Group Blog
 
<<
เมษายน 2559
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
9 เมษายน 2559
 
All Blogs
 
O อุปาทานรูป .. O








Ernesto Cortazar - Infinite Love



๑๔
O ชลพินธุรินภวะละหลั่ง
นภะฝั่งก็พร่างไฟ-
ด้วยดาริกาสมะสมัย
รุจิไล้ประโลมหลัว
O เย็นรื่นเพราะคลื่นวตะระลอก
ขณะหมอกก็หม่นมัว
เผยร่าง .. ระหว่างพรรณะระรัว
พะ-เหยาะยั่ว .. กะเยียบเย็น
O คู่ดาวอะคร้าวรหัสะนัย
ก็ประไพประภาพเพ็ญ
ยามชายชม้ายพิศะ ก็ เห็น
นยะเต้นขจ่างตา


O เกิดแต่เมื่อเดือนฉายที่ปลายช่วง-
ดาวเลื่อนดวงหันเห .. ลับเวหา
แทนที่ด้วยคำมั่นคำสัญญา-
ขึ้นค้ำฟ้าแทนช่วง .. ของดวงไฟ
O เกิดแต่เมื่อชาติภพบรรจบรูป
เมื่อเปลวเทียนควันธูป .. ลอยวูบไหว
ภาพแววตาสั่นรัว .. คล้ายหัวใจ-
ต้องเลศนัยแรงชู้เข้าจู่โจม
O เสียงธรรมพระ .. จะแจ้งสำแดงสอน
เพื่อดับร้อนข่มทุกข์ที่ลุกโหม
ในอกผู้สั่นระทึกเสียงครึกโครม
ฤๅอาจโซรมให้ซบ .. เพียงสบธรรม ?
O คำพระว่า .. ตามองสบต้องรูป
ใจอาจวูบวาบเผลอ .. ถึงเพ้อพร่ำ
ด้วยรูปการหวานหอม .. ช่วยน้อมนำ-
พาเหยียบย่ำเวทนา .. สู่อาวรณ์
O คำพระว่า .. อารมณ์หากข่มไหว
จงข่มไว้ด้วยธรรมท่านพร่ำสอน
ตาสบรูป .. ภพชาตินั้นอาจทอน-
ให้ขาดตอนขาดช่วง .. จนล่วงรอย
O เสียงพระเทศน์ยังแว่วไม่แล้วล่วง
เพื่อคอยหน่วงเหนี่ยวโลกพ้นโศกสร้อย
หากแววตาใครหนอเหมือนรอคอย-
เหลือบ .. ชม้อยชม้ายสู่ .. ให้รู้ความ
O เปลวเทียนและควันธูปยังวูบไหว
เมื่ออกใจเสพทราบ .. รสวาบหวาม
รูปพักตร์เอย .. โลมรุกเข้าคุกคาม-
จักข่มข้ามบ่ายเบี่ยงเอาเยี่ยงไร ?
O จนสิ้นเสียงพระเทศน์, แววเนตรนั้น-
จากลอบเหลือบสบกัน .. ค่อยสั่นไหว
คล้ายเลือดซับแก้มก่ำ .. อยู่รำไร
เมื่ออาลัยอาวรณ์ สุดผ่อนลง
O เมื่อนันทิ .. ผลิเล่ห์ในเวทนา
จนอุปาทานขับ .. ขึ้นรับส่ง
สร้าง-ภพชาติเป็นกรรมขึ้นดำรง
แรงจำนงก็เผยแล้วผ่านแววตา
O อธิษฐาน .. เยี่ยงไรหนอใจนั่น
ให้-ผูกพันเฝ้าคอยละห้อยหา ?
หรือ-ชาติใดพานพบเพียงสบตา-
ให้รองรับเสน่หาทุกคราครั้ง ?
O ครั้งนั้น .. คงตั้งจิตอธิษฐาน-
จึงสืบผ่านถ้อยคำด้วยน้ำหลั่ง-
ลงให้พื้นปฐพินทร์ได้ยิน .. ฟัง-
จนรับรู้กำลัง .. ความตั้งใจ
O จึงวันนี้ .. รูปน้อยเหมือนคอยอยู่
คอย-รับรู้ .. รับรองความผ่องใส
ปรากฎขึ้นเทียบค่าความอาลัย-
กับรูปในความฝันจากวันเพรง
O เรียวรูปนิ้วจับของประคองถวาย
ก็คลับคล้ายรูปนิมิตเคยพิศเพ่ง
จันทร์เคยทอแสงปลั่งกลางวังเวง
ก็ยังเปล่งปลั่งงาม .. จนยามนี้
O จันทร์ที่ลอยกลางสรวง .. ยังดวงเดิม
รูปต่ายเติมแต้มลงยังคงที่
เช่นรูปในแววตา .. กอปรท่าที-
แห่งใยดีอาวรณ์ .. ออดอ้อนนั้น
O ยังอ่อนโยนอ่อนหวาน .. จนปานว่า-
แววในตาลอบชม้ายยังส่ายสั่น
สั่งชี้จิตวิญญาณจากวานวัน
ก่อนครั้งสัญญาชาติจักขาดวง
O เปลวเทียนและควันธูปยังวูบไหว
เมื่ออาลัยพิสวาดิด้วยชาติหงส์
เริ่มเร้ารุกคุกคาม-ตั้งจำนง-
ต่อรูปองค์เบื้องหน้าอย่าท้าทาย
O เหมือนแว่วธรรมพุทธา, เมื่อตาจ้อง
เรียวรูปนิ้วจับของประคองถวาย
แต่บัดนั้นอุปาทานก็พานกาย
เมื่อดวงเนตรนั้นชม้ายเหลือบชายมา
O สิ้นเสียงธรรม, นันทิ-กลับผลิช่วง-
ขึ้นในดวงจิตคอยละห้อยหา
เติมแต้มรูปอภินันท์ ลงสัญญา
ชี้, บัญชาให้สำทับชั่วกัปกาล
O เสียงพระเทศน์พ้นผ่านไปนานแล้ว
ลมยังแผ่วยังพลิ้วเป็นริ้วผ่าน
เมื่อ .. ดวงตาพรับพริ้ม เผยยิ้ม .. ปาน-
ช่วยเหยียบโลกทรมาน .. ให้ .. ลาญลบ !

O เสียงไก่ขันแว่วฝ่าอุษาสมัย
บอกจันทร์ให้งำรอยแล้วถอยหลบ
เพื่อเปิดฟ้าแรกวันให้ครันครบ-
การบรรจบรูปธรรมแสนอำพน
O ลมหนาวพลิ้วผ่านอยู่แต่ตรู่สาง
หมอกก็คลี่ม่านพรางทั่วทางถนน
หนาวเนื้อตัว, หนาวในหัวใจคน-
นั้น-หนาวจนถวิลอุ่น .. ไว้หนุนทรวง
O เม็ดน้ำค้างวางหยาด .. เรียงหยาดรับ-
การทอดทับแต้มแต่งด้วยแสงสรวง
จึงเห็นรูปเพชรพลอย .. นั้นลอยดวง-
พร้อมรูปหวงพร่างแพร้วในแววตา
O แววระยับวามช่วง .. ในดวงเนตร
ค่อยเผยเลศนัยเผดียง บอกเดียงสา
ทั้งพฤติ, รูปนาม .. ย่อมล่ามอา-
รมณ์ .. ผู้อุปาทานขับ แนบกับใจ
O มุขมณีน้ำระยับ .. ย่อมจับจิต-
ผู้เพ่งพิศ-อภิรมย์, ฤาข่มไหว
เห็นแต่เพียรจับจ้องหมายมองไป
เสพรูปนามเพ็ญพิไล .. หวัง-ไขว่คว้า
O เห็นงามก็ว่างามไปตามเห็น
กับแฝงเร้นกรณีทุกทีท่า
ดั่งดวงแก้วเหลื่อมประกายต่อสายตา
เพื่อร่ำรอเสน่หาจากตาชาย
O เห็นงามคุกคามฝ่า .. แววตาสบ
ย่อมบรรจบลุกลามเป็นความหมาย
ถวิลแต่คุณค่าอันพร่าพราย
ที่โชนฉายแววมณีเป็นสีเดียว
O ทุกพื้นเหลี่ยมมุมรัตน์ .. จำรัสแสง
เหลื่อมสำแดงรูปรอยให้พลอยเหลียว
ผ่านแววตาแฝงเร้น .. ราวเส้นเกลียว-
เคลื่อนเส้นเข้ารัดเหนี่ยว .. พันเกี่ยวใจ
O แล้วม้วนเส้นม้วนปลายเก็บปลายเงื่อน
จนสุดเคลื่อนสุดคลาย .. ต้น-ปลาย .. ไหว
เพื่อเสพรับอุ่นอายจากภายใน-
อุ่นอาลัยให้ระรุม .. คอยสุมลน
O แต่บรรจบก็ลุกลามเป็นความหมาย
แววตาคล้ายจำนรรจ์นับพันหน
กระนั้นแล้ว .. หวั่นไหว .. และใจคน
จักหลุดพ้นพรากได้เยี่ยงไรกัน
O เห็นมณีน้ำระยับงามจับจิต
ย่อมต้องคิดหมายปอง ตระกองขวัญ
เพื่อยึดโยงปักปลูกความผูกพัน
ไปชั่วกัปชั่วกัลป์พุทธันดร
O คะเนนึกคะนึงอยู่แต่ตรู่สาง
ที่แววอางขนางเห็นเกินเร้นซ่อน
ที่แสงในแววตาผู้อาทร
สบ-เว้าวอน .. เพรียกถวิลเพรียกจินตนา
O คะเนนึกคะนึงอยู่ไม่รู้สิ้น
เปลี่ยวเหงาย่อมพังภินท์จนสิ้นท่า
เมื่อแสงวามผ่องแผ้วในแววตา
เผยต่อหน้าพาโลกพ้นโศกซม
O แววมณีงามเพ็ญ .. เมื่อเต้นตอบ-
โลกโดยรอบเคยระยับก็ลับ .. ล่ม
เหลือเพียงงามเบื้องหน้าให้ปรารมภ์
รอขับข่มทุกมณี ในที่นั้น
O เม็ดน้ำค้างทุกหยาด .. บำราศแล้ว
เหลือเพียงแก้วมณีพราย .. ยังส่ายสั่น
ครองภาวะโชนช่วง .. เมื่อดวงวัน-
ราวจักบรรลัยล่วง ด้วยดวงตา !



Create Date : 09 เมษายน 2559
Last Update : 13 เมษายน 2566 12:21:26 น. 31 comments
Counter : 10552 Pageviews.

 

ดายุ..

ตรงนี้ชอบ...
"O ยังอ่อนโยนอ่อนหวาน .. จนปานว่า-
แววในตาลอบชม้ายยังส่ายสั่น
สั่งชี้จิตวิญญาณจากวานวัน
ก่อนครั้งสัญญาชาติจักขาดวง"

ตรงนั้นชอบ...
"O เห็นงามก็ว่างามไปตามเห็น
กับแฝงเร้นกรณีทุกทีท่า
ดั่งดวงแก้วเหลื่อมประกายต่อสายตา
เพื่อร่ำรอเสน่หาจากตาชาย "

ตรงโน้นก็ชอบ...
" O เห็นมณีน้ำระยับงามจับจิต
ย่อมต้องคิดหมายปอง ตระกองขวัญ
เพื่อยึดโยงปักปลูกความผูกพัน
ไปชั่วกัปชั่วกัลป์พุทธันดร"

ที่ชอบที่ชอบน่ะ มีหลายจุด บ้างก็ชอบการเล่นคำ
บ้างก็เด่นตรงเล่นความ....
สาวของสดายุนี่ .."มาดชาววัง" นะ
แล้วจะมีใน..สาธารณรัฐ.. ไหนล่ะ 555

ว่าแต่ว่า หากศาสนาพุทธล่มนี่..จะหมดรักใช่ไหม
.." ไปชั่วกัปชั่วกัลป์พุทธันดร"
เหลือเวลาเพียงแค่ กึ่งพุทธกาล เท่านั้นนะคะ...




โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 10 เมษายน 2559 เวลา:12:04:09 น.  

 
มินตรา ..

"ไรช์ที่ 3" นั้นแนวนโยบายของพรรค ได้แก่ ..
.. การขจัดสาธารณรัฐไวมาร์
.. การปฏิเสธเงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซาย
.. การต่อต้านยิวอย่างรุนแรง
.. และการต่อต้านบอลเชวิค

กำลังตามหาสาธารณะรัฐไรซ์ที่ 4 ..
.. การขจัดอำนาจ"ขวาจัด"ที่ครอบงำการเมืองลงอย่างถอนรากถอนโคน
.. การปฏิเสธเงื่อนไขเช่าที่ดินของต่างชาติ 99 ปี
.. การต่อต้านเจ๊กจีนตะกละตะกรามอย่างรุนแรง
.. และการต่อต้านอิสลาม IS

..........................

เป็นไง copy & paste ได้เหมือนไหม 555

ญ ไทยที่มีการอบรม มีความน่าดูตรงที่จริตกิริยา .. ที่อ่อนโยนอ่อนหวาน เหมาะกับการจินตนาการถึง ..

เมื่อมีหนังพีเรียดทำออกมา เช่น สายโลหิต สี่แผ่นดิน รัตนโกสินทร์ แม้จะเป็นช่วงปลายอยุธยา-ต้นรัตนโกสินทร์ แล้วยังมองเห็นการวางกิริยาตัวแสดงได้เหมาะสมอยู่

นางเอกในภาพ ผมว่ารูปหน้าสวยงามมาก เหมาะกับเครื่องแต่งกายแบบนี้ ..


โดย: สดายุ... วันที่: 10 เมษายน 2559 เวลา:12:34:24 น.  

 
สดายุ !
เกเรนะ
ท่านผู้อ่านโปรดทราบ...
สดายุเย้าแหย่ ให้มินตรา ขุ่นเคือง

คืองี้นะคะ ...
ในปี1923 นักประวัติศาสตร์เยอรมัน นาย อาร์ทัวร์ มืลเลอร์ ฟาน เดน บรุ๊ค (Arthur Moeller van den Bruck :1876-1925) ได้ ออกหนังสือ เล่มหนึ่ง

ในหนังสือเล่มนี้ เรียกช่วงเวลาในประวัติศาสตร์
สมัยกลาง (ประมาณศตวรรษที่ 6 - ศตวรรษที่15) เป็น
-อาณาจักรแรก คือ อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ของชาติเยอรมัน "Heilige Römische Reich deutscher Nation" ปกครองยุโรปตะวันตกตั้งแต่เหนือ จรดใต้ ทั้งหมด

- อาณาจักรที่สอง คือ อาณาจักรบิสมาร์ค ( Reich Bismarcks) นับตั้งแต่ ปีที่มีกฎหมายตั้งอาณาจักรใหม่โดย บิสมาร์ค ในปี 1870/71 ซึ่งเป็นระบอบที่มี นายกรัฐมนตรี อันมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ เป็นประมุข
และ บิสมาร์คนี่ล่ะคือ ผู้เริ่มระบบ "รัฐสวัสดิการ" (social state) ซึ่งสแกนดิเนเวีย(ที่ว่าดีเลิศที่สุดในโลก) และประเทศในยุโรป นำไปใช้กัน

- อาณาจักรที่สาม คือ อาณาจักรในอนาคตที่ควรเกิดขึ้นจากการที่ ชนชาติเยอรมันรวมตัวก่อตั้ง ด้วยความหวังว่าเป็น อาณาจักรสังคมแห่งชาติ (Nationalsozialist)
ตามที่ชนชาติเยอรมันต้องการให้เป็น โดยมีอายุนานถึง "หนึ่งพันปี"
("ไปชั่วกัปชั่วกัลป์พุทธันดร")

ปรากฎมี ฝ่ายตรงข้าม เสนอ "อาณาจักรที่สี่ "( "Vierten Reich") แถมมาให้ เพื่อเป็นที่ ครื้นเครงกัน เพราะ หากมี อาณาจักรที่สี่ ก็แสดงว่า ไม่มี อาณาจักรที่สาม ( "Dritte Reich") หลงเหลืออยู่แล้ว....



โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 10 เมษายน 2559 เวลา:17:35:15 น.  

 
มินตรา ..

Bismarcks .. นี่มีชื่อเสียงมากนะ ในฐานะเจ้าความคิด ทำนองเดียวกับ คาร์ล มาร์ก ... การทำงานทางความคิดจึงมักเป็นที่รู้จักไปนับนาน

ผมเป็นคนที่ชอบเยอรมัน .. และในความเป็นเยอรมันที่อดทน เข้มแข็ง มีวินัย ทำงานหนักนั้น เป็นเรื่องยากมากที่คนไทยจะพัฒนาไปได้ในระดับนั้น แม้จะใช้ระยะเวลา 80-90 ปีก็ตาม ..

ไทยเราต้องใช้ Singapore Model เท่านั้น .. คือตีกรอบ บังคับ ให้อยู่ในระเบียบ .. แต่"ผู้นำสูงสุด"ต้องแบบ ลี กวน ยู นะ (มันต้องไม่ใช่ที่จบหลักสูตรการรบ มาอย่างเด็ดขาด)

จริงไหม ?


โดย: สดายุ... วันที่: 10 เมษายน 2559 เวลา:19:33:07 น.  

 
สดายุ

ออตโต้ เอ็ดดวรด เลโอโพลด์ ฟอน บิสมาร์ค - เชินเฮ้าเซน (Otto Eduard Leopold von Bismarck-Schönhausen 1815 - 1898 )
เก่งกว่าคาร์ล มาร์ค นะ เพราะระบบคาร์ล มาร์ค โดนลบไปแล้ว แต่ระบบของบิสมาร์ค ยังอยู่

ชื่อบิสมาร์ค มีตั้งแต่การนำไปตั้งชื่อเรือรบ จนถึงชื่อ ปลา "บิสมาร์คแฮริง "( Bismarckhering)

แต่ตำแหน่งงานคือ
- เป็นมินิสเตอร์เพรซิเดนท์ ของราชวงศ์ ปรัสเซีย
-จากปี 1867 ถึง 1871 เป็นคานสเลอร์ ของสมาพันธ์เยอรมันเหนือ( Bundeskanzler des Norddeutschen Bundes)
-ปี 1871 ถึง 1890 เป็น ไรช์คานสเลอร์ คนแรก และ เป็นผู้ก่อตั้งราชอาณาจักรเยอรมัน
(erster Reichskanzler des Deutschen Reiches)

ความพยายามของบิสมาร์คในการจัดระเบียบวางระบบ ชนชาติเยอรมันในยุโรประหว่างปี 1806 และ 1990 ทำให้สามารถ แก้ไข ปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนของเขตแดนในยุโรป
และเป็นการวางฐาน ของสหประชาชาติ(United Nation)และ สหภาพยุโรป( Europäischen Union)
แมันจำเป็นต้องประกาศสงคราม เพื่อ รวมชาติเยอรมันถึงสามครั้ง:
- สงครามเยอรมัน กับ เดนมาร์ค ในปี 1864
- สงครามปรัสเซีย กับ ออสเตรีย หรือ เรียกกันว่าเป็นสงครามพี่น้อง(เพราะ ถือกันว่าออสเตรียคือเยอรมัน) ในปี 1866
- สงครามเยอรมัน กับฝรั่งเศส ในปี 1870/1871

จนประชาชน เรียกว่า คานสเลอร์เหล็ก „Eiserne Kanzler“
(ในภายหลังคนอังกฤษ เรียก บารอนเนส มากาเรต แธทเชอร์ (Magaret Baroness Thatcher) ผู้ใช้ยุทธวิธี แบบที่บิสมาร์คใช้ในการ ปกครอง ว่า "หญิงเหล็ก")

ส่วนการปกครองภายในซึ่งมีผลต่อยุโรปคือ :
-บิสมาร์คเป็นผู้วาง "ระบบ ประกันสังคม"( Sozialversicherungssystems)
-เปลี่ยนรัฐที่ใช้อำนาจรัฐ(State–State) เป็นรัฐสวัสดิการ(social state)
- เปลี่ยนการแต่งงานจากระบบศาสนา(christlich Ehe) มาเป็น การแต่งงานโดยระบบราชการ (civil ehe)
-ตั้งระบบการศึกษาในโรงเรียน( public school) แทนการเรียนในวัดในโบสถ์

ชัยชนะสงครามทั้งสามครั้ง ของเยอรมันทำให้คนในสมัยนั้นเรียกว่า "การปฎิวัติจากข้างบน" „Revolution von oben“
ซึ่งตัวบิสมาร์คเองต้องหวั่นกับการปฎิวัติ ต่อต้านที่จะเกิดขึ้นได้จากรัสเซียในการรวมเยอรมันเหนือ

แต่บิสมาร์คบอกว่า "หากจะมีการปฎิวัติเกิดขึ้น เราควรปฎิวัติเองเพื่อจะไม่ต้องทนทุกข์จากการพ่ายแพ้"
และ ตอบ พระเจ้านโปเลียนที่3ว่า "ปฎิวัติในปรัสเซีย น่ะ คนที่จะทำคือ กษัตริย์เท่านั้น ! "
...มิใช่จาก ประชาชน(กระจอกกระจอก) อย่างในฝรั่งเศส !

นักปฎิวัติเปลี่ยนระบอบของไทย ที่เย้วเย้วกันอยู่
เคยรู้ไหมนี่





โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:2:25:32 น.  

 
มินตรา ..

เอา คศ.มาแปลง .. มิสมาร์ค มีชีวิตอยู่ระหว่าง พศ.2358-2441 คือเกิดสมัยรัชกาลที่ 2 มาตายในสมัยรัชกาลที่ 5 อายุ 83 ถือว่าอายุยืนทีเดียว

แต่ผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า"การปฏิวัติต้องมาจากข้างบน" เพราะคนที่อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในสังคมไม่มีทางคิดเพื่อชนชั้นที่แตกต่างไปจากตนเองได้ ..

"ชนชั้นใดก็คิดเพื่อชนชั้นนั้น" เท่านั้น

ดังนั้น .. การปฏิวัติที่ยกมาจึงอาจเป็นที่รับรู้กันในวงนักประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ที่เรียนมาเฉพาะทางอันจำกัดจำนวนเท่านั้นเอง ..

ไหนเลยจะเป็นที่รับรู้กันอย่างกวางขวางอย่างการปฏิวัติล้มระบอบกษัตริย์ของทั้ง ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน และ อิหร่าน อันเป็นกรณี ล่าสุด

นักปฏิวัติของไทยที่มินตราเห็นอยู่นั้น ส่วนมากเป็นนักปฏิวัติเชิงโวหารภาพพจน์ซะมาก .. ขนาดอยู่พ้นเงื้อมมือ Junta Siam มันยังไม่กล้าชนกับ "คนเบื้องหลัง" เลยสักแอะ

จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศจากแค่แรงกดดันภายนอกประเทศ ไม่มีทางแม้แต่ % เดียว .. แต่ต้องมีกองกำลังติดอาวุธเป็นของตนเองเท่านั้น

(ดูง่ายๆ .. แค่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ อันเป็นหน้าที่โดยตรงของฝ่ายความมั่นคง กี่ปีกี่ชาติแล้วมันยังจัดการไม่รู้จบ ดูไม่แข็งขันเท่ากับการจัดการกับ ขบวนการ"ขันแดง" 555)

ทีนี้หากมองจากเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา .. ความล้มเหลวของ พคท.ที่มี ทปท. เป็นกองกำลังติดอาวุธ มันเกิดจากอะไร ?

มันแตกต่างจนต้องแยกแยะอุดมการณ์การเมืองที่สามารถทำสำเร็จในอินโดจีน และจีน .. เพื่อแยกออกมามองเรื่องความมุ่งมั่นจริงจังของชาติพันธุสยามว่ามีจริงมากน้อยแค่ไหน ?

คือผมมองว่า อุดมการณ์เชิงรัฐศาสตร์อย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นชาติพันธุนี้ ..



โดย: สดายุ... วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:9:56:08 น.  

 
สดายุ..

เรื่อง ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) นั้น มินตราในฐานะที่เกิดทางใต้ รับรู้ตอนสมัยยังอยู่ชั้นประถม ว่า ไม่มีสตางค์ค่าขนม หนึ่งเดือนเต็มเต็ม
เพราะ แม่ซึ่งเป็นข้าราชการครู ไม่ได้รับเงินเดือนด้วยว่าผกค. ปล้นรถไฟที่ขนเงินเดือนจากกรุงเทพ ลงมาจ่ายข้าราชการทางใต้ และยิงเจ้าหน้าที่ไม่มีอาวุธ ตายเพราะ เค้าจำหน้าผกค.คนนั้นได้ ..
และผกค.คนนั้นคือคนที่ออกมาตั้งตนในตอนนี้ว่าเป็นผู้นำปฎิวัติ แถมยังประกาศว่า "ผมโดนใส่ร้าย"....
กรณีนี้ แสดงว่า "การพูดจาไม่จริง.." คือตัวทำลาย ความสำเร็จ ใช่ไหม....
ฟังกลุ่มฮาวทู วิเคราะห์ตนเอง (ตามหลักทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ของคาร์ล มาร์ค ) บอกว่า ความล้มเหลวมาจาก นายธง แจ่มศรี เลขาธิการพรรค เพราะ ไม่มีความรู้ไม่ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ในทฤษฎี ของมาร์ค จึงล้มเหลว

อินโดจีน และจีนนั้น..เป็นการต่อสู้เพื่อ ชีวิตในการอยู่รอดของชนชาติตน..เช่นเดียวกับ ชาวมุสลิมในปัตตานี

นักปฎิวัติที่สดายุว่า ว่า ไม่กล้าชนกับคนที่อยู่เบื้องหลังนั้น เป็นเพราะ ...ต้องการชนะประชาชนทั้งประเทศ... และหลีกเลี่ยงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ตราบเท่าที่ประชาชน "ยังไม่พร้อม"
นี่เป็นลักษณะของ"นักปกครอง" และ "นักประชาธิปไตย"
ไม่บังคับขืนใจประชาชน ไม่ใช้ความรุนแรงป่าเถื่อน

สำนวน"ชนชั้นใดก็คิดเพื่อชนชั้นนั้น" เท่านั้น
เป็นที่รู้รู้กันใน "กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ"ว่า...
เมื่อจนด้วยเหตุผล สำนวนนี้ ก็สามารถปลุกระดม "ความรู้สึกว่าเป็น..พวกเดียวกัน"..นำมาใช้ได้เสมอ เมื่อจนด้วยปัญญา....

-เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพราหมณ์ อาชีพกษัตริย์
-บิสมาร์ค เป็นจ้าว ผู้ครองแคว้นทางเหนือของเยอรมัน
-คาร์ล มาร์ค เป็นลูกชายหัวหน้าผู้นำทางศาสนายิว
แต่งงานกับ บารอนเนสผู้ปกครองแคว้นสำคัญในยุโรป
-เองเงล คู่หูคาร์ลมาร์ค เป็นลูกเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมในเยอรมัน และ อังกฤษ
-เลนิน เป็นจ้าว ที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งแม้นแต่จะทำนา ยังจับจอบเสียมไม่เป็น
-เช กูวาลา เป็น นายแพทย์

แต่สำนวนที่ว่า "การปฎิวัติจากข้างบน" เป็นสำนวนที่ใช้แซว ผลงานของ บิสมาร์คว่า อยู่ดีดีมีอำนาจ ก็ยัง "รนหาที่" มากกว่า เพราะประชาชนคนธรรมดาในสมัยนั้น เป็นผู้พูด...
เหมือนกับที่คนไทยว่า "พวกบริพัตร" ว่า "เอ๋อ"
จนมี"ใคร"พูดออกมาว่า "ในเมื่อพี่ยอมเค้า แล้วจะให้น้องไม่ยอมได้อย่างไร".....ไงคะ

ระบบอินเตอร์เนต ในยุคดิจิทอล ที่ใช้สื่อสารตอนนี้
มาจาก ชนชั้นประชาชนคนเดินดินรึ
ความเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก ที่ภายในไม่สามารถต้านทานได้ต่างหาก...วิวัฒนาการของมนุษยชาติ !






โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:11:19:26 น.  

 
มินตรา ..

ที่ว่า "ชนชั้นใดก็คิดเพื่อชนชั้นนั้น" เพราะโดยตรรกะแล้ว คนในชนชั้นนั้นมีชีวิต รับรู้เรื่องราวของชนชั้นตนเองมากกว่าชนชั้นอื่น .. ก็กิน หายใจ อยู่อาศัยในแต่ละวันรวมทั้งเรียนรู้สิ่งต่างๆ ก็เพราะดำรงอยู่ในสถานะของชนชั้นพ่อแม่นั่นเอง ..

จะไปเข้าใจซาบซึ้งอะไรกับชนชั้นอื่นที่อย่างมากก็สัมผัสมาบ้างเพียงผิวเผิน .. การยกมาเชิดชูเพียงเพื่อสปิริตทางอุดมการณ์ทางการเมือง ที่มองว่าเป็นเรื่องเสแสร้งชั่วเวลาเท่านั้นเอง

ทีนี้ในแต่ละชนชั้นมันก็ย่อมมีหัวมีหาง .. มีคนคิดนำและมีคนคิดตาม .. รวมทั้งในหมู่วรรณะสี่ของอินเดียด้วย

ยุคแรกของพัฒนาการก็นำโดยนักคิด คือ พราหมณ์ที่เป็นที่พึ่งทางใจ ที่เป็นตัวแทนการติดต่อกับสิ่งที่คิดว่ามีอำนาจเหนือชีวิต .. ผ่านพิธีกรรม รูปแบบที่คิดกำหนด ปรุงแต่งกันขึ้นมา

ยุคต่อมา นักรบที่ดูแลขอบเขตที่อยู่อาศัยก็เริ่มสร้างบทบาทนำและเอา"ที่พึ่งพาทางใจ"ลงมาเป็นที่ปรึกษาการทำงานเสีย

เมื่อโลกเปลี่ยนไปคุณค่าทางพิธีกรรมอันลึกลับ ดำมืด ก็ถูกเปิดหงายออก ด้วยการรู้ถึงกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติอย่างถ่องแท้ .. ความศักดิ์สิทธิ์ ที่เคยมีอิทธิพลเหนือบรรดาจิตใจโง่เขลาก็ถูกทำให้เปิดเผย ทำให้คนตาสว่าง และมองกลับมาที่ตัวเอง

ปากท้อง ความอยู่ดีกินดีจึงเป็นเป้าหมายของสังคมโดยรวม เรื่องเศรษฐกิจจึงสำคัญ ระบบทุนนิยมก็ตั้งมั่นตามขึ้นมา ทำให้ทั้ง "ที่พึ่งพิงทางใจ" ทั้ง "คนดูแลขอบขันธสีมา-ยามแผ่นดิน" ถูกลดบทบาทลง

พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร .. ลำดับมาถูกทางแล้ว ..

แต่มาร์ค คิดข้ามจาก กษัตริย์ ไปหา ศูทร เลย คือยกวรรณะกรรมกร แรงงานขึ้นเชิดชู เอาระบบเศรษฐกิจที่ควรเป็นทุนนิยมเสรี ให้เป็น สังคมนิยมชนชั้นกรรมาชีพ เลยทีเดียว โดยมี เลนิน ทรอสกี้ พยายามนำมา apply ใช้ จึงพังไม่เป็นท่า ..

รวมทั้งที่เหมา เจ๋อ ตุง เอามาลองที่"คอมมูนต้าไจ้" ก็พังไม่เป็นท่าเช่นกัน ..

ชนชั้นแรงงานให้มาเป็นผู้นำทางการเมืองไม่ได้ .. เป็นได้เพียงผู้สนับสนุน เพราะขาดมากเรื่อง"ความคิดได้"

วรรณะแพศย์ เท่านั้นที่เหมาะสมกับโลกยุคปัจจุบัน ..
คือ ชนชั้นที่มีระบบเศรษฐกิจ เหมาะสมชัดเจน ไม่ใช่ลองผิดลองถูกแบบ สมคิด จาตุฯ ที่พอไม่มีคนไกด์ข้างบนอีกทีก็ไปไม่เป็น

นักปฏิวัติ ผมยังมองไม่เห็นในสังคมไทยนะ

มองผ่านจีน ..
..เหมา เจ๋อ ตุง คือนักปฏิวัติทางการเมือง รวมทั้งทาง วัฒนธรรม .. (อย่างน้อยก็ทำให้สังคมคลั่งลูกชายตามขงจื๊อ แบบจีนยอมมีลูกคนเดียวได้)
..เติ้ง เสี่ยว ผิง คือนักปฏิวัติทางเศรษฐศาสตร์

โปลิตบูโร ปัจจุบันรวมทั้ง สี จิ้นผิง ไม่มีความโดดเด่นอะไร แค่ลูกหลานของบรรดาผู้นำใน จงหนานไห่ รุ่นที่มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนมากขึ้นเท่านั้นเอง

ชนชั้นมีการศึกษาในโลกปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องเป็นชนชั้นนำ .. แต่ชนชั้นนำนั้นมีโอกาสในการศึกษามากกว่าชนชั้นอื่นเพราะปัจจัยเศรษฐกิจเอื้อ คือมีโอกาสไปเรียนต่อในประเทศที่เจริญกว่าได้ .. แต่ที่ไปเรียนมาแล้วไม่ได้เรื่องก็มีเยอะแยะ ..

คนที่สังคมโลกโฟกัส จับจ้อง ควรต้องไปอยู่ในที่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวในแผ่นดินตัวเอง เพื่อดึงความสนใจของโลกกลับมาสู่แผ่นดินอาธรรมตลอดเวลา .. แบบเดียวกับ เนลสัน แมนเดลลา แบบเดียวกับ อองซานซูจี .. จนกระทั่งระบอบเดิมที่เป็นฝ่ายกระทำอยู่ขาดความชอบธรรมและพังทลายลงไปในที่สุด ..



โดย: สดายุ... วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:12:03:44 น.  

 
มินตรา ..

ดูเรื่องนี้หรือยังครับ .. Er Ist Wieder Da ?


โดย: สดายุ... วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:12:37:37 น.  

 
ดายุ..

ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจกันนั้น มาจากชนชั้นเดียวกัน
แต่ความเมตตากรุณานั้น
มาจาก"ผู้ที่มี"ไปสู่"ผู้ที่ไม่มี"นะคะ

สมัย คาร์ล มาร์ค เรื่อง "วัตถุ"( Materialismus) เป็น
1.เรื่องที่ แยกตนเองออกจาก "ความงมงาย"ได้....
เพราะ สามารถเชื่อเรื่อง "เหตุและผล"ได้ด้วยการ "รู้แจ้งเห็นจริง"(Enlightenment) เป็นการลบ "พระเจ้า"(God) ซึ่งมองไม่เห็น ออกไปได้
2.การปฎิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งมีเรื่อง การผลิต และการลงทุน ฉะนั้น ชนชั้นของคาร์ลมาร์ค จึงมีเพียง นายทุน และ กรรมกร

ถูกต้องค่ะ ในปัจจุบันนี้ คนสามารถมีการศึกษาได้ จาก ระบบ โรงเรียนที่บิสมาร์ค วางไว้
ซึ่งในสมัยก่อนนั้น ชนชั้นสูงเท่านั้น ที่จะมีโอกาสรับการศึกษาอบรม เพื่อเตรียมเป็นชนชั้นปกครอง เพื่อวิวัฒนาการของมนุษยชาติ

หากสดายุสังเกตุให้ดี จะเห็นว่าตั้งแต่ตอบคำถามสดายุว่า หากไปอิตาลี จะไปเที่ยวที่ไหนนั้น
มินตรา ตั้งใจตอบเพื่อให้เห็นว่า "ความไม่เหมือน"ของคนนั้น อยู่ที่ "การศึกษาและการอบรม"

สมัยนี้ ใครใครก็มี"โอกาสที่เท่าเทียมกัน" ในการศึกษา
แต่จะเห็น "ความไม่เหมือนกัน" ของ "ที่มาของแต่ละคน" ได้อยู่ดีว่า "พื้นฐาน"(human capital) ไม่เท่ากัน
จึงมีการพยายามเขียนและสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ตาม"ความรู้ที่ตนท่องมา" หรือ อ่านมาซึ่งเป็นเพียงความ"เสมือนจะรู้"

มีคำว่า "ความสามารถเฉพาะตัว"(competence) อีกคำ ที่จะใช้ในการคัดเลือกบุคคลให้เหมาะ กับงานที่ทำ

มินตรา เห็น"การเปลี่ยนแปลง" (innovation) ในไทยได้จากสองความสามารถ คือ
- ในตัวคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้เป็น"ประชาชนไทยขนานแท้และดั้งเดิม" มีความรู้ที่ตนเองถนัดและมีศีลธรรมตามแบบพุทธมามกะ ผู้จะเป็นผู้นำหลักในประเทศ
-คุณจักรภพ เพ็ญแข มี"ความสามารถเฉพาะตัว"(competence) อันเป็นสากล และ เชื่อมกับเครือข่ายในสากล

คนเอเซียนั้น จะไหลไปเรื่อยเรื่อย เอื่อยเอื่อย ไหวตัวตลอดเวลา เสมือนสายน้ำ..เคยเห็นก้อนหินตามแม่น้ำไหม..โดนขัดเกลาซะกลมกลึง ไม่มีรอยตะปุ่มตะปั่มเลย..

ชนชั้น มิใช่เรื่องน่ากลัว ยังไงก็มี เพราะ ความสามารถของมนุษย์ ตามธรรมชาติ หรือ ตัวธรรมชาติเอง มีความหลากหลาย(diversity) อยู่ และ วิวัฒนาการในมนุษยชาติ ก็ไม่มีเพดานจำกัด จึงต้องมีเพดานให้มนุษย์ไต่ขึ้นไปเรื่อยเรื่อย...

ชนชั้นปกครองไทย ถูกสอนมาแต่อ้อนแต่ออกให้รักประชาชน เพราะ เมื่อไม่มีประชาชน เราก็ไม่มีใครจะปกครอง 555
ฉะนั้น เรื่องไม่เปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีแน่ !


โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:13:21:47 น.  

 
ดายุ..

Er Ist Wieder Da ? der Führer (ท่านผู้นำ)
ยังไม่มีเวลาดูหนังเลยค่ะ

ตอนนี้ ทั้งยุโรป กลับไป "ขวาจัด" กันทุกประเทศ
เพราะ นโยบายช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด
จนคนยุโรป อกสั่นขวัญแขวน

คงเหมือน "คนเสื้อแดง" ที่ไม่เคยทำกิจกรรม ทางการเมือง แต่ "แดงสนิท"..ในการเดินมาขอพักขอกินกับคนไทยในต่างแดน เพื่อจะเดินทางรอบโลกโดยไม่ออกเงิน
หรือพวกตั้งใจด่าจ้าวเพื่อต้องคดี๑๑๒ แล้ว ลี้ภัยได้ทันที

ความจริงคนไทยในต่างแดนพร้อมที่จะช่วยเหลือ "ของจริง" นะคะ มิใช่จะต่อต้าน

คนยุโรป ก็ขัดอกขัดใจกับ "ธุรกิจขนผู้ลี้ภัย" ที่กำลังเป็นอยู่ จนต้องขึงรั้วลวดหนามรอบยุโรป
เสรีภาพอิสรภาพ ที่สร้างไว้มาตั้งแต่ สมัยบิสมาร์ค ก็ พังครืนลง ! เพราะ ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ

แปลกที่ แทนที่จะเรียกหา บิสมาร์ค กลับกลายเป็น เรียกฮิตเลอร์
น่าหวั่นวิตกมากในกลุ่มปัญญาชนเยอรมันในขณะนี้ว่า
พรรคการเมือง"ขวาจัด" ที่เพิ่งตั้งใหม่ ชนะการเลือกตั้ง ถึง 20% แถม ตำรวจเยอรมัน และ ยุโรปต้องพกอาวุธ !




โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:13:55:17 น.  

 
มินตรา ..
พูดเรื่องประวัติสาสตร์สักหน่อย เอาเฉพาะไทยแล้วกัน
.
ที่คนไทยรับรู้มาตลอดจากระบบการศึกษาของกระทรวงศึกษานั้น ขอเรียกว่า "ประวัติศาสตร์ชาตินิยม" ที่บ้างก็เขียนขึ้นเองในยุครัตนโกสินทร์นี่แหละ ..

เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างความเป็นชาติที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน .. เพื่อพยายามปกป้องดินแดนซึ่งสัมพันธ์กันอย่างหลวมๆ ในยุคล่าอาณานิยม เป็นต้นว่า ล้านนา(เชียงใหม่และหัวเมืองเหนือ) ล้านช้าง(ลาว) และกัมพูชา ว่า"เป็นของเรา" .. ที่เรียกว่า sense of being a nation state (สำนึกชาตินิยมและรัฐชาติ)

แม้แต่เรื่องพระนเรศ ที่เขียนกันจนเพริดแพร้วพิสดาร อย่างที่บางเหตุการณ์ก็ไม่เคยปรากฎในประวัติศาสตร์ชาติรอบบ้านชาติใดเลย .. เพื่อเชิดชูระบบ "ราชาชาตินิยม" จนผู้มีจิตเปิดกว้างต้องไปอ่านบันทึกของ ปินโต, วันวลิต (เยเรเมียส ฟาน ฟลีต -Jeremais van Vliet) และอื่นๆ

และความรับรู้เกี่ยวกับชนชั้นนั้นเรารับเอาแนวคิดตะวันตกมาใช้ ทั้งๆที่เมืองไทยมีแค่เจ้ากับไพร่ และเจ้านั้นแต่งตั้งกันขึ้นเมื่อยึดกุมอำนาจทางการเมืองได้แล้ว ..

เจ้าบางคนเมื่อกระทำผิดแล้วถูกลงโทษ ก็ถูกถอดลงเป็นไพร่ได้ง่ายๆ เหมือน เจ้าฟ้ากุ้ง กับ เจ้าฟ้าสังวาลย์ แถมด้วยเหล็กเผาไฟนาบหน้าผาก เสีย .. อันเป็นแนวคิดที่รับมาจากอินเดียโบราณอีกต่อ ที่เอาเหล็กนาบไฟ"ตีตราทาส"ที่ข้อมือ เพื่อซื้อขายในตลาดค้าทาสยุคโบราณ

ผมไม่คิดว่า สยามจะมี"ชนชั้น"ในความหมายเดียวกับ ยุโรปนะ ..


โดย: สดายุ... วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:14:13:08 น.  

 
มันก็น่าต่อต้านอยู่นะ กับผู้ลี้ภัยจากโลกมุสลิมที่จะเป็นปัญหาระยะยาวของสังคมคนผิวขาว

ผมว่าสำนึกชาตินิยม มันเป็นของจริง มันแฝงอยู่ในจิตใต้สำนึกของคนเรา

แต่สำนึกเสรีนิยม หรือ ภราดรภาพกับทุกชนชาติ นั้นเป็นเพียงสปิริตการแสดงออกทางการเมืองของนักการเมืองในโลกตะวันตกเท่านั้นเอง

อย่าลืมว่า"ขวาจัด"แบบ ฮิตเลอร์ ไม่ได้มีอำนาจขึ้นเองนะ ชาวเยอรมันที่เจ็บแค้น อับอาย กับสงครามโลกครั้งแรก นั่นแหละเรียกหา .. เพื่อถอนแค้นฝรั่งเศส โดยมีสนธิสัญญาแวร์ซาย เป็นเป้าล่อ

แต่ขวาจัดแบบนั้นเกิดเพื่อครอบครัวเยอรมันทั้งมวล .. มิใช่แค่ "ครอบครัวเดียว" ..

กระแสขวาจัดแบบนั้น หากเป็นเยอรมันผมทอง ตาสีฟ้า สูง 180 ขึ้นของแท้ ก็ไม่ต้องกลัวผลกระทบ

แต่หากเป็นมุสลิมจากซีเรีย หากผมเป็นเยอรมัน ผมก็ขอเข้าขวางหญิงเหล็กเหมือนกัน .. 555


โดย: สดายุ... วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:14:24:15 น.  

 
ดายุ...

นักประวัติศาสตร์ หลายคนถูกหักล้างลงด้วย ข้อมูลทาง ประวัติศาสตร์ และหลักฐานทางโบราณคดี แล้ว
กรมพระยาดำรงค์ หรือ โพรเฟสเซอร์ เซเด ชาวฝรั่งเศส
หรือ แม้นแต่อาจารย์นิธิ เจ้าของทฤษฎีพระเจ้าตากถูกฆ่าเพราะเป็นชาวจีน เหล่านี้เป็นต้น

หรือใครที่อ้างตนเป็นจ้าว ก็มีหลักฐานว่าเป็นจ้าวในปี2475

หรือแม้นแต่ดร.ปรีดี ที่ว่านำปฎิวัติ ก็ยังมีนักประวัติศาสตร์เช่นคุณปรามินทร์ เครือทอง มาค้นคว้า หา "นาทีปฏิวัติ ๒๔๗๕ " จนจำต้องยอมรับความจริงกัน

ยูเนสโก้ เองก็ มีทีมงานประวัติศาสตร์ ค้นคว้า เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำบันทึกของชาติต่างต่างมาเปรียบกัน สนับสนุนด้วย หลักฐานทางโบราณคดี

เห็นสำนักการศึกษาขั้นพื้นฐาน ออกยูทูป สอนประวัติศาสตร์ ใหม่ออกมาให้นักเรียนรู้ ก็เป็นไปตาม"หลักฐานทาง โบราณคดี" นี่คะ





โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:14:56:47 น.  

 
มินตรา ..

ประวัติศาสตร์ไทย นั้นมีหลากหลายบันทึกของต่างชาติที่สมัยกรมดำรงฯ ยังค้นไม่เจอก็มีมากมาย ..

อีกอย่างท่านเป็นเจ้า บรรพบุรุษท่านมีส่วนได้เสียกับบางเหตุการณ์โดยตรง ..

แค่สองประเด็นนี้ทำให้ผมมีความสนใจประวัติศาสตร์ที่ออกนอกกรอบชาตินิยมของคนรุ่นใหม่มากกว่า เช่น ดร.สุเนตร .. อ.ชาญวิทย์ .. อ.นิธิ .. เนื่องจากหลักฐานทางพม่าที่เป็นคู่กรณีโดยตรงและไม่เคยถูกเผาทำลายอย่างของไทย ยังมีอยู่อย่างน่าค้นคว้ามาก

อย่างเรื่องชนช้างของพระนเรศ กับ พระมหาอุปราชา นั้น .. ทางพม่าบันทึกไว้ว่าถูกไพร่ราบทหารเลวรอบช้างทรงของพระนเรศยิงด้วยปืนตายนะ ไม่ได้ขาดคอช้างเพราะง้าวพระนเรศแต่อย่างใด

กรณี สุระกำมา ต้องปืนข้ามแม่น้ำสะโตงตาย .. พอมาถึงยุคสมัยที่ทุกเรื่องต้องสมเหตุสมผล .. แม่น้ำสะโตงนั้นกว้างถึง 600 เมตร และปืนสมัยนั้นเมื่อ พศ.ราว 2140 หรือประมาณ 420 ปีที่แล้ว จะยิงไกล-แม่นยำขนาดนั้นเชียวหรือ ?

เรื่องนี้ไม่มีในบันทึกฝ่ายพม่า .. ไทยว่าเอาเองล้วนๆ .. รวมทั้งกรณีพระนเรศยกทัพไปล้อมหงสาวดี นั้นพระองค์ได้ทราบจาก "พระธิดาของพระเจ้านันทบุเรง" ให้ยกทัพกลับเสียก่อนที่ทัพ อังวะ ทัพแปร ทัพยะไข่ จะยกมาถึง ..

ตรงนี้ นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ สันนิษฐานว่า น่าจะมีนัยะพิเศษทางความสัมพันธ์กันตั้งแต่ถูกส่งตัวไปเป็นตัวจำนำที่หงสาวดีตั้งแต่วัยรุ่น

เพราะพระธิดาองค์นี้ ต้องเป็นพระขนิษฐาของพระมหาอุปราชาที่มาสิ้นพระชนม์ในแดนสยาม และอาจเป็นที่ "ต้องตาต้องใจกันอยู่"

"ดอกฟ้าแห่งหงสาวดี" .. จึงน่าเขียนเป็นโคลงสี่สุภาพนักแล้ว 55



โดย: สดายุ... วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:17:28:48 น.  

 
intro ..

....อหังการแห่งไก่เชลย....

ร่าย ..
O ครั้งร่วมตีไก่ชน - - - ท่ามกลางพลม่านล้อม
อยู่พร้อมมังสามเกียด - - - คำหยามเหยียดหลานราช
แว่วประกาศเย้ยหยัน - - - เมื่อไก่หันเสียที
ไก่ไทยตีเสียทาง - - - หลุบปีกหางวิ่งวน
คำหยามคนจึ่งเผย - - - ไก่จำเลยเก่งหนอ
ไม่รีรอต่อหน้า - - - นี้ไก่เชิงฉกาจกล้า
อาจท้าเอาเมือง ฯ


O จำเนียรกาลผ่านพ้น - - - เติบใหญ่องอาจล้น
สง่าแม้นราชสีห์ ฯ

O หกขวบปีห่อนเว้น - - - หมายมุ่งจักลอบเร้น
สู่บ้านเมืองสยาม ฯ

....ดอกฟ้ากรุงหงสาวดี....


โดย: สดายุ... วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:18:18:28 น.  

 
สดายุ

ชาวปอร์ตุเกส ที่เขียนเรื่องเอเซียในศตวรรษที่16 ชื่อ นาย ปิ่นโต Pinto (1509 - 1583) ได้บันทึกว่า ทหารพม่าเข้าล้อมกรุง และกษัตริย์สยามจ้างทหารชาวปอร์ตุเกส ไปรบ ในขณะที่นายปิ่นโตอ้างว่าตนคือผู้นำปืนยาว (Arkebuse)ไปขายที่ ญี่ปุ่น แล้วชาวญี่ปุ่นก็เลยตั้งโรงงานผลิตที่บนเกาะ ทาเนอกาชีม่า(Tanegashima) ปืนก็เลยชื่อTanegashima-Arkebusen ซึ่งเป็นปืนที่ผลิตในศตวรรษที่15-16 ที่พระนเรศวร ทรงนำมาใช้
เพราะทั้งชาวเปอร์เซีย ชาวมุสลิม และ ปอร์ตุเกส ที่เดินเรือจะใช้กัน

ปัจจุบันสมาคมยิงปืนของเยอรมันยังมีการแข่งยิงปืนประเภทนี้ ในระยะ 600เมตร ซึ่งคนอังกฤษ บอกว่า สามารถยิงไกลถึง 900 หลา = 822,96 เมตร

เมื่อก่อนเคยเชื่อกันว่า กาลิเลโอ"ประดิษฐ์ "กล้องส่องทางไกล(Galilean telescope) ปรากฎว่ามีเอกสารจากสยามสมัยพระเจ้าเอกาทศรถ สั่งซื้อ กล้องส่องทางไกล (a six-powered telescope) ในฤดูร้อนปี 1609 จาก ชาวเยอรมันฮอนแลนด์ ฮัน ลิพเพอเช (Hans Lippershey 1570 – 1619)โดยมีกาลิเลโอเป็นผู้ตรวจสอบกล้อง

นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส โวลแตร์ (Voltaire1694 - . 1778) เคยกล่าวว่า ประเทศเดียวใน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ มีอารยธรรม คือ ประเทศ สยาม



โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 12 เมษายน 2559 เวลา:23:07:21 น.  

 
มินตรา ..

เราคงต้องนิยามคำว่า "อารยธรรม" ให้ชัดเจน ..
วอลแตร์ น่าจะเข้าใจอะไรผิดแน่เลยหากพูดเช่นนั้น ..

อย่าลืมว่า ขอม ที่สร้างปราสาทนครวัดนครธม (สิ่งก่อสร้าง สถาปัตยกรรมที่เป็น 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ย่อมไม่ใช่ใครจะทำได้ง่ายๆ) นั้นครอบครองดินแดนแถบนี้มาก่อน ..

และอารยธรรมขอมนั้น สยามนำมาใช้ในบริบทของชนชั้นนำในศูนย์อำนาจของอยุธยา ทั้งภาษาและพิธีกรรม

ราชวงศ์ลพบุรี (ใช้คำนี้น่าจะถูกต้องกว่าใช้คำว่า"ราชวงศ์เชียงราย") ที่เป็นปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา นั้นสัมพันธ์ทางเครือญาติกับขอมแห่งเมืองพระนคร ..

และขอมนี้รับอารยธรรมของอารยันอินเดียมาพร้อมลัทธิพราหมณ์ จึงสร้างเทวาลัยสำหรับติดต่อ บูชา เทพเจ้าตามความเชื่อ .. มากมายหลายแห่งในที่ราบลุ่มเขมรต่ำรวมทั้งภาคอีสานตอนใต้ของไทย กระจัดกระจายมาถึงลพบุรี ..

เชื้อสายของขอม จึงเป็นเชื้อสายพรามหณ์ วรรณะศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยถูกท่อนจันทน์ประหารแม้จะถูกทำรัฐประหารจนหมดสิ้นอำนาจก็ตาม ..

พระเจ้าอู่ทอง .. ราชวงศ์ลพบุรีองค์แรก สิ้นพระชนม์ตามอายุขัย

พระราเมศวร .. โอรส ราชวงศ์ลพบุรีองค์ที่สองครองราชย์ต่อแป๊บเดียว ..

ขุนหลวงพะงั่ว .. แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ก็ยกทัพมายึดบัลลังก์อยุธยาแล้วให้พระราเมศวรกลับไปครองลพบุรีบ้านตนเอง

เจ้าทองลัน .. ครองราชย์ต่อหลังขุนหลวงพะงั่วตาย ได้เพียง 7 วัน พระราเมศวรก็ยกทัพมาจากลพบุรี จับเจ้าทองลันทุบด้วยท่อนจันทน์ .. แล้วครองราชย์ต่อยกสอง

พระยาราม ลูกพระราเมศวร ราชวงศ์ลพบุรีองค์ที่สาม ครองราชย์ต่อ จนเกิดมีเรื่องกับ"เจ้าเสนาบดี" .. ฝ่ายหลังจึงไปดึง"เจ้านครอินทร์"หลานขุนหลวงพะงั่วจากสุพรรณบุรียกทัพมายึดบัลลังก์กรุงศรี และขับพระยารามไปอยู่ "ปท่าคูจาม" ..

เป็นอันจบสิ้นราชวงศ์ลพบุรีเชื้อสายขอมแต่เพียงเท่านี้ .. ไม่มีการทุบด้วยท่อนจันทน์ เลยสักองค์ .. สันนิษฐานว่าเพราะเป็นสายเลือดพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์

และเจ้านครอินทร์ผู้นี้เองที่เป็นชนกของเจ้าสามพระยาผู้ยกทัพไปตีนครวัดจนขอมต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่พนมเปญตั้งแต่นั้นมา

อารยธรรมขอม คือ ภาษาเขมร และพิธีกรรมพราหมณ์ที่ใช้ในพระราชพิธีต่างๆ จึงถูกนำเข้ามาสู่ราชสำนักอยุธยา ผ่านทาง ปุโรหิต ขุนนางขอม ที่ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยศึกมาแต่บัดนั้น .. (ที่เขียนไว้ใน"โคลงชั่วฟ้าดินดับ")

พอถึงยุคพระบรมไตรโลกนารถ โอรสของเจ้าสามพระยา จึงตั้งจตุสดมภ์ คือ เวียง วัง คลัง นา (หรือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร นั่นเอง) .. ขึ้นมาและใช้มาจนถึงสมัย รัชกาลที่ 5

สยาม มิใช่แหล่งอารยธรรมดั้งเดิมหรอก ..


โดย: สดายุ... วันที่: 13 เมษายน 2559 เวลา:19:59:13 น.  

 
สดายุ...

แผ่นดินสุวรรณภูมิ มีอาณาจักร ดังนี้ :
1. อาณาจักรสุวรรณภูมิเป็นอาณาจักรแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มีชื่อเสียงมาก่อนพุทธกาล จนกระทั่งราว พ.ศ. 304 พระโสณเถระและพระอุดตรเถระได้เป็นหัวหน้าคณะมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิมีความปรากฏใน..คัมภีร์ทีปวงศ์.. โดยมีเมืองนครปฐมโบราณเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง

2. อาณาจักรฟูนัน พราหมณ์ โกณฑัญญะ หรือ ฮวนเถียน (HOUEN TIEN) ได้มาจากประเทศอินเดีย เป็นกษัตริย์ปกครององค์แรกเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 6 และวัฒนธรรมอินเดียได้เผยแพร่เข้ามา มีหลักฐานที่น่าเชื่อว่าศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย (อ่าน ไสวะ-นิกาย) รุ่งเรืองมากเท่ากับพระพุทธศาสนาสำหรับที่ตั้งมี นักโบราณคดีใช้ความเห็นว่าอยู่ทางตอนใต้แถบที่ลุ่มปากแม่น้ำโขงของกัมพูชาปัจจุบัน โดยเฉพาะ เมืองดอกแก้ว เชื่อว่าเป็นเมืองท่า เป็นต้นกำเนิดของอาณาจักรขอม
ในที่สุด เมื่อปี พ.ศ. 1083 อาณาจักรฟูนันได้ล่มสลาย

3. อาณาจักรเจนละ เป็นอาณาจักรที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศกัมพูชา และมีอาณาเขตเข้ามาถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย พระเจ้าภววรมัน จัดตั้งเป็นอาณาจักรเมื่อ พ.ศ. 1083 มีเมืองหลวงอยู่ที่แขวงเมืองจำปาศักดิ์ ต่อมาย้ายไปที่เมืองสตังเตนขนานนามว่า เมืองอิศานปุระ
ปกครองตกทอดมาจนถึง พ.ศ. 1345 จึงถูกราชวงศ์ไศเลนทร์คุมกองทัพเรือยึดอำนาจได้หมด

4. อาณาจักรศรีวิชัย เป็นอาณาจักรที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย และมีอาณาเขตเข้ามาถึงภาคใต้ของประเทศไทยทั้งหมดกษัตริย์พระองค์แรกชื่อ พระเจ้าชัยนาศ มีเมืองหลวงอยู่ที่ปาเลมบังในเกาะสุมาตรามีอาณาเขตครอบครองเกาะชวาและเกาะสุมาตรา
พอตั้งอาณาจักรมาได้ประมาณ 500 ปี เชื้อสายราชวงศ์ฟูนันที่หลบหนีมาเมื่อ พ.ศ. 1083 ก็เริ่มมีอำนาจและครอบครองอาณาจักรศรีวิชัย ตั้งราชวงศ์ใหม่ ชื่อ
ราชวงศ์ไศเลนทร์ นักโบราณคดีเชื่อกันว่าแรกทีเดียวราชวงศ์นี้อยู่ที่เมืองไชยาจังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. 1345ได้ยกทัพเรือยึดอำนาจจากอาณาจักรเจนละได้ สถาปนากษัตริย์พระนามว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 จัดตั้งอาณาจักรกัมพูชา

5. อาณาจักรทวาราวดี เป็นอาณาจักรแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ได้เติบโตและมีความเป็นอยู่อย่างสงบ แม้จะเคยตกเป็นดินแดนของอาณาจักรเจนละ
ก็มิได้นิ่งอยู่จนสามารถจัดระบบการปกครองของตัวเองขึ้นเป็น อาณาจักรทวาราวดี
เริ่มต้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เชื่อกันว่าเมืองนครปฐมโบราณหรือเมืองนครชัยศรีเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรแห่งนี้
ในราวพุทธศตวรรษที่ 15 อาณาจักรทวาราวดีก็สิ้นสุดลง

6. อาณาจักรโยนกนาคพันธ์ เป็นอาณาจักรที่คนไทยตั้งขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 15 ซึ่งเชื่อกันว่าอยู่ที่บริเวณอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย และมีตำนานว่าได้มีการตั้งเมืองใหม่ชื่อ เวียงปรึกษา และสร้างเมือง ภูกามยา หรือเมืองพะเยา เมื่อ พ.ศ. 1639

ในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 17 พระเจ้าศรีธรรมโศกมหาราชาธิราชนั้น ทรงตั้งราชวงศ์
ปัทมวงศ์ที่เมืองนครศรีธรรมราชมีอำนาจทางการเมืองปกครองขึ้นมาจดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาถึงนครสวรรค์และเมืองอู่ทองได้เกิดโรคระบาดทิ้งร้าง
เมื่อประมาณ พ.ศ. 1800 พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยและยกพ่อขุนบางกลางหาวเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ที่ทำให้เชื่อกันว่าดินแดนของคนไทยยังอยู่ในอำนาจขอมหลังจากนี้ได้มีการสร้างเมืองใหม่หลายแห่ง
ส่วนเมืองที่สร้างขึ้นทางตอนเหนือได้แก่ พระยาเม็งราย สร้างเมืองเชียงรายเมื่อ พ.ศ.1305 และสร้างเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 1839 ล้วนมีความสัมพันธ์ต่อกัน

ข้อมูลที่น่าสนใจ คือเมื่อ พ.ศ. 1797 จอมจักรพรรดิกุบไลข่าน ได้ยกทัพตีอาณาจักรน่านเจ้า (ของไทย) ย่อยยับ ชนชาตินั้นได้แตกร่นลงมาจนสามารถรวบรวมผู้คนจัดตั้งอาณาจักรสุโขทัย ใน พ.ศ. 1800 ได้นั้น ใช้เวลาเพียง 3 ปี (ซึ่งมีข้อที่ไม่น่าเชื่อ นอกจากชนชาติไทยนั้นจะมีการอพยพเข้ามาอยู่บริเวณพื้นที่นั้นเป็นเวลานานแล้ว)

อาณาจักรมอญ (สมัยพุทธกาล – พุทธศตวรรษที่ 22)
อาณาจักรของชนชาติมอญโบราณนั้น เดิมมีอาณาเขตครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของอาณาจักรสุวรรณภูมิมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมืองสำคัญที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีได้แก่เมือง สะเทิม เมืองแปร เมืองทาทอง (Thaton) และเมืองพะโค(Pegu หรือหงสาวดี)
อาณาจักรมอญโบราณนั้นเดิมมีเมืองใหญ่อยู่ที่ เมืองละโว้หรือลพบุรี (ก่อน พ.ศ. 1630)และเมืองหริภุญชัยหรือลำพูน ครั้งหนึ่ง มะกะโท ชาวมอญได้เข้ามาอยู่ที่เมืองสุโขทัยและพาพระธิดาหนีบกลับไปสร้างอาณาจักรมอญ กษัตริย์สุโขทัยได้พระราชทานนามว่า พระเจ้าฟ้ารั่ว สำหรับ กษัตริย์ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรมอญนั้น คือพระเจ้าราชาธราราช ครองราชย์ที่เมืองพะโค (เมืองหงสาวดี) ระหว่างพ.ศ. 1928 - 1966

ดูจะมิใช่ขอม(ขมุ) แต่เป็นมอญ ที่ครองดินแดนนี้มาเนิ่นนาน เพราะ ที่ว่าขอมน่ะ คือ พราหมณ์จากอินเดีย

ค่ะ ปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอู่ทองเรียกว่า พระบรมราชวงศ์เชียงราย เพราะบรรพบุรุษแรกเริ่มอยู่ทางเหนือก่อน

"เป็นไง copy & paste ได้เหมือนไหม 555 "




โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 14 เมษายน 2559 เวลา:6:18:03 น.  

 
มินตรา ..

ส่วนตัวผมนับความเป็นสยามเพียงแค่อยุธยาเป็นต้นมาเท่านั้นเอง .. และข้อมูลที่น่าเชื่อถือสำหรับผมคือ วิกิพีเดีย ..

แต่หากจะย้อนไปถึงอาณาจักรสุวรรณภูมิแล้ว .. คงไม่สามารถเรียกได้ว่านั่นเป็น"ชาวสยาม" อย่างแน่นอน ..

ผมเข้าใจว่าที่ยกมาคงเป็นข้อมูลของที่ใดที่หนึ่งที่หาเอาตามเวปนี่เอง ..

ช่วงเวลาของอาณาจักรในแถบลุ่มน้ำอิรวดี เจ้าพระยา โขง ตามที่วิกิพีเดีย ทำลำดับไว้น่าจะชัดเจนถูกต้องมากที่สุดแล้ว .. ตามนี้ครับ





โดย: สดายุ... วันที่: 14 เมษายน 2559 เวลา:9:07:45 น.  

 

...

จะเห็นว่าแค่อาณาจักร "โยนกนาคพันธ์ุ" ที่มินตรายกมา ..
ว่าตั้งขึ้นราว พศ.1500 นั้น .. ของที่ยกมาจากวิกิพีเดียต่างกันมากคือตั้งขึ้นราว พศ.638 (และสิ้นสุดลงราว พศ.1088) ช่วงเวลาการก่อตั้งต่างกันร่วมพันปี

นี่คือพิษสงของการ copy & paste ล่ะ 555


โดย: สดายุ... วันที่: 14 เมษายน 2559 เวลา:9:15:45 น.  

 
สดายุ...

เวลามินตรา ต้องการรู้ประวัติศาสตร์ไทย ก็จะ ศึกษา ราชวงศ์ที่ปกครองประเทศ

ราชวงศ์ อู่ทอง :ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มี ละโว้ ลพบุรี ศรีเทพ ( จังหวัดเพชรบูรณ์)
ราชวงศ์ สุพรรณภูมิ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มี สุพรรณบุรี อู่ทอง
ราชวงศ์พระร่วง เหนือตอนล่าง มี สุโขทัย ศรีสัชนาลัย พิษณุโลก
ราชวงศ์ ศรีธรรมโศกราช ภาคใต้ มี นครศรีธรรมราช เมืองสิบสองนักษัตริย์

ซึ่งต้นประวัติศาสตร์ ไทย ทางเหนือ .. ตั้งแต่เด็กต้องอ่านพงศาวดารลาวเฉียง(พงศาวดารโยนก) ของพระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) เป็นหลัก
เมืองแห่งแรกของชนชาติไทย :โยนกนาคพันธุ์-หิรัญนครเงินยาง
"พญาสิงหนวัติได้สถาปนาเมืองโยนกนาคพันธุสิงหนวัตินครขึ้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ดินแดนที่ราบในเมืองเชียงราย ใน พ.ศ. 1117โดยทำการแย่งชิงดินแดนมาจากพวกที่มีอิทธิพลอยู่ก่อนคือ พวกขอมดำหรือกล๋อม" (วีคิพีเดีย)

เรื่องปีของ อาณาจักร โยนกนาคพันธุ์ ที่สดายุ ว่ามานั้น ทราบแต่ว่า คนทางเหนือจะนับ พุทธศักราชเป็นมหาศักราชแบบพม่า
การแปลงมหาศักราช เป็นพุทธศักราช ให้นำ 621 บวกปีมหาศักราชนั้น จะได้ปีพุทธศักราช

ในหนังสือมหาราชวงษ์ (พงษาวดารพม่า) ซึ่งแปลแลเรียบเรียงโดยนายพลโทเซอร์อาเธอร์ กล่าวด้วยการที่มาของไทยชาน มาจากมัชฌิมประเทศ
"ชานคือสยามมาแต่ภาษาเดิมในมัชฌิมประเทศ ลงมาในทิศตวันออกเฉียงใต้ ประดิษฐานตามน่านน้ำ พรหมาบุตรา เอราวดี แม่โขง แม่น้ำ เปนปฐม แล้วได้กล่าวต่อไปถึงเรื่องพงษาวดารชานเมืองมณีปูระ ว่าด้วยพวกไทยชานได้เข้ามาตั้งอยู่ในถิ่นประเทศภุกามบัดนี้แต่ก่อนคฤศตศักราช มีมหานครชื่อเมืองหลวง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซวยเวเล (สุวรรณวารี)
ชาติไทยได้แผ่อาณาเขตรลงมาทางปลายน้ำของ, สาลวิล อิราวดี พรหมาบุตรา ดุจดังชาวอาริย แผ่ลงมาทางปลายน้ำสินธุในมัชฌิมประเทศนั้น ลงมาตั้งประเทศ"เลาชัว" คือลาวหลวงพระบาง แล้วแผ่มา"ยุนชาง " ฤา"ยวนเชียง "คือลาวเฉียง แล"ไปอี " ไทยใหญ่ "

หรือ บันทึกของ นักประวัติศาสตร์ไทยทางโบราณคดี เช่น
- ศาสตราจารย์มานิต วัลลิโภดม กองโบราณคดี กรมศิลปากร
- น. ณ ปากน้ำ นักโบราณคดี
- รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ซึ่งได้ศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีในแหล่งอารยธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นบุคคลแรกที่สรุปความเห็นเกี่ยว อาณาจักรทวารวดีเอกเทศในแอ่งอารยธรรมอีสานเหนือไว้อย่างคมคามว่า“อาณาจักรสยาม-ศรีโคตลบูร”
จนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในปัจจุบันเริ่มมีความเชื่อกันมาขึ้นว่า สมัยปลายพุทธศตวรรษที่ 11 ชนชาติสยามได้แผ่อิทธิพลทางศิลปวัฒนธรรมจากดินแดนทางตอนใต้ขึ้นไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไปถึงเมืองเวียงจันทร์ หลวงพระบางในประเทศลาว ขับไล่อำนาจกัมพูชาถอยกลับไป รวมบ้านเมืองสองฟากฝั่งเป็นผืนปฐพีเดียวกัน

- บันทึก ของนักเดินเรือที่เข้ามาค้าขายบนเส้นทางสายไหม (silk road) เช่น เปอร์เซีย สเปน ฮอลันดา ฝรั่งเศส และอังกฤษ

ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ซึ่งแจงถึงวัฒนธรรมที่ไหลจากอินเดียมาบนเส้นทางการค้าสายไหม ชัดเจน :
- เสถียร โพธินันทะ ซึ่ง องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ยอมรับ
- ศาสตราจารย์หม่อง ทิน อ่อง นักประวัติศาสตร์พม่า ซึ่งน่ารักมาก บอกว่า
ศิลปวัฒนธรรมอินเดียซึ่งหลั่งไหลเข้าไปยังแหลมมลายูและดินแดนทางตอนใต้ของประเทศพม่า แล้วผสมผสานกับศิลปะค่านิยมของชาวพื้นเมือง เป็น
“ศิลปวัฒนธรรมทวารวดี” ต่อมาได้ถ่ายเทขึ้นไปในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เป็นนัยความหมายคล้ายบอกว่า ศิลปะวัฒนธรรมมอญ ในทางกลับกัน ชนชาติมอญอาจได้รับอิทธิพลศิลปวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองของชนชาติสยาม
โดยยก ศิลาจารึกเมืองศรีจนาศะ อาณาจักรโบราณเก่าแก่ในอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมา อาจเป็นหลักฐานสนับสนุนความเห็น

- จดหมายเหตุของหลวงจีนยวน-ฉ่างและหลวงจีนอี้-จิง :
( หลวงจีนอี้-จิง ซึ่งลงเรือสำเภาเปอร์เซียจากเมืองกว้างตุ้ง ออกเดินทางเมื่อเดือน 11 (ธันวาคม) พ.ศ. 1214) ตลอดจนภาพวาดรูปราชทูตของ“ประเทศหลั่ง-ยะ-สู” เมื่อครั้งเดินทางไปเจริญทางไมตรี จิตรกรประจำราชสำนักได้วาดไว้ เป็นภาพวาดการแต่งกายของราชทูตประเทศสยามทั้งชายและหญิงที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศจีนในรัชการจักรพรรดิเฉิน-หลงแห่งราชวงศ์ชิง เมื่อ พ.ศ. 2305 ตรงกับสมัยปลายอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ จักรพรรดิจีนทรงมีรับสั่งให้จิตรกรประจำราชสำนักชื่อ “เชียะ-สุย ” เขียนภาพเหมือนไว้พร้อมทั้งจารึกประวัติย่อของประเทศสยาม

วีคิพีเดียในเยอรมันนั้น ห้ามนำไปอ้างอิงในระดับมหาวิทยาลัย เพราะ มิใช่ความรู้ต้นฉบับ ( Secondary Literature) ฉะนั้น ผู้ที่จะใช้ อ้างอิงต้องมี"ฐานความรู้ "
มากพอที่จะตรวจสอบก่อนใช้




โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 14 เมษายน 2559 เวลา:18:05:54 น.  

 
มินตรา ..

เรื่องราวในอดีต เราทุกคนต่างต้องอ่านจากตำราที่เขียนไว้ .. ข้อมูลในอดีตนั้นเมื่อมีการค้นพบหลักฐานใหม่ที่น่าเชื่อถือกว่า ก็จะถูกยกเลิกไป

บีบประเด็นให้แคบเข้ามาถึงตรงที่ผมเห็นแย้งความเห็นของ"ลาลูแบร์"ที่มินตรายกมา .. ที่ว่า

"ประเทศเดียวใน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ มีอารยธรรม คือ ประเทศ สยาม"

ประการที่ 1
ลาลูแบร์หากพูดเช่นนั้นจริง แสดงว่าไม่สามารถเข้าใจคำว่า "สยาม" ได้ถูกต้องแน่นอน

สุวรรณภูมิ มิใช่ สยาม
แต่สยาม เป็นส่วนหนึ่งของสุวรรณภูมิ

4 ราชวงศ์ที่มินตรายกมา .. รวมทั้งพื้นที่ที่ระบุนั้น เห็นตรงกัน
............
1. ราชวงศ์ อู่ทอง :ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มี ละโว้ ลพบุรี ศรีเทพ ( จังหวัดเพชรบูรณ์)
2. ราชวงศ์ สุพรรณภูมิ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มี สุพรรณบุรี อู่ทอง
3. ราชวงศ์พระร่วง เหนือตอนล่าง มี สุโขทัย ศรีสัชนาลัย พิษณุโลก
4. ราชวงศ์ ศรีธรรมโศกราช ภาคใต้ มี นครศรีธรรมราช เมืองสิบสองนักษัตริย์
............

แต่นี่คือที่ของ "สนมทั้งสี่ทิศ" คือราชวงศ์และสกุลวงศ์ฝ่ายหญิงที่ร่วมค้ำจุนบัลลังก์กษัตริย์อยุธยาอยู่ .. คือ

สตรีสูงศักดิ์จากราชวงศ์อู่ทอง หรือ ราชวงศ์ละโว้อโยธยา มีตำแหน่ง "ศรีสุดาจันทน์"

สตรีสูงศักดิ์จากราชวงศ์สุพรรณภูมิ มีตำแหน่ง "อินทรสุเรนทร์" และวงศ์นี้เองที่เรียกว่า "สยาม"

สตรีสูงศักดิ์จากราชวงศ์สุโขทัย มีตำแหน่ง "ศรีจุฬาลักษณ์" เป็นเครือญาติกับวงศ์สุพรรณภูมิ

สตรีสูงศักดิ์จากสกุลวงศ์นครศรีธรรมราช มีตำแน่ง "อินทรเทวี" วงศ์นี้ไม่เคยเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา

ส่วนราชวงศ์ที่ปกครองอยุธยานั้นมี 5 ราชวงศ์ฝ่ายชายคือ ..
1.อู่ทอง
2.สุพรรณภูมิ
3.สุโขทัย
4.ปราสาททอง
5.บ้านพลูหลวง

ราชวงศ์สุพรรณภูมิเท่านั้นที่เราเรียกว่า พวก"สยาม"
คือพื้นที่ที่คนพูดภาษาเมืองหลวงเดิมในยุคอยุธยา (พวกพูดเสียงเหน่อ) .. มี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี นครปฐม รวมทั้งสมุทรสงคราม สมุทรสาคร บางส่วน (ไม่นับสมุทรปราการ)

ภาษาสุพรรณ คือภาษาเมืองหลวงในยุคอยุธยาช่วงต้น-กลาง .. เช่นเดียวกับ ภาษากรุงเทพ ที่เป็นภาษาเมืองหลวงในปัจจุบัน

พวกฝั่งขวา หรือ ฝั่งตะวันออกของเจ้าพระยา ไม่เรียก สยาม

ผมจึงคิดว่า คนต่างชาติในสมัยนั้นเรียกแผ่นดินสุวรรภูมิโดยรวมว่าสยาม โดยเข้าใจผิด .. เพราะราชวงศ์สุพรรณบุรี นั้น ครองอำนาจยาวนานที่สุดในยุคกรุงศรีอยุธยา ..

การเกิดขึ้นมาของกรุงศรีอยุธยา เกิดจากคน 2 กลุ่มรวมตัวกันคือ กลุ่มสยาม(สุพรรณบุรี) และ กลุ่มละโว้อโยธยา(ลพบุรี ญาติกับพวกขอมในกัมพูชา) และมีอำนาจอยู่ในช่วง พศ.1893-2310

แต่หากสืบสาวกันให้จริงแท้แล้ว วงศ์ฝ่ายชายเองมีแค่ 3 ราวงศ์เท่านั้น คือ อู่ทอง สุพรรณบุรี สุโขทัย

เพราะราชวงศ์ปราสาททองนั้น .. สืบสายมาจากราชวงศ์สุโขทัย .. จมื่นศรีสรลักษณ์เป็นลูกนอกสมรส ของพระเอกาทศรถ กับ หญิงชาวบ้านตอนเสด็จประพาสชนบท

และราชวงศ์บ้านพลูหลวงนั้น ก็สืบสายมาจากราชวงศ์ปราสาททองอีกทีหนึ่ง โดยเฉพาะพระเจ้าเสือ หรือขุนหลวงสรศักดิ์

และ ศาสนาพุทธมาตั้งมั่นในยุคที่พระเจ้าอโศกส่งสมณทูตทั้ง 9 สายออกมา .. พระโสณะ มาสุวรรณภูมิ ในพศ.300 .. ยุคนั้นจะมีอาณาใดอยู่ในแผ่นดินแถบนี้ ..
ก็คือแผ่นดินสุวรรณภูมิ (หมายถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยรวม มิใช่เฉพาะไทยในแผ่นที่ปัจจุบัน)


โดย: สดายุ... วันที่: 15 เมษายน 2559 เวลา:9:42:17 น.  

 

...

เมื่อยกประเด็นชู้สาว กรณีศรีสุดาจันทน์กับพันบุตรศรีเทพ "ผู้เฝ้าหอพระ" ออก .. แล้วมองในบริบทการเมือง

นั่นคือการพยายามพลิกฟื้นอำนาจของราชวงศ์ละโว้อโยธยา ขึ้นมาใหม่ ภายหลังการตายอย่างมีเงื่อนงำของพระไชยราชา กษัตริย์ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สวามีของศรีสุดาจันทน์ ..

เพราะตำแหน่ง"ผู้เฝ้าหอพระ" ต้องเป็น พราหมณ์ เท่านั้น .. รวมทั้งนาม "ศรีเทพ"(จังหวัดเพชรบูรณ์) ในแผ่นดินเครือข่ายของต้นวงศ์


โดย: สดายุ... วันที่: 15 เมษายน 2559 เวลา:10:10:00 น.  

 
สดายุ

โวลแตร์ ( "Voltaire "François-Marie Arouet 1694 - 1778) นะคะ ที่พูด มิใช่ ลาลูแบร์ (Simon de La Loubère; 1642 – 1729 ) ผู้ที่เป็นราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส เดินทางมาประเทศไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
แต่ โวลแตร์ นี่รับราชการเป็นนักวิชาการในราชวงศ์ปรัสเซีย ไครเซอร์เยอรมัน ผู้ที่ปกครองยุโรปฝั่งตะวันตกหมดตั้งแต่เหนือจรดใต้ จึงเป็นแหล่งรวมวิชาการ และความเป็นไปของโลกในศตวรรษที่18
ในขณะอังกฤษที่คนไทยชื่นชมเป็นเพียงเกาะ เท่านั้น แล้วราชวงศ์ที่ปกครองอังกฤษก็เป็นราชวงศ์จากเยอรมัน ทำการค้าด้วยพ่อค้าเยอรมัน จะศึกษาประวัติศาสตร์ ต้องดูถึงราก แล้วจะทราบว่า ขลุ่ย หรือบ้องกัญชา น่ะกินได้ !

ถูกต้องค่ะ "สยามมิใช่ สุวรรณภูมิ "เพราะ เป็นแผ่นดินที่มีคนหลายเชื้อชาติเดินทางมารวมกันบนเส้นทางการค้า "สายไหม" จากยุโรป ถึงจีนญี่ปุ่น จึงเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรม ศาสนา ด้วย
ที่ต้องการเรียนให้ทราบคือ ขอมมิใช่ เจ้าของดินแดนแบบที่สดายุพูด และหากจะนับว่า "ชาวพื้นเมืองดั้งเดิม" เป็นขอมนั้น ก็มิใช่อีก
" เมื่อก่อนชนชาติไทยยังมิได้อพยพมานั้น ถิ่นประเทศข้างทิศใต้นี้ เปนที่อยู่แห่งชนชาติทรวิฬฤาทรวิเดียนเนื่องเปนอันเดียว กันกับชาวฮินดูข้างทิศใต้ (พังคละ) ซึ่งชาวฮินดูข้างเหนือย่อมเรียกว่าแทตย อสุร ยักษ์ รากษษ...
พวกจีนเรียก กุ้ย ก้อ กวย แกว กาว แปลว่ายักษ์ฤาผี แลเรียกพวกชาติป่าเขาอิกเหล่าหนึ่ง ว่าแม้ว, หม่อย, เมง, เมือง, แมน, ..... .....มิใช่ สยาม
พวกอาริยฤาไทยผู้อพยพลงมาจากทิศเหนือ ย่อมถือว่าพวกเดิมนี้เปนพวกดำ คือพวกที่มีการงานหยาบ แลมีกำเนิดจากสัตว แลต้นไม้มีชาติต่ำ จึงได้เรียกประเทศนี้ว่าประเทศดำฤามืด......คำว่า ไทย ไท ไต ตรงกับคำว่า ทยุ เทวะ เทวตะ แปลว่า สว่าง ขาวส่วนฟ้าพระอาทิตย์ ในภาษาสังสกฤตเรียกพระอาทิตย์ว่าทยุแลเรียกพวกอาริยว่าทยุด้วย " ( พงศาวดารลาวเฉียง โดย พระยาประชากิจกรจักร -แช่ม บุนนาค)

" 5 ราชวงศ์ฝ่ายชาย" ที่ สดายุ เอ่ยมานั้น... ราชวงศ์เองมิได้แบ่ง ...ผู้ที่แบ่งคือ "นักประวัติศาสตร์รุ่น ที่ไม่เคยรู้จักตัวตนของชนชั้นปกครองเลย" ต่างหาก มานั่งยกพระเจ้าตากให้เป็นลูกเจ๊กลูกจีน ทั้งที่ ผิวท่านคล้ำออกอย่างนั้น...เถียงไป ก็ตอบมาว่า จีนดำไง 555
...ตัวเองไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ก็เลยคิดว่า คนอื่นเสมือนตน !

นี่เป็นผลมาจากการที่ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชน รู้จักหาความรู้ มีการศึกษา(มีได้ก็แค่ปริญญา ! )
จึงต้องมานั่งปวดศรีษะกับ ทฤษฎีอาจารย์นิธิว่าด้วยเรื่อง ร.๑ ฆ่าพระเจ้าตาก 555
ทำเอาอาจารย์นิธิโด่งดังพอพอกับ โพรเฟสเซอร์ เซเด ชาวฝรั่งเศส ว่าด้วย ทฤษฎี เทือกเขาอัลไต !

การที่"ต่างชาติ"เรียกสุวรรณภูมิว่า สยาม นั้น...เพราะคนต่างชาติมีวิธีและทฤษฎีในการ ศึกษาหาความรู้ ไงคะ เช่น ชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยทำวิทยานิพนธ์ ปริญญาเอกเกี่ยวกับสยาม...ก็ตามเรื่องไม่ถูกเพราะ หลักฐานทางเราจะเป็นเชิงนิยายมากไปหน่อย เนื่องจาก ผู้คนมีรากฐานมาจาก "ความเชื่อที่เคารพผี" อยู่ จึงเลี่ยงไปศึกษา ประวัติตระกูลบุนนาคแทน เพราะ ตระกูลนับพ่อนับแม่ได้ ว่าเป็นใครมาจากไหนทำงานอะไร...มาติดก็ตรง ตำแหน่งหลวง ที่จะใช้ชื่อซ้ำซ้ำกัน...ซึ่งการศึกษาประวัติศาสตร์เยี่ยงนี้ จะมีความแม่นยำกว่า สามารถตรวจเอกสารที่ติดต่อระหว่างประเทศได้ จากการเจริญสัมพันธไมตรีกับ ราชวงศ์ฝรั่งเศส ราชวงศ์อังกฤษ และราชวงศ์ จีน บริษัทการค้าฮอนแลนด์ วันวลิต ลาลูแบร์ หมอแกมเฟอร์ ( Engelbert Kaempfer 1651-1716) แกมเฟอร์ได้บรรยายว่า “ในบรรดาชาติผิวคล้ำแห่งเอเชียทั้งหลาย สยามเป็นราชอาณาจักรอันเกรียงไกรยิ่งใหญ่ที่สุดและราชสำนักนั้นเล่าก็วิจิตรมโหฬารหาที่เสมอเหมือน
“รอบๆ กรุงมีตำบลและหมู่บ้านมากด้วยกัน และอยู่กันในเรือลอยมากกว่าบ้าน โยกไปย้ายมาจอดอาศัยอยู่ที่โน่นบ้างที่นี้บ้าง ส่วนบ้านเรือนในหมู่บ้าน ซึ่งปลูกอยู่บนบกนั้นตามปกติสร้างด้วยไม้ไผ่ ตามริมฝั่งแม่น้ำ ปลูกบนเสาสูง เพื่อมิให้น้ำท่วมถึง”

เรื่องขุนวรวงศานั้น "นับญาติไม่ถูก" ก็เลยไม่มีความรู้เลยค่ะ
เห็นไหมว่าฝรั่งโง่ขนาดไหนที่ไม่รู้ว่า ขนมปังน่ะเค้าต้องจิ้มแจ่วกิน แล้วสาวไทยน่ะเค้าขายบริการทางเพศทั้งนั้น นอกจากคนที่ไม่สวยอย่างมินตราเท่านั้น ที่ ต้องศึกษาหาความรู้เลี้ยงตัวเอง ไม่มีใครทำมาหาเลี้ยงให้ 555 กลายเป็น "หนึ่งในล้าน" มานั่ง ปุจฉาวิสัชนา อยู่กับสดายุ


โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 15 เมษายน 2559 เวลา:14:00:27 น.  

 
มินตรา ..

ดีจริงที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน

ขออภัยที่พิมพ์ผิด ใช่ โวลแตร์ .. ชื่อนี้ไม่ค่อยเข้ามาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยุธยาเท่า ลาลูแบร์ .. แต่ไปทางปรัชญาการปกครองมากกว่า

ส่วนตัวผมสนใจแค่ประวัติศาสตร์อยุธยา และ เผ่าพันธุ์อารยันที่เป็นผลพวงมาจากพุทธศาสนาเป็นหลัก

สุโขทัย ไม่ถือเป็นอาณาจักรในความหมายเดียวกับอยุธยา เป็นแค่แว่นแคว้น ระดับ ล้านนา เท่านั้นเอง

และการพยายามจัดลำดับ สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี กรุงเทพ พวกนี้ น่าจะเริ่มเอาช่วง ร.4-5 นี่เอง คือก่อนหน้านั้นไม่มี

ทีนี้เรื่องขอมในดินแดนเขมร มาสัมพันธ์กับไทยยุคเริ่มประวัติศาสตร์ของไทยทำนองเดียวกับมอญ .. คือเราปลดปล่อยตัวเองจากขอมและเริ่มต้นนับ 1 ความเป็นไทย แม้จะยังไม่เต็มรูปแบบอาณาจักรนักในยุคสุโขทัย .. พร้อมๆ กับเรื่องราวของมะกะโทที่ครอบครองดินแดนมอญ และสัมพันธ์กับเจ้าหญิงจากสุโขทัย

ผมไม่คิดว่าอารยธรรมเริ่มต้นมาจากพวกสยาม ..
แต่มาจากอารยันยุคพระเวท ผ่านมาทางอารกันของพม่าด้านติดกับบังคลาเทศทางหนึ่ง และข้ามทะเลมาที่ดินแดนเขมรส่วนหนึ่ง

เนื่องจากศาสนา ปรัชญา เป็นส่วนสำคัญในการรับเอาอารยธรรมมาใช้ .. จึงทั้งๆที่จีน ใกล้ไทยกว่าอินเดีย แต่เพราะศาสนาเราจึงรับเอาอารยธรรมอินเดียมามากกว่าจีน ซึ่งยังรับเอาปรัชญา ศาสนาไปจากอินเดียอีกทอดหนึ่งด้วยซ้ำ

อีกประการ .. ข้อมูลที่บันทึกไว้ของชาวต่างชาติมีประเด็นที่ต้องพิจารณาด้วยว่า "เข้าใจขนบธรรมเนียมไทย" ได้ถูกต้องแค่ไหน

ในความเป็นคนต่างชาตินั้นมักบันทึกอย่างตรงไปตรงมาแต่ด้วย"ความเข้าใจของตน"

ทีนี้ความเข้าใจของตนจะมาจากไหน ?
ก็มาจากการพูดคุย ซักถามคนในในยุคนั้นๆที่เขามีปฏิสัมพันธ์อยู่ด้วย .. ดังนั้นบันทึกของทั้ง วันวลิต ลาลูแบร์ หรือ แกมเฟอร์ก็ดี ก้ต้องมาพิจารณาเปรียบเทียบกับที่เราบันทึกไว้ด้วย ..

พงศาวดารฉบับคำให้การชาวกรุงเก่า รวมทั้งฉบับคำให้การขุนหลวงหาวัด นั้นนักประวัติศาสตร์จัดให้เป็นหลักฐานชั้นรอง ..

ขณะที่พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ ที่เขียนในยุคพระนารายณ์ กลับได้รับการยอมรับเป็นหลักฐานหลัก .. แต่รายละเอียดปลีกย่อยไม่มีเลย

อย่างที่แกมเฟอร์เขียนไว้ คนนี้มีชีวิตอยู่ในยุค พศ.2154-2259 .. อันคร่อมยุคพระนารายณ์ พศ.2175-2231 ..

"ในบรรดาชาติผิวคล้ำแห่งเอเชียทั้งหลาย สยามเป็นราชอาณาจักรอันเกรียงไกรยิ่งใหญ่ที่สุดและราชสำนักนั้นเล่าก็วิจิตรมโหฬารหาที่เสมอเหมือน"

ทำไมถึงเขียนแบบนั้น ?

เพราะยุคพระนารายณ์เป็นยุคบ้านเมืองดี ไม่มีศึกพม่าหลังยุคพระนเรศ พระเอกาทศรถ แล้วว่างศึกยาวนาน การค้าขายคึกคัก คบต่างชาติ ส่งทูตไปฝรั่งเศส เกิดในยุคนี้ทั้งสิ้น นายคนนี้จึงเห็นภาพนั้น ..

ผมไม่แปลกใจหากฝรั่งสักคนจะเข้าใจเช่นนั้น
เพราะคงเห็นพระราชวังหลวงโบราณสวยงามใหญ่โตอย่างที่ พระราชวังของกรุงเทพเทียบไม่ได้อย่างในรูป




ส่วนรูปนี้ผมไม่คิดว่าเป็นอารยธรรมที่น่าภุมิใจอะไร




โดย: สดายุ... วันที่: 15 เมษายน 2559 เวลา:15:22:49 น.  

 


อีกเรื่อง ..

การเขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุคปลายกรุงธนบุรี ไม่มีความหมายอะไร หากแผ่นดินนี้ยังมีกฎหมายมาตรา 112 บังคับใช้อยู่ ..

เพราะไม่มีใครสามารถกระทำ"วิภาษวิธี (อังกฤษ: dialectic)" ทางวิชาการกันอย่างเปิดเผย และอย่างมีอิสระได้

ซึ่งสิ่งที่มินตราเยาะเย้ย อ.นิธิ นั้น ก็เป็นท่วงทำนองเดียวกับการชวน debate เรื่องที่ลงลึกไปในของขอบข่ายของมาตรา 112 ที่ฝ่าย"โต้แย้ง" ย่อมเหมือนถูกมัดมือชก โดยฝ่าย"เห็นด้วย" ..

ความเสมอภาคในการให้เหตุผลแจกแจงมันไม่มีในประเด็นแบบนี้



โดย: สดายุ... วันที่: 15 เมษายน 2559 เวลา:15:36:43 น.  

 
ดายุ...

เห็นไหมว่าผู้ที่มิใช่มีอาชีพเป็นนักประวัติศาสตร์ แต่ต้องการศึกษาความเป็นมาของชาติไทย สามารถไปดูเรื่อง
๑. ประวัติศาสตร์การเดินเรือ.. อธิบายเส้นทางการเดินเรือติดต่อค้าขายระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออกที่
..เริ่มต้นจากเมืองอเล็กซานเดรียในประเทศอียิปต์
..ไปสิ้นสุดปลายทางที่เมืองกวางตุ้งทางภาคใต้ของประเทศจีน
..ผ่านประเทศอาหรับ เปอร์เซีย อินเดียและดินแดนคาบสมุทรทางภาคใต้ของประเทศไทย
รู้จักกันมานานแล้วตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ(นี่เป็นชื่อที่นานาชาติเรียกเรา) ดังปรากฏเรื่องราวอยู่ในนิทานชาดกของชาวอินเดียและจดหมายเหตุโบราณ ตลอดจน
หนังสือภูมิศาสตร์ของ“คลอดิอุ ปโตเลมี” (CLAUDIUS PTOLEMAEUS) ค.ศ. 90 – 168)
ศึกษาประวัติ ตระกูลบุนนาค ซึ่งเป็นเปอร์เซีย อารยันขนานแท้และดั้งเดิม 555

๒.ประวัติศาสตร์อาณาจักรน่านเจ้า.. กล่าวถึงรากฐานการก่อกำเนิดชนชาติไท-ไต ดังปรากฏอยู่ในตำนานพงศาวดารการเมืองแถง ตำนานพงศาวดารล้านช้าง และตำนานพงศาวดารเหนือมีหลักฐานน่าเชื่อได้ว่าพัฒนาการรุ่งเรืองขึ้นภายใต้“วัฒนธรรมสยาม-ทวารวดี”
ประวัติ สกุล ณ บางช้าง จะ"นับญาติ" ไปได้ถึง กษัตริย์ราชวงศ์หารยังกะ แห่งแคว้นมคธในอินเดียโบราณ ก่อนจะมาเป็น พระเจ้าสิงหนวัติ

๓.สมัยอาณาจักรตามพรลิงค์..เป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองอยู่ในคาบสมุทรทางภาคใต้บ้านเมืองปลายแดนรอยต่อระหว่างจักรวรรดิสยามกับจักรวรรดิจีน
แม้ว่าชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่ถูกจีนครอบงำและพยายามบีบบังคับให้ยอมรับวัฒนธรรมจีน แต่ไม่เป็นผล ชนชาวพื้นเมืองเหล่านั้นกลับยึดมั่นเลื่อมใสวัฒนธรรมสยาม-ทวารวดีโดยไม่เสื่อมคลาย ผ่านกระบวนการความเชื่อแบบผสมผสานเกี่ยวกับ..การถือแถน ควบคู่กับ พระพุทธเจ้า
ตรงนี้ต้องศึกษาเรื่องเพชรบุรี จะได้แหล่งพราหมณ์ทั้งตับ รวมทั้งแหล่ง "น้ำพิพัฒน์สัตยา"
ปราณบุรี : พระปุณณเถระ เป็นพุทธะอรหันต์ องค์แรกของไทย(นี่ความรู้สมัยอยู่มัธยม ต้องเรียน"ปุณณสูตร")
นครศรีธรรมราช(ตามพรลิงค์): ตระกูล ณ นคร , ณ บางช้าง(บรรพสตรี) ,บุนนาค, "นับญาติ"กันได้ทั้งตับ

ล้วนแต่อธิบายให้เห็นถึงสายวัฒนธรรมที่เดินทางทวนกระแสน้ำจากใต้ขึ้นไปมีอิทธิพลทางเหนืออย่างชัดเจน
กรุงละโว้หรืออาณาจักรลพบุรี ซึ่ง จดหมายเหตุจีน สมัยราชวงศ์สุย
เรียกว่า“หลัว-ฮู่” หรือ “หลอ-ฮก” ที่เคยรวมอยู่กับ “รัฐฉ้วน” หรือ“รัฐเสียม”เป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองและ ศิลปวัฒนธรรมอยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มีความสัมพันธ์แผ่ขยายเครือข่ายขึ้นไปปลูกฝังศิลปวัฒนธรรมทวารวดีไว้ในดินแดนภาคเหนือจริงเพราะร่องรอยโบราณสถาน ศิลปโบราณวัตถุสมัยทวารวดี ยังปรากฏให้เห็นมาจนถึงปัจจุบัน
และตอบคำถามการแพร่กระจายศิลปวัฒนธรรมทวารวดีไปเกือบทั่วคาบสมุทรอินโดจีน โดยอาศัยหลักฐานความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศจีน และจดหมายเหตุของราชทูต เสียง-จุ่น เป็นเครื่องมือนำทางอ้างอิง ประกอบการพิจารณาหลักฐานด้านโบราณคดี
มองเห็น ..พัฒนาการเคลื่อนไหวของชนชาติเผ่าพันธุ์สำคัญในคาบสมุทรอินโดจีน..
ที่ร่วมกันปรุงแต่งดัดแปลงอารยธรรมอินเดียให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น มีศักยภาพในการสร้างประวัติศาสตร์ของตนเองตลอดมา มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
การแผ่ขยายอำนาจเข้าควบคุมประเทศหมู่เกาะ บริเวณเส้นศูนย์สูตร และใต้เส้นศูนย์สูตร เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพขึ้นเหนือภาคพื้นน้ำอันไพศาล ให้รวมอยู่ในจักรวรรดิเดียวกัน เป็นผลสำเร็จมาตั้งแต่ พ.ศ. 1225

หลักฐานประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มีอยู่เฉพาะเรื่องราวในคาบสมุทรทางภาคใต้และประเทศหมู่เกาะ วิวัฒนาการของอาณาจักรทวารวดี หรืออาณาจักรลพบุรี ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจสำคัญแห่งหนึ่งในคาบสมุทรอินโดจีน

นี่ต่างหากคือสาเหตุที่ มินตราไม่เคารพ ผู้ที่เรียกตนเองว่าเป็นนักประวัติศาสตร์ เพราะ ประกาศตน ไม่สนใจเรื่อง ดินแดนทางใต้ ตามชายฝั่งทะเล แล้วจะรู้ได้ไงว่ากองทัพจากที่ไหน ช่วยพระเจ้าตากกู้ชาติ
ด้วยเหตุฉะนั้น จึงเป็นที่มาของ "ทฤษฎีร.๑ ฆ่า พระเจ้าตาก"ฉะนี้
ไม่ต้องอ้างมาตราไหนให้ขุ่นเคืองใจกันไปเลย !




โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 16 เมษายน 2559 เวลา:3:25:16 น.  

 
มินตรา ..

นอกประเด็นครับ
ประเด็นของผมคือ "สยาม" ไม่ใช่แหล่งอารยธรรมตามที่โวลแตร์ระบุ (หากมีภาษาฝรั่งเศสต้นแหล่งข้อมูลอ้างอิงก็จะดีมากครับ)

ส่วนที่เขียนมานั้น ..

1. ประวัติศาสตร์ก่อนสมัยอยุธยาเก่าเกินไป .. ไม่ได้อยู่ในความสนใจของผม ..

2. ข้อมูลที่มินตราใช้อ้างอิง อาจเป็นข้อมูลเฉพาะที่ไม่สามารถหาอ่านได้ตามแหล่งข้อมูลทั่วไป จึงตรวจสอบยาก

ยิ่งเรื่อง "พระปุณณเถระ เป็นพุทธะอรหันต์ องค์แรกของไทย" นี่ยิ่งแล้วใหญ่ ..

เอาอะไรมาระบุว่า พระปุณณเถระ หากมีอยู่จริง เป็นพระอรหันต์ ครับ ?




โดย: สดายุ... วันที่: 16 เมษายน 2559 เวลา:8:21:43 น.  

 
"พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรชื่อว่าปุณณะ เป็น
บัณฑิต กล่าวคำจริง กล่าวธรรมสมควรแก่ธรรม มิได้ลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรชื่อว่าปุณณะปรินิพพานแล้ว ฯ

ปุณณสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ //www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=18&A=1444&Z=1548


โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 18 เมษายน 2559 เวลา:3:29:34 น.  

 

สมัยพุทธกาล ไทยอยู่ไหนครับ ?

มหาชนบท 16 แคว้น



โดย: สดายุ... วันที่: 18 เมษายน 2559 เวลา:6:40:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.