Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
25 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
เที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์ ยลอาคารอนุรักษ์ มรดกเก่าไม่มีวันตาย

โดย : หนุ่มลูกทุ่ง



     ขึ้นชื่อว่าอะไรเก่าๆ หลายคนก็คงนึกถึงสิ่งของในสภาพหักพัก ฝุ่นจับเขรอะ รอวันบุบสลายพังทลายไปตามกาลเวลา แต่ของเก่าบางอย่างยิ่งเก่าก็ยิ่งมีคุณค่า ใครๆก็อยากอนุรักษ์เอาไว้ให้อยู่ได้นานที่สุด

อย่าง 'อาคารอนุรักษ์' หรืออาคารเก่าที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม ก็มีคนเห็นความสำคัญเข้ามาบูรณะและอนุรักษ์อาคารเหล่านี้ไว้ โดยหน่วยงานเข้ามาส่งเสริมก็คือ 'สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์' ที่ได้มีการมอบรางวัลด้านการอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่นมาตั้งแต่ พ.ศ.2525 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเป็นองค์ประธานการมอบรางวัลอย่างต่อเนื่องทุกปี

     อาคารอนุรักษ์นั้นก็มีอยู่หลายแห่งทั่วประเทศ สำหรับในกรุงเทพฯนั้นก็มีอยู่หลายอาคารกระจายอยู่ทั่วกรุง เอาเป็นว่าวันนี้เรามาเดินชมอาคารอนุรักษ์กันในเกาะรัตนโกสินทร์กันก่อนดีกว่า เริ่มจาก 'กระทรวงกลาโหม' ริมถนนสนามชัย โดดเด่นด้วยปืนใหญ่โบราณนับสิบกระบอกที่วางตั้งไว้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งด้านหน้าตึกกระทรวง

     บริเวณที่เป็นกระทรวงกลาโหมปัจจุบันนั้น แต่เดิมเคยเป็นที่ตั้งของวังที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นจิตรภักดี กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ และกรมหมื่นอินทราพิพิธ ซึ่งสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แต่ต่อมาวังได้ร้างลง และถูกใช้เป็นฉางเก็บข้าวหลวง ดังนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ก่อสร้างเป็น 'โรงทหารหน้า' เป็นที่รวมทหารประจำการรักษาพระนคร อาวุธ สัตว์ พาหนะ และเสบียงอาหาร ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น 'กระทรวงกลาโหม' อย่างในปัจจุบัน

     กระทรวงกลาโหมในปัจจุบันดูสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปทาสีเหลืองนวล ด้านหน้าเป็นหน้าจั่วทรงโรมัน ตกแต่งด้วยปูนปั้น ที่มุขชั้นสองมีระเบียงกว้าง และเสาแบบโรมัน ด้านหน้าของเสาระเบียงใหญ่ประดับด้วยสัญลักษณ์ของสามเหล่าทัพ คือ กงจักร สมอ และปีกอยู่บนพื้นรูปสี่เหลี่ยมสีทอง

     เดินมาทางด้านหลังกระทรวงกลาโหม ไม่ไกลกันนัก เป็นที่ตั้งของ 'วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม' พระอารามหลวงประจำรัชกาลที่ 4 ซึ่งพระวิหารของวัดราชประดิษฐ์ฯ นั้นมีขนาดกะทัดรัด แต่ก็มีดีจนได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นด้วยเช่นกัน โดยวัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ตัวพระวิหารประดับด้วยหินอ่อนสีเทาจากประเทศจีน เครื่องบนเป็นไม้แกะสลักปิดทอง หน้าบันก็เป็นไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก

เมื่อเข้ามาภายในพระวิหาร ก็ไม่ควรพลาดที่จะกราบ 'พระพุทธสิหังคปฏิมากร' พระพุทธรูปปางสมาธิที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างจำลองขึ้นจากพระพุทธสิหิงค์ และไม่ควรพลาดชมจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของขรัวอินโข่ง ที่วาดเป็นรูปพระราชพิธีสิบสองเดือน อีกทั้งยังมีรูปจำลองเหตุการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปดูสุริยุปราคาอีกด้วย

     ย้อนกลับมาที่ถนนหน้าพระลานกันบ้าง มาแวะที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ “หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร” ซึ่งเป็นท้องพระโรงเก่าของวังท่าพระ ซึ่งเป็นวังที่รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างและพระราชทานให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิตเป็นที่ประทับ อีกทั้งวังแห่งนี้ก็ยังเคยใช้เป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 3 เมื่อยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ จนเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้พระราชทานวังท่าพระนี้ให้แก่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งเป็นเจ้าของวังพระองค์สุดท้าย

     ส่วนหนึ่งของวังท่าพระ ได้แก่ ท้องพระโรง ตำหนักกลาง และตำหนักพรรณราย ปัจจุบันกลายมาเป็นหอศิลป์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร ส่วนของท้องพระโรงนั้นมีลักษณะเป็นทรงไทยเดิม แต่ตำหนักกลางและตำหนักพรรณรายนั้นเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ชมงานศิลปะไป ก็อย่าลืมชมงานสถาปัตยกรรมเก่าแก่นี้ไปด้วย

เดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร มาแวะที่หัวมุมถนนใกล้ทางเข้าท่าเรือท่าช้าง นักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ไปมาอยู่หน้า 'ธนาคารนครหลวง สาขาท่าพระจันทร์' ชื่อบอกว่าอยู่ที่ท่าพระจันทร์แต่ตัวกลับตั้งอยู่ที่ท่าช้าง?!? มีจุดสังเกตได้ง่ายเพราะอาคารหลังนี้หน้าตาดีโดดเด่นกว่าตึกแถวในละแวกใกล้เคียง

     อาคารหลังที่ว่านี้เป็นอาคารพาณิชย์เก่าแก่ สร้างมาแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นอาคาร 2 ชั้น เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิค ด้านหน้าอาคารชั้นบนทำเป็นระเบียง 3 ระเบียง ระเบียงกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น ผนังอาคารเซาะร่องเป็นแนว ชั้นล่างแต่งด้วยเสาดอริกและเสาแบบโครินเธียนในชั้นสอง ผู้อำนวยการก่อสร้างคือ เจ้าหมื่นศรีสรลักษณ์ (เล็ก) ส่วนสถาปนิกผู้ออกแบบนั้นไม่ปรากฏชื่อ และในปัจจุบัน ธนาคารนครหลวงก็ได้เช่าอาคารแห่งนี้เปิดเป็นที่ทำการ เป็นธนาคารที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

     ไหนๆ ก็มาถึงท่าช้างแล้ว ฉันขอพาออกนอกเส้นทางเกาะรัตนโกสินทร์ข้ามเรือข้ามฟากไปยังวัดระฆังโฆษิตาราม เพราะที่นี่เขามีอาคารอนุรักษ์อีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือที่ 'หอพระไตรปิฎก' ของวัดระฆังฯ ซึ่งก่อนที่จะมาเป็นหอไตรนั้น เดิมเคยเป็น 'ตำหนักจันทน์' หรือพระตำหนักของรัชกาลที่ 1 ตั้งแต่สมัยที่ยังทรงมีตำแหน่งเป็นพระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกฝ่ายขวา แต่เมื่อพระองค์ต้องเสด็จไปตีเมืองโคราชจึงได้รื้อตำหนักนั้นมาถวายวัดระฆัง หรือวัดบางหว้าใหญ่ในขณะนั้น

หอไตรแห่งนี้เป็นตำหนักไม้แฝด 3 หลัง ซุ้มประตูตรงนอกชานซึ่งแกะสลักเป็นลายดอกไม้ ส่วนบานประตูของหอกลางแกะเป็นลวดลายนกวายุภักษ์และลายกนกเครือเถา หอพระไตรปิฏกนี้ได้มีการซ่อมแซมครั้งใหญ่เมื่อคราวฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี หากอยากรู้ว่าสวยงามอย่างไรก็ต้องลองไปชมกันดู

     ข้ามกลับมาที่เกาะรัตนโกสินทร์กันอีกครั้ง ไปที่ 'พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์' หรือหอศิลป์เจ้าฟ้า เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ซึ่งได้รางวัลอนุรักษ์ดีเด่นด้วยเช่นกัน โดยอาคารที่เป็นหอศิลป์ในปัจจุบันนั้น เดิมเคยเป็นโรงกษาปณ์สิทธิการ หรือโรงกษาปณ์เก่าที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระองค์ทรงมีพระราชดำริให้สร้างโรงกษาปณ์สำหรับผลิตเงินเหรียญขึ้นใช้เองภายในประเทศ โดยอาคารของโรงกษาปณ์นี้เป็นศิลปะแบบตะวันตก สร้างตามแบบโรงงานเครื่องจักรที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ

     จากหอศิลป์เจ้าฟ้า เดินเลี้ยวเข้ามาในถนนพระอาทิตย์ มาชมความงดงามของอาคารทรงเสน่ห์ อย่าง 'บ้านพระอาทิตย์' กันบ้าง

อาคารหลังนี้อาจจะเชียร์กันออกนอกหน้าไปบ้างเพราะเป็นที่ตั้งของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการบ้านที่ฉันเขียนคอลัมน์อยู่นี่เอง ที่บริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่ในเขตของพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า ต่อมาที่ดินนี้ตกทอดมาสู่เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (ม.ร.ว.หม่อมราชวงศ์ เย็น อิศรเสนา) เสนาบดีกระทรวงวังในสมัยรัชกาลที่ 7 โดยอาคารที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้สร้างขึ้นมาใหม่เนื่องจากวังเดิมชำรุดทรุดโทรมไปมาก

วังที่เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ได้สร้างขึ้นมาใหม่นั้น เป็นตึก 2 ชั้นยกพื้นสูงหลังคามุงกระเบื้องว่าว มียอดโดมทรงสูงโดดเด่น ประดับชายคาด้วยลวดลายไม้ฉลุสวยงาม บ้านพระอาทิตย์แห่งนี้ยังเคยเป็นที่ตั้งของสถาบันเกอเธ่ (สถาบันวัฒนธรรมไทย-เยอรมัน) ก่อนที่จะมาเป็นที่ทำการของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการอย่างในปัจจุบัน

     จากถนนพระอาทิตย์ เดินไปบางลำพูใกล้กันนิดเดียว แวะที่วัดบวรนิเวศวิหาร ชม 'ตำหนักเพชร' ตำหนักที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ตรงกับสมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ตำหนักหลังนี้มีความสำคัญตรงที่ใช้เป็นสถานที่ประชุมมหาเถรสมาคม อีกทั้งยังเคยใช้เป็นที่ประชุมคณะธรรมยุติวินิจฉัยกรณีพิพาทระหว่างพระมหานิกายและธรรมยุติมาแล้วด้วย โดยเป็นพระตำหนักปั้นหยานั้นมีความโดดเด่นตรงที่รูปทรงของตึกนั้นเป็นแบบฝรั่ง แต่มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเป็นแบบไทยสอดแทรกอยู่ งดงามไม่น้อยเลยทีเดียว

     เดินมาตามถนนพระสุเมรุหน้าวัดบวรฯ มาจนถึงสะพานผ่านฟ้า เดินข้ามถนนราชดำเนินมานิดเดียวก็ถึงวัดเทพธิดารามแล้ว ฉันพามาปิดท้ายเส้นทางชมอาคารอนุรักษ์ในเกาะรัตนโกสินทร์กันที่ 'กุฏิสุนทรภู่' ในวัดเทพธิดาราม เนื่องจากสุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เคยมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดารามแห่งนี้ ทางวัดจึงได้อนุรักษ์กุฏิที่ท่านเคยจำพรรษาไว้ โดยกุฎินี้เป็นเรือนไทยหมู่ชั้นเดียว ยกพื้นสูง ปูพื้นไม้กระดาน หลังคาทำจากกระเบื้องดินเผา เป็นอาคารเก่ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แต่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมเรื่อยมา ตัวกุฏิของสุนทรภู่นั้นอยู่เรือนหลังซ้ายของหมู่กุฏิ และได้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก จัดแสดงสิ่งของร่วมสมัยสุนทรภู่ เช่น บาตรพระ จาน ชาม เชี่ยนหมาก ตู้พระไตรปิฎก เป็นต้น

     ไม่เพียงแต่ในเกาะรัตนโกสินทร์เท่านั้นที่มีอาคารอนุรักษ์สวยๆงามๆ แต่ยังมีอาคารอีกหลายแห่งในกรุงเทพฯที่มีความน่าสนใจและความงดงามไม่แพ้กัน ฉันจึงขออนุญาตยกยอดไปเขียนถึงต่อในตอนหน้าอีกหนึ่งตอนก็แล้วกัน


ขอขอบคุณ
ที่มา :
ผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2551

H O M E







Create Date : 25 กรกฎาคม 2551
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 22:09:52 น. 0 comments
Counter : 7131 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.