|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
ท่องแดนเปอร์เซียที่อิหร่าน (2/2)
วันที่ 15 เม.ย. 62 วันที่ 3 ของการท่องเที่ยวอิหร่าน เรามากันที่ จตุรัสอิหม่าม (Naqsh-e Jahan Square) เริ่มสร้างในปี 1598 ในยุคของราชวงศ์ซาฟาวิด มีพื้นที่ 89,600 ตร.ม. เป็นจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในอิหร่าน แต่ยังเทียบกับพวกจตุรัสระดับโลกไม่ได้ครับ อย่างเทียนอันเหมินที่เรารู้จักกันดีอันนั้น 440,000 ตร.ม. และจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ จตุรัสซิงไห่ที่ประเทศจีนเช่นกัน พื้นที่ 1,760,000 ตร.ม. ในยุคของราชวงศ์ซาฟาวิด ราวศตวรรษที่ 16-17 เมืองอิสฟาฮานเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเปอร์เซียและมีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด จนถูกลิสต์เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น พวกสถาปัตยกรรมชั้นนำที่สร้างชื่อให้โลกอิสลามก็มาจากยุคนี้มากมาย และในจตุรัสอิหม่ามนี้เองก็มีอาคารสำคัญ อย่างมัสยิดอิหม่าม มัสยิดชีคลอทฟอลลาห์ พระราชวังอาลีคาปู ตลาดหลวง และแน่นอนว่าจตุรัสนี้ได้รับการรับรองเป็นมรดกโลกแบบไร้ข้อกังขาครับ | จตุรัสมีพื้นที่ใหญ่โตมาก มีให้บริการรถม้าวิ่งรอบพื้นที่ | มาเริ่มกันเบาๆที่ พระราชวังอาลีคาปู (Ali Qapu Palace) ก่อน สร้างในยุคของชาร์อับบาสที่ 1 (Shah Abbas I) ในปี 1597 ชื่ออาลีคาปูแปลว่าประตูหลัก เพราะเป็นทางเข้าจากจตุรัสไปยังถนนที่ทอดยาวไปสู่พระราชวังที่ประทับของสุลต่านในยุคนั้น ใช้เป็นที่รับรองแขกและฟังดนตรี สูง 48 เมตร มี 6 ชั้น แต่ถึงจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็เต็มไปด้วยศิลปะที่งดงามไปด้วยภาพเขียนชั้นครูและช่องเจาะผนังเป็นลวดลายสวยงาม เรียกว่าไม่ใหญ่แต่อัดแน่นด้วยคุณภาพ ทางขึ้นเป็นบันไดวนชวนเวียนหัวขั้นกะจิ๋วหลิว ระเบียงด้านนอกค้ำด้วยเสาไม้มองเห็นจตุรัสได้รอบ ตรงกลางเป็นบ่อน้ำบุก้นด้วยทองแดง ชั้นบนสุดเป็น Music Hall ที่ออกแบบผนังให้เสียงก้องกังวาล คุณไกด์อามีลร้องเพลงให้ฟังเพลงนึง เสียงใสเหมือนพี่เบิร์ด สงสัยมุสลิมจะเสียงดีกันทุกคน ถัดมาเข้าไปยัง มัสยิดอิหม่าม (Imam Mosque) สร้างในปี 1611 ยุคของชาร์อับบาสที่ 1 แห่งราชวงศ์ซาฟาวิดเช่นกัน เดิมคือ Shah Mosque เปลี่ยนชื่อเป็น Imam Mosque หลังการปฏิวัติอิหร่านในปี 1979 ใช้อิฐ 18 ล้านชิ้น กระเบื้อง 4.7 แสนแผ่น เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตที่สุดในยุคของราชวงศ์ซาฟาวิดและนี่คือสิ่งก่อสร้างที่ถือเป็นมาสเตอร์พีซของโลกอิสลามเลยครับ ที่นี่เด่นเรื่องการใช้กระเบื้องสีสันสวยงาม ลองเข้ามาดูซะก่อนครับ อืม...สวยจริงๆด้วย แต่วังตะกี้สวยกว่า ไกด์: เฮ้ย นี่มันทางเดินไปห้องน้ำ ทางเข้ามัสยิดมาทางนี้
ชีริว: OMG!!
ลานกลางมัสยิด ล้อมด้วย 4 ซุ้มประตู Twin-shelled dome of the main sanctuary โดมหลักของมัสยิดแห่งนี้มีความสูงถึง 40 เมตร ลวดลายของโดมนี้ถูกนำไปทำลายจาม ชาม พรม ฯลฯ มากมายในสินค้าอิหร่าน หอสวดมนต์กลาง มีจุดมาร์คตำแหน่งให้ขึ้นไปยืนสวด เสียงจะสะท้อนก้องไปทั่วโดมไพเราะมาก มีป้ายเขียนว่าห้ามขึ้นมาร้องเพลงอื่นนอกจากเพลงสวดของอิสลามนะจ๊ะ ทิศตะวันออกเฉียงใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของลาน มีทางออกไปสวนภายในมัสยิดอยู่ | Free Friendly Talk ของหน่วยงานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศครับ อยากคุยเรื่องวัฒนธรรมอิหร่าน ศาสนา การท่องเที่ยว ฯลฯ มาแลกเปลี่ยนกับเจ้าหน้าที่ได้เลย | ผีเสื้อกับดอก Barberry หน้ามัสยิด | และเช่นเดียวกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆครับ มีเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษา คราวนี้โรงเรียนสตรีบ้าง | ต่อไปคือสิ่งก่อสร้างที่สวยงามที่สุดในอิหร่านครับ ใครว่าวังโกเลสตาน มัสยิดสีชมพู วังอาลีคาปู หรือมัสยิดอิหม่ามสวยแล้ว มาชมอันนี้ระวังจะตะลึงในความสวยจนหยุดหายใจ มัสยิดชีคห์ลอทฟอลลาห์ (Sheikh Lotfollah Mosque) สร้างในปี 1603 (ยุคของอับบาสเจ้าเก่า) ที่นี่เป็นมัสยิดหลวงให้ใช้เฉพาะราชวงศ์เท่านั้น จึงเป็นมัสยิดที่ไม่มีหอคอยและขนาดเล็กกว่ามัสยิดอิหม่าม ไม่มีลานและซุ้มประตูภายใน มีแต่โดมเดียวโดดๆเลยครับ ตัวโดมจะอยู่เยื้องกับทางเข้าหน่อยนึง แต่พอมีโดมเดียวก็จัดเต็มอภิมหาศิลปะของยุคนั้นเข้ามาได้แบบไม่ต้องกั๊ก ลวดลายของโดมนี้เรียกว่าลายนกยูงเพราะเหมือนตอนนกยูงรำแพน นิยมเอาไปทำลายจาน-ชาม-พรม เช่นกัน โดมนี้เป็นโดมที่สมมาตรทุกด้าน เพราะสร้างบนอาคารรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ทั้งทางเดินและตัวโดมจะมีช่องแสงเพียงพอให้แสงภายนอกส่องเข้ามาสะท้อนสีสันลวดลายต่างๆได้แบบพอดีโดยไม่ต้องใช้หลอดไฟ ฝั่งตรงข้ามมัสยิดอิหม่ามคือประตูเคย์ซาริเยห์ (Qeysariyeh Portal) เป็นทางเข้า ตลาดอิสฟาฮาน (Isfahan Great Bazaar) ตลาดที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดของกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 มีพื้นที่เป็นทางเดินหลังคาคลุมตั้งแต่จตุรัสอิหม่าม คลุมมัสยิด อาคารเก่าแก่ และโรงเรียนสอนศาสนาหลายแห่ง ยาวไปจนถึงมัสยิดวันศุกร์ (Congregational Mosque) เป็นระยะทาง 2 กม. ขายสินค้าทั้งของกินของใช้ และของที่ระลึก อิหร่านเป็นประเทศที่ค่าครองชีพไม่แพง ข้าวของราคาน่าซื้อ แต่รสชาติขนมใส่เครื่องเทศก็อาจทำให้กินแล้วตาเหลือก โชคดีที่ทุกร้านให้ชิมก่อนซื้อนะครับ เขาปล่อยเดินตลาดชั่วโมงนึง ได้ของที่ระลึกไปจากที่นี่เยอะเหมือนกันครับ อันที่จริงที่เที่ยวที่อยู่ติดจตุรัสเลยก็คือวัง 40 เสา ที่เป็นพระราชวังที่อยู่ด้านหลังวังอาลีคาปู เป็นเขตพระราชฐานของราชวงศ์ซาฟาวิด แต่ตอนเที่ยงๆยังไม่สวยเท่าไหร่ เดี๋ยวแวะมาอีกทีช่วงเย็นครับ
มื้อเที่ยงไปกินภัตตาคาร Nikan จานหลักคือไก่ห่อด้วยแป้งแล้วเผาบนรางไม้ น่าจะเป็นจานที่หรูหราที่สุดในทริปนี้แล้วครับ หลังอิ่มมื้อเที่ยงแล้ว มาเขตชุมชนชาวอาร์เมเนียในอิหร่าน เป็นชุมชนที่นับถือศาสนาคริสต์ครับ ประเทศอิสลามก็ไม่ได้บังคับเรื่องการนับถือศาสนานะ บริเวณนี้เป็นที่ๆอับบาสที่ 1 จัดให้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวอาร์เมเนียที่ลี้ภัยมาจากออตโตมัน (ตุรกี) ให้มาทำการค้าขายที่เปอร์เซีย สถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดคือ โบสถ์แวงค์ (Vank Cathedral) สร้างในปี 1606 เป็นการผสมผสานศิลปะกระเบื้องแบบอิหร่านกับภาพวาดของศาสนาคริสต์ มีทั้งประวัติพระเยซูและเหตุการณ์กวาดล้างชาวคริสต์ของจักรวรรดิออตโตมัน | ข้างโบสถ์มีพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์อาร์เมเนียนแห่งจุลฟาใหม่ (The Armenian Ethnographic Museum of New Julfa) จุลฟา (Julfa) คือชื่อเมืองของชาวอาร์เมเนียในตุรกีที่คนเหล่านี้อพยพมา และเรียกชื่อชุมชนอาร์เมเนียนแห่งนี้ว่า New Julfa พิพิธภัณฑ์นี้เพิ่งตั้งขึ้นในปี 2019 นี้เอง เพื่อรวบรวมศิลปะหัตกรรมที่ผลิตในเมืองนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ที่ชาวอาร์เมเนียเริ่มอพยพมาตั้งรกรากที่นี่เป็นต้นมา | ตรงข้ามโบสถ์มีพิพิธภัณฑ์ Khachatur Kesaratsi ตั้งตามชื่อสังฆราชชาวอาร์เมเนียนที่นำระบบการพิมพ์เข้ามาในอิหร่าน มีข้าวของเครื่องใช้และหนังสือโบราณเก็บไว้มากมาย บางเล่มก็เขียนในอาร์เมเนียก่อนอพยพมาอิหร่านเสียอีก ข้าวของเครื่องใช้ของคณะสงฆ์อาร์เมเนีย | เล่มนี้เขียนตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 เก่าแก่ที่สุดในพิพิธภัณฑ์นี้ | หนังสือสวดมนต์เล่มเล็กที่สุดในโลก หนัก 0.7 กรัม มี 14 หน้า พิมพ์ในเยอรมัน เขียนด้วย 7 ภาษา กล้องจุลทรรศน์ส่องเส้นผมที่เขียนตัวหนังสือเป็นภาษาอาร์เมเนียนที่แปลว่า "To know wisdom and instruction; to perceive the words of understanding" (ผมแปลเป็นไทยไม่ถูกเลยลอกคำแปลที่เขาแปะบนผนังมาดื้อๆ) เป็นเส้นผมของหญิงสาวอายุ 18-20 ปี หนา 0.1 มม. ความยาวประโยค 7 มม. เขียนด้วยปากกาหัวเพชรที่บางกว่าเส้นผม 20 เท่า อนุสรณ์ที่ระลึกการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์เมเนียกว่า 1.5 ล้านคน ในปี 1915 โดยจักรวรรดิออตโตมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 | | จากนั้นเป็นช่วงเวลาขายของครับ แวะร้านขายพรมเปอร์เซีย พรมก็เป็นสินค้าขึ้นชื่อของอิหร่านนะ แต่โคตรไม่เหมาะกับบ้านเราอะ ผืนเจ๋งๆ ทอกันหลายเดือน ราคาเป็นแสนเลยจ้าาาาา ตั้งแต่ผมไปทัวร์มายังไม่เคยมีใครซื้อพรมเลย ทัวร์ๆจ๋า เลิกพาคนไทยเข้าร้านขายพรมเหอะ ตกเย็นได้ที่ ตอนนี้ 5 โมงเย็น ไปต่อกันที่ พระราชวังเชเฮลโซตุน (Chehel Sotun Palace) หรือวัง 40 เสา กันครับ เหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะในตัววังมีเสาไม้ 20 ต้น สะท้อนกับสระน้ำด้านหน้าเป็น 40 ต้น สมัยก่อนพระราชวังของราชวงศ์ซาฟาวิดกินพื้นที่ฝั่งตะวันตกของจตุรัสอิหม่ามกว้างใหญ่ แต่หลังราชวงศ์ล่มสลายก็ถูกปันอาคารต่างๆไปใช้เป็นพิพิธภัณฑ์บ้างโรงเรียนบ้าง ส่วนที่ยังอนุรักษ์ไว้เหมือนศตวรรษที่ 17 ก็มีวังนี้ละครับ แต่เอาตามตรงนะ เทียบกับวังหรือมัสยิดอื่นที่่ผานมาแล้วที่นี่โคตรไม่สวยเลย พอไม่ได้โชว์ลวดลายกระเบื้องแล้วตัววังก็เป็นอาคารปูนกับเสาไม้ผุพัง บ่อน้ำหน้าวังก็มีเศษใบไม้ลอยเต็ม เคยเห็นภาพตามโปสการ์ดถ้าเป็นตอนกลางคืนเปิดไฟแล้วเห็นแสงไฟสะท้อนบนผิวน้ำมืดๆ อะ จะพอปกปิดความขี้เหร่ของวังนี้ได้บ้าง
ภาพวาดในวังบันทึกเรื่องราวในรัชสมัยของพระเจ้าอับบาส ใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เรื่องการแต่งกาย อาหาร ธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ได้ แม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองอิสฟาฮานคือแม่น้ำ Zayanderud และสะพานข้ามแม่น้ำนี้ก็ล้วนมีความใหญ่โตและเก่าแก่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิดหน้าชูตาของเมืองนี้ได้ไม่แพ้วังหรือมัสยิดเลย บางสะพานก็เก่าแก่เป็นพันปี ซึ่งในทัวร์นี้ได้พาเราไปหย่อนลงที่สะพานคาจูและสะพานซิโอเซห์ที่สร้างขึ้นในยุคของราชวงศ์ซาฟาวิดครับ
สะพานคาจู (Khaju Bridge) สร้างในปี 1650 มีความยาว 137 เมตร กว้าง 12 เมตร และได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดในอิสฟาฮาน ตอนกลางคืนจะเปิดไฟสะท้อนบนผิวน้ำ แต่ตอนนี้ยังไม่มืดก็ได้ชมวิวยามเย็นและดูผู้คนที่มารวมตัวกันชมวิวริมแม่น้ำอย่างครึกครื้นครับ หัวสะพานมีสิงโตหินสองตัว สร้างสมัยราชวงศ์ซาฟาวิดตั้งแต่ตอนก่อสร้างสะพาน นอกจากใช้ข้ามแม่น้ำแล้วยังใช้เป็นเขื่อนควบคุมระดับน้ำด้วย และสะพานนี้ยังเป็นที่พบปะของผู้คนที่นัดมาชุมนุมทำกิจกรรมกัน ในภาพแก๊งนี้จับกลุ่มกันร้องเพลงครับ ความโค้งใต้สะพานทำให้เสียงออกมาไพเราะยิ่งขึ้น ใครอยากสมัครเป็นมุสลิมรีบไปซ้อมร้องเพลงก่อนเลยครับ สะพานซิโอเซห์หรือ สะพานอัลลาเวอดีข่าน (Allahverdi Khan Bridge) หรือสะพาน 33 โค้ง มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดา 11 สะพานโบราณที่ข้ามแม่น้ำ Zayanderud สร้างในปี 1599 มีความยาว 298 เมตร กว้าง 15 เมตร สะพานนี้ตั้งชื่อตามแม่ทัพอัลลาเวอดีข่านที่ควบคุมดูแลโครงการก่อสร้าง ไม่มีมุมเดินใต้สะพานให้คนมาทำกิจกรรมกันเหมือนสะพานคาจูนะครับ ตอนนั้นพระอาทิตย์กำลังตกพอดี พี่ทหารมาเรียกให้ช่วยถ่ายรูปเขาด้วย คนอิหร่านนี่ชอบถ่ายรูปจริงๆ จบวันที่ 3 ครับ เป็นวันที่เที่ยวได้อัดแน่นที่สุดใน 5 วันของทริปนี้แล้ว เมืองอิสฟาฮานสุดยอด~♥
เช้าวันที่ 4 ออกจากโรงแรม Safir ที่พักมาสองคืน วันนี้เราออกจากอิสฟาฮานตรงขึ้นเหนือต่อ เพื่อไปยังหมู่บ้านแอบยาเนห์และทะเลเกลือครับ ทะเลทรายนี้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าของกองคาราวานในสมัยโบราณ ระหว่างทางมีคาราวานซารายร้างเป็นระยะๆ | เห็นลิบๆ นั่นละครับหมู่บ้านแอบยาเนห์ ด้านบนสุดเป็นป้อมเก่าสมัยซาซานิด | แอบยาเนห์ยังคงอยู่ในเขตจังหวัดอิสฟาฮานนะครับ แต่ห่างจากตัวเมืองถึง 174 กม. อยู่ในพื้นที่แห้งแล้งในหุบเขาคาร์คัส ที่อยู่อาศัยที่นี่สร้างด้วยดิน ผู้คนชาวแบคเทรียได้เดินทางข้ามภูเขามาหาแหล่งน้ำและปักหลักลงที่นี่เมื่อพันปีก่อน พวกเขาตัดขาดจากโลกภายนอกและรักษาวิถีชีวิตแบบเดิมเหมือนถูกหยุดเวลาไว้หลายร้อยปี ยังคงนับถือศาสนาโซโรเอสเตอร์เหมือนเปอร์เซียโบราณ แต่เพิ่งรับเอาอิสลามเข้ามาไม่นานมานี้ ดินดิบสีแดงที่ใช้สร้างบ้าน พบมากในบริเวณนี้ | | หมู่บ้านนี้เพิ่งจะเปิดรับคนภายนอกเข้ามาท่องเที่ยว ช่วงกลางวันพวกคนหนุ่มสาวจะออกจากหมู่บ้านไปทำงานเกษตรบ้าง เข้าเมืองบ้าง ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่เหลือจะเป็นคุณยายนิสัยน่ารัก นั่งตามหน้าบ้าน สวมผ้าคลุมลายดอกไม้เป็นเอกลักษณ์การแต่งกายของคนที่นี่เลย ผ้าคลุมนี้มีขายนะครับ แต่ผืนละ 300 บาท (แพง!) แถม Made in Japan อีกตะหาก! เป็นร้านที่เริ่ม globalization จริงจังแล้วนะเนี่ย ส่วนพวกคุณยายส่วนใหญ่จะขายผลไม้ตากแห้ง "หนูจ๋า ถ่ายรูปแล้วช่วยอุดหนุนของยายหน่อยจ้า" กินไม่เป็นค้าบ~! มื้อเที่ยงกินภัตตาคารหน้าหมู่บ้านนี้ละครับ มีอยู่ร้านเดียวเลย (จานหลักคือข้าวกับไก่ย่าง as usual) จากนั้นเราก็เปลี่ยนรถเพื่อลุยทะเลทรายรามานจ๊าบ ไปดูทะเลเกลือกันจ้าาาา รถลุยทะเลทรายครับ เป็นรถเมล์ร้อนสภาพทุเรศแบบที่ลุยทรายแล้วพังก็ช่างมัน | แล่นฝ่าทะเลทรายมาก็เจออูฐเว้ยอูฐ! เป็นอูฐตามธรรมชาติด้วยครับ เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น ไม่มีแขกมาจูงแล้วเรียกเก็บตังค์ค่าขึ้นอูฐวันดอลลาห์ แต่ค่าลงจากอูฐเทนดอลลาห์จ้ะนายจ๋า แบบที่อียิปต์ด้วย | ทะเลเกลือเป็นบริเวณที่เดิมทีเคยมีน้ำทะเลท่วมถึง แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกจนกลายเป็นแอ่งขังน้ำทะเลไว้ พอน้ำแห้งลงก็กลายเป็นชั้นเกลือปกคลุมผิวทะเลทราย
แล่นฝ่าทะเลทรายเข้ามาลึกพอสมควรเลยครับ ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที ในที่สุดก็มาถึงทะเลเกลือ ผมเคยเห็นภาพทะเลเกลือที่โบลิเวียที่เหมือนกระจกแผ่นใหญ่สะท้อนเงาท้องฟ้าอย่างสวยงาม ดีใจที่อิหร่านก็มีเหมือนกัน แต่ดูแล้วมันไม่ใช่อะกิ๊ฟ... แถบที่เอาคนลงเที่ยวเป็นเกลือปนทรายที่ทั้งรถทั้งคนย่ำกันจนเละไปหมดแล้ว คอมเมนเตเตอร์ลูกทัวร์ต่างให้ความเห็นว่าดูคล้ายนาเกลือที่สมุทรสาคร เหตุใดพวกเราจึงต้องนั่งรถไป-กลับชั่วโมงครึ่งเพื่อสิ่งนี้?? พวกที่ขับรถ 4WD เข้ามากันเองจะขับต่อลึกเข้าไปอีก ทิ้งรอยล้อรถให้นักท่องเที่ยวชุดหลังชื่นชม บริเวณที่คนยังไม่ลงไปเหยียบยังเห็นเกลือเป็นแผ่นก็มีนะครับ แต่ก็ไม่สวยเท่าที่โบลิเวียนะ ภาพนี้ถ่ายผ่านกระจกรถขากลับ ลูกทัวร์ขอให้แวะคาราวานซารายที่เห็นตอนขามา (คนละอันกับที่เห็นตอนไปแอบยาเนห์นะ) อันนี้เป็นคาราวานซารายร้างที่เขาปรับปรุงเป็นที่พัก เปิดให้เข้าไปดูได้แต่ยังไม่เปิดให้เข้าพักนะครับ | | พระอาทิตย์ตกในทะเลทราย พวกภูมิประเทศที่บ้านเราไม่มีอย่างทะเลทรายหรือทุ่งน้ำแข็งมันก็มีสเน่ห์แบบแปลกๆนะ กลับจากทะเลเกลือเข้าเมืองคาซานครับ วันสุดท้ายจะเที่ยวเมืองที่เป็นที่อยู่ของผู้มีอันจะกินนี้กัน ระหว่างทางแวะเข้าห้องน้ำที่มัสยิด มัสยิดยามค่ำคืนดูสวยตระการตาเลยขอเอากล้องลงไปชักภาพเสียหน่อย พอดูดีๆ พื้นตรงนี้เป็นที่ฝังศพแฮะ ชาวมุสลิมเขาฝังลงดินเสมอกับพื้นที่เดินปกติเลย แวะกินข้าวเย็นที่ Nega Restaurant Hotel แล้วเข้าที่พักครับ ที่พักคืนนี้เข้าซอยมาลึกหน่อย คืนสุดท้ายนี้พักที่ Negin Hotel ครับ เป็นโรงแรมที่ปรับปรุงจากคฤหาสน์เก่า สวยสไตล์อิหร่าน เรียกว่าเป็นที่พักที่สวยที่สุดในทริปนี้แล้วครับ | |
วันสุดท้าย...ท้าย...ท้าย... วันนี้จะเที่ยวคฤหาสน์เก่าในเมืองคาซานกันครับ
คาซาน (Kashan) เป็นเมืองโอเอซิสที่อุดมสมบูรณ์และเริ่มมีการตั้งรกรากของผู้คนตั้งแต่เมื่อยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงยุคอะคาเมนิด และกลับมารุ่งเรืองด้วยการค้าอีกครั้งในสมัยราชวงศ์ซาฟาวิด คาซานร่ำรวยด้วยการเป็นศูนย์กลางสิ่งทอและยังขึ้นชื่อเรื่องการสกัดน้ำมันกุหลาบเพื่อใช้ทำหัวน้ำหอม
สถานที่ท่องเที่ยวในวันนี้จะเป็นคฤหาสน์ของพ่อค้ายุคศตวรรษที่ 19 ที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว เริ่มด้วย คฤหาสน์โบรูเจอร์ดี (Boroujerdi Historic House) พื้นที่ 3,500 ตร.ม. บ้านของเซเยด ฮัสซัน (Seyed Hassan) พ่อค้าในยุคราชวงศ์คชา สร้างในปี 1859 มีลานน้ำพุและสวนหย่อมกลางบ้าน อีกแห่งนึงไม่ไกลกัน เดินถึงกันได้คือ คฤหาสน์ทาบาทาบาอี (Tabatabai Historic House) สร้างโดยเซเยด จาฟาร์ทาบาทาบาอี พ่อค้าพรมที่มีชื่อเสียงในปี 1834 แบ่งเป็นโซนครอบครัว โซนขายของ และโซนคนใช้ มีพื้นที่ 4,730 ตร.ม. มีห้องประดับกระจกสี บ่อน้ำพุ หอดักลม ทางน้ำชั้นใต้ดิน ได้รับการยกย่องว่าเป็นบ้านโบราณที่งดงามที่สุดในอิหร่าน และเป็นต้นแบบของคฤหาสน์โบรูเจอร์ดีด้วย | ใครสังเกตดีๆ ประตูของบ้านที่นับถือศาสนาอิสลามจะมีที่เคาะประตูสองข้างไม่เหมือนกัน ด้านที่เป็นแท่งสำหรับผู้ชายเคาะ ด้านที่เป็นห่วงสำหรับผู้หญิงเคาะ เสียงเคาะประตูจะแตกต่างกันทำให้คนในบ้านรู้ว่าแขกที่มาเยือนเป็นหญิงหรือชาย คฤหาสน์พวกนี้ประตูจะเปิดไปหาทางเดินคดเคี้ยว เพื่อไม่ให้คนจากหน้าบ้านมองเข้ามาเห็นข้างในว่าทำอะไรกันอยู่ | อันนี้มัสยิดท้องถิ่นระหว่างทางครับ อยู่นอกโปรแกรมแต่แวะให้ ผู้หญิงกับผู้ชายเข้าคนละประตู ผู้หญิงต้องคลุมผ้าทั้งตัวจนดูเหมือนผีน้อยคิวทาโร่ กล่องที่เห็นนี้เป็นที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ของโต๊ะอิหม่ามท้องถิ่น ถนนบริเวณนี้มีร้านขายของที่ระลึกน่าซื้อมากมายเลยครับ ใครยังใช้เงินไม่หมดจากบาซาร์ที่อิสฟาฮานเมื่อวาน นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะละลายทรัพย์แล้ว อยากซื้ออะไรซื้อโลด เงินอิหร่านเอากลับไปไม่มีที่ให้แลกนะเออ ร้านนี้ขายผลิตภัณฑ์นกกระจอกเทศ ทั้งเปลือกไข่อาร์ต แปรงขนนกกระจอกเทศ กระเป๋าหนังนกกระจอกเทศ ฯลฯ พี่ที่ร่วมทริปไปด้วยบอกว่าแปรงขนนกกระจอกเทศถูกกว่าที่เคยซื้อที่อื่นเยอะเลย | คุณลุงเจ้าของร้านคนนี้ชอบประเทศไทยมาก โชว์ริสต์แบนด์สีเหลืองที่เขียนว่า "ปั่นเพื่อพ่อ" ด้วย ลุงแกเคยไปเมืองไทยมา 5 รอบ สะสมเงินไทยด้วยนะ ผมเลยควักเหรียญในกระเป๋าให้ลุงไปสะสม ลุงแกบอกได้หมดเลยว่าเหรียญนี้คือ รามา 9 เหรียญนี้คือ รามา 10 แล้วให้เหรียญอิหร่านมาแลกกันด้วย | ที่เที่ยวสุดท้ายแล้วครับ! สวนฟิน (Fin Garden) สมเป็นฟินาเล่ของทัวร์นี้จริงๆ ชื่อมันอะนะ แต่ความสวยหรืออะไรก็เฉยๆมาก แต่ถ้ามองว่ามันมีระบบบริหารจัดการน้ำที่น่าทึ่งจนสามารถหล่อเลี้ยงสวนแห่งนี้ได้ทั้งที่อยู่กลางทะเลทรายแล้วก็ต้องซูฮกคนสร้างสวนนี้จริงๆ สวนนี้ถูกสร้างในสมัยของราชวงศ์ซาฟาวิด (สร้างเป็นที่พักผ่อนของอับบาสเจ้าเก่า) แต่ก็มีหลักฐานการดึงน้ำเข้ามาใช้ในพื้นที่นี้มาหลายพันปีแล้ว ริมสวนมีโรงอาบน้ำที่สร้างลงไปใต้ดิน เดินได้ยาวต่อกันหลายห้องเลยครับ ครั้งหนึ่งเคยใช้ขังนักโทษของราชวงศ์ด้วย ของซื้อของขายหน้าตาห่างไกลจากความคุ้นชินของเราๆมาก นี่น่าจะเป็นดอกกุหลาบไว้โรยเอากลิ่นหรือไม่ก็เอาไปสกัดน้ำมันทำหัวน้ำหอม | มื้อสุดท้ายของทริปนี้กินที่ Melal Restaurant ยังคงเป็นไก่ต้มซอส ถั่วต้มซอส เนื้อย่าง และข้าวหุงหลายๆสี กินๆมาถึงตอนนี้อาหารอิหร่านก็พอไหวเหมือนกันแฮะ | แวะห้าง Mehr-o-Mah Complex ในเมือง Qom ที่อยู่ระหว่างทางไปสนามบิน มีร้านอย่าง MoonNuts ขายขนมพวกถั่ว ลูกอม ช็อคโกแลต หรือขนมอิหร่าน แบบชั่งน้ำหนักขายก็เหมาะเอาไปเป็นของฝากดี ส่วนผมชอบร้าน Sohan Mohammad ช็อคโกแลตทำได้สวยมาก ซื้อกลับไปกินอร่อยด้วยนะ จบละครับทริปอิหร่าน ขอปิดท้ายด้วยภาพฝูงแกะข้างทางไปสนามบิน คิดถึงทุ่งหญ้าคนเลี้ยงแกะในเบทเลเฮม สถานที่ประสูติของพระเยซู ทริปต่อไปอยากไปอิสราเอล ไม่รู้ทัวร์จะจัดได้เมื่อไหร่หนอ~? อยากไป... | |
นับว่าเป็นประเทศที่น่าเที่ยวนะครับอิหร่าน ยิ่งช่วงหลังราคาไม่แรงมาก ด้วยอารยธรรมที่เก่าแก่และสวยงามข้ามยุคสมัย อากาศเย็นสบาย ผู้คนเป็นมิตรกว่าที่คาดไว้ แม้ผู้หญิงอาจลำบากที่ต้องคลุมผ้าปิดผม แต่สาวๆในทัวร์ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบอิหร่านมากค่า... อารยธรรมเก่าแก่ของเอเชียนอกจากจีนและอินเดียแล้วก็มีเปอร์เซียนี่แหละ ที่ยิ่งใหญ่พอจะข่มพวกยุโรปหรืออียิปต์ได้ (มองโกลไม่นับ เพราะแทบไม่เหลืออะไรให้ดู)
มรดกโลกทางวัฒนธรรมในประเทศอิหร่านมีถึง 23 แห่ง เยอะกว่ากรีซอีก! และในทัวร์นี้ได้ไปทั้งหมด 4 แห่งครับ 1. พระราชวังโกเลสตาน (เตหะราน) 2. มัสยิดอิหม่าม (อิสฟาฮาน) 3. จตุรัสอิหม่าม (อิสฟาฮาน) 4. เปอร์เซโพลิส (ฟาร์ส)
(นอกจากนี้ก็มีที่ให้รวมๆ อย่างสวนเปอร์เซีย และทางน้ำใต้ดิน ที่เหมาให้ทั้งประเทศอีก)
Create Date : 04 สิงหาคม 2562 |
Last Update : 4 สิงหาคม 2562 9:45:27 น. |
|
38 comments
|
Counter : 2178 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณเริงฤดีนะ, คุณJinnyTent, คุณกะว่าก๋า, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณtoor36, คุณเนินน้ำ, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณhaiku, คุณเรียวรุ้ง, คุณสองแผ่นดิน, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณnewyorknurse, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณkae+aoe, คุณmcayenne94, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณInsignia_Museum, คุณSweet_pills, คุณKavanich96, คุณmariabamboo, คุณtuk-tuk@korat, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณThe Kop Civil, คุณอุ้มสี, คุณschnuggy |
โดย: JinnyTent วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:11:02:41 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:11:03:29 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:12:37:51 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:15:01:50 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:15:23:37 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:18:41:57 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:20:01:25 น. |
|
|
|
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:22:33:31 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:0:09:33 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:6:24:42 น. |
|
|
|
โดย: mcayenne94 วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:9:33:49 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:14:56:28 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:22:16:25 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:23:34:38 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 6 สิงหาคม 2562 เวลา:3:02:14 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 สิงหาคม 2562 เวลา:6:20:06 น. |
|
|
|
โดย: mariabamboo วันที่: 6 สิงหาคม 2562 เวลา:9:49:10 น. |
|
|
|
โดย: mcayenne94 วันที่: 6 สิงหาคม 2562 เวลา:12:26:14 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 6 สิงหาคม 2562 เวลา:23:53:18 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 7 สิงหาคม 2562 เวลา:8:21:58 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 7 สิงหาคม 2562 เวลา:13:55:23 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 7 สิงหาคม 2562 เวลา:15:53:30 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 11 สิงหาคม 2562 เวลา:9:56:31 น. |
|
|
|
|
|
|
|
นั่งดูอาคารสถานที่ ดูข้างนอกเรียบ..แต่ข้างในสถาปัตย์งดงาม
น่าจะปูหรือประดับด้วยโมเสค คงทนมีเอกลักษณ์ น่าไปดูครับ
แต่ที่น่าทึ่ง ตอนก่อสร้างเขานำปูนสำหรับฐานรากหรือประสานอิฐ
หรือหินแต่ละก้อนจากไหหน
และการเกษตรเขาทำแถวไหน เพราะ ปชช.ต้องกินต้องใช้ น้ำ
คงมีอยู่ใต้ดินใช่เปล่าครับ