561 เวลา:23:08:11 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 พฤษภาคม 2561 เวลา:6:37:23 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 17 พฤษภาคม 2561 เวลา:10:01:11 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 17 พฤษภาคม 2561 เวลา:13:06:26 น. |
|
|
|
โดย: VELEZ วันที่: 17 พฤษภาคม 2561 เวลา:13:19:05 น. |
|
|
|
โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 19 พฤษภาคม 2561 เวลา:0:06:29 น. |
|
|
|
โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 21 พฤษภาคม 2561 เวลา:1:44:02 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 21 พฤษภาคม 2561 เวลา:23:45:27 น. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 21 พฤษภาคม 2561 เวลา:23:59:57 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ต้องอ่านอีกสัก 2-3 รอบ
ขอบคุณที่นำมาฝากค่ะ ไม่มีตำราที่ไหนเขียนได้