กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
กันยายน 2568
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
space
space
28 กันยายน 2568
space
space
space

โสไจย เครื่องชำระตัวให้สะอาด
     ในที่นี้  จะแสดงตัวอย่างการกระจายความหมายขององค์มรรคขั้นศีลเหล่านี้  ออกไปเป็นหลักความประพฤติที่บังเกิดผลในทางปฏิบัติ  หลักความประพฤติที่นำมาแสดงเป็นตัวอย่างนี้ เป็นหลักที่กระจายความหมายออกไปโดยตรง  มีหัวข้อตรงกับในองค์มรรคทุกข้อ  เป็นแต่เรียงลำดับฝ่ายกายกรรม  (ตรงกับสัมมากัมมันตะ)  ก่อนฝ่ายวจีกรรม  (ตรงกับสัมมาวาจา) และเรียกชื่อว่ากุศลกรรมบถบ้าง  สุจริตบ้าง  ความสะอาดทางกาย วาจา (และใจ) บ้าง  สมบัติแห่งกัมมันตะ บ้าง ฯลฯ  มีเรื่องตัวอย่าง  ดังนี้


     เมื่อพระพุทธเจ้าประทับ ณ เมืองปาวา ในป่ามะม่วงของนายจุนทะกัมมารบุตร นายจุนทะมาเฝ้า ได้สนทนาเรื่องโสไจยกรรม นายจุนทะทูลว่า เขานับถือบัญญัติพิธีชำระตัวตามแบบของพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ สวมพวงมาลัย สาหร่าย บูชาไฟ ถือปฏิบัติการลงน้ำ

     บัญญัติของพราหมณ์พวกนี้มีว่า แต่เช้าตรู่ทุกวัน เมื่อลุกขึ้นจากที่นอน จะต้องเอามือลูบแผ่นดิน ถ้าไม่ลูบแผ่นดิน ต้องลูบมูลโค หรือลูบหญ้าเขียว หรือบำเรอไฟ หรือยกมือไหว้พระอาทิตย์ หรือมิฉะนั้นก็ต้องลงน้ำให้ครบ ๓ ครั้ง ในตอนเย็น อย่างใดอย่างหนึ่ง*

     พระพุทธเจ้าตรัสว่า บัญญัติเรื่องการชำระตัวให้สะอาดของพวกพราหมณ์นี้ เป็นอย่างหนึ่ง ส่วนการชำระตัวให้สะอาดในอริยวินัย เป็นอีกอย่างหนึ่ง หาเหมือนกันไม่ แล้วตรัสว่า คนที่ประกอบ อกุศลกรรมบถ ๑๐ (ปาณาติบาต อทินนาทาน ฯลฯ ที่ตรงข้ามกับกุศลกรรมบถ ๑๐) ชื่อว่า มีความไม่สะอาดทางกาย ทางวาจา ทางใจ คนเช่นนี้ ลุกขึ้นเช้า จะลูบแผ่นดิน หรือจะไม่ลูบ จะลูบโคมัย หรือไม่ลูบ จะบูชาไฟ จะไหว้พระอาทิตย์หรือไม่ทำ ก็ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง เพราะอกุศลกรรมบถเป็นสิ่งทั้งไม่สะอาด ทั้งเป็นตัวการทำให้ไม่สะอาด


     แล้วตรัส กุศลกรรมบถ ๑๐ ที่เป็น โสไจย คือ เครื่องชำระตัวให้สะอาด ดังต่อไปนี้

     ก. โสไจย ทางกาย ๓  ได้แก่  การที่บุคคลบางคน

     ๑)  "ละปาณาติบาต เว้นขาดจากการตัดรอนชีวิต วางทัณฑะ วางศัตรา มีความละอายใจ กอปรด้วยเมตตา ใฝ่ใจช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ปวงสัตว์โลก"

     ๒)  "ละอทินนาทาน เว้นจากการถือเอาสิ่งที่เขามิได้ให้ ไม่ยึดถือทรัพย์สินอุปกรณ์อย่างใดๆ ของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นของที่อยู่ในบ้าน หรือในป่า ซึ่งเขามิได้ให้ อย่างเป็นขโมย"

     ๓)  "ละกาเมสุมิจฉาจาร เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ไม่ล่วงละเมิดในสตรี เช่น อย่างที่มารดารักษา ผู้ที่บิดารักษา ผู้ที่พี่น้องชายรักษา ผู้ที่พี่น้องหญิงรักษา ผู้ที่ญาติรักษา ผู้ที่ธรรมรักษา (เช่นกฎหมายคุ้มครอง) หญิงมีสามี หญิงหวงห้ามโดยที่สุดแม้หญิงที่หมั้นแล้ว"


     ข. โสไจย ทางวาจา ๔  ได้แก่  การที่บุคคลบางคน

     ๑)  "ละมุสาวาท  เว้นขาดจากการพูดเท็จ เมื่ออยู่ในสภาก็ดี อยู่ในที่ประชุมก็ดี อยู่ท่ามกลางญาติก็ดี อยู่ท่ามกลางชุมนุมก็ดี อยู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี ถูกเขาอ้างตัวซักถามเป็นพยานว่า เชิญเถิดท่าน ท่านรู้สิ่งใดจงพูดสิ่งนั้น เมื่อไม่รู้ เขาก็กล่าวว่า ไม่รู้ เมื่อไม่เห็น ก็กล่าวว่า ไม่เห็น เมื่อรู้ ก็กล่าวว่า รู้ เมื่อเห็นก็กล่าวว่า เห็น ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้ ไม่ว่าเพราะเหตุแห่งตนเอง หรือเพราะเหตุแห่งคนอื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสใดๆ"

     ๒)  "ละปิสุณาวาจา  เว้นขาดจากวาจาส่อเสียด  ไม่เป็นคนที่ฟังความข้างนี้ แล้วเอาไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายคนฝ่ายนี้ หรือฟังความข้างโน้น แล้วเอามาบอกข้างนี้ เพื่อทำลายคนฝ่ายโน้น เป็นผู้สมานคนที่แตกราวกัน  ส่งเสริมคนที่สมัครสมานกัน  ชอบสามัคคี  ยินดีในสามัคคี พอใจในความสามัคคี  ชอบกล่าวถ้อยคำที่ทำให้คนสามัคคีกัน"

     ๓)  "ละผรุสวาจา  เว้นขาดจากวาจาหยาบ  กล่าวแต่ถ้อยคำชนิดที่ไม่มีโทษ รื่นหู น่ารัก จับใจ สุภาพ เป็นที่พอใจของพหูชน  เป็นที่ชื่นชมของพหูชน"

     ๔)  "ละสัมผัปปลาปะ  เว้นขาดจากพูดเพ้อเจ้อ  พูดถูกกาล  พูดคำจริง  พูดเป็นอรรถ พูดเป็นธรรม พูดเป็นวินัย กล่าววาจาเป็นหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีกำหนดขอบเขต ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร"


     ค. โสไจย ทางใจ ๓  ได้แก่   อนภิชฌา  อพยาบาท  และสัมมาทิฏฐิ  

     (สำหรับ โสไจยทางใจ ๓ ข้อนี้  เป็นความหมายที่ขยายจากองค์มรรค ๒ ข้อ แรก คือ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ  ในระดับโลกีย์ ซึ่งมีคำอธิบายข้างต้นแล้ว  จึงไม่คัดมาไว้ในที่นี้)

     "บุคคลผู้ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ ถึงตอนเข้าตรู่ ลุกขึ้นจากที่นอน จะมาลูบแผ่นดิน ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง ถึงจะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง ฯลฯ ถึงจะยกมือไหว้พระอาทิตย์ ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง ถึงจะไม่ยกมือไหว้พระอาทิตย์ ก็เป็นผู้สะอาดอยู่นั่นเอง ... เพราะว่า  กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ เป็นของสะอาดเองด้วย เป็นเครื่องทำให้สะอาดด้วย..."  (องฺ.ทสก.24/165/283 ฯลฯ)


     ที่ว่าความหมาย  ซึ่งขยายออกไปในรูปประยุกต์  อาจแตกต่างกันตามความเหมาะสมกับกรณีนั้น  ขอยกตัวอย่าง  เช่น  เมื่อกล่าวถึงบรรพชิต คือบุคคลที่ออกบวชแล้ว นอกจากศีลบางข้อจะเปลี่ยนไป และมีศีลเพิ่มใหม่อีกแล้ว  แม้ศีลข้อที่คงเดิมบางข้อ  ก็มีความหมายส่วนที่ขยายออกไปต่างจากเดิม

     ขอให้สังเกตข้อเว้นอทินนาทาน และเว้นมุสาวาทต่อไปนี้  เทียบกับความหมายในกุศลกรรมบถข้างต้น

        "ละอทินนาทาน  เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้  ถือเอาแต่ของที่เขาให้ หวังแต่ของที่เขาให้  มีตนไม่เป็นขโมย  เป็นผู้สะอาดอยู่"

        "ละมุสาวาท ... กล่าวแต่คำสัตย์  ธำรงสัจจะ ซื่อตรง เชื่อถือได้ ไม่ลวงโลก"  (ที.สี.9/3-4/5ฯลฯ)

     มีข้อสังเกตสำคัญในตอนนี้อย่างหนึ่ง คือ ความหมายท่อนขยายขององค์มรรคขั้นศีลเหล่านี้ แต่ละข้อตามปรกติแยกได้เป็นข้อละ ๒ ตอน

     -  ตอนต้น  กล่าวถึงการละเว้นไม่ทำความชั่ว

     -  ตอนหลัง  กล่าวถึงการทำความดี ที่ตรงข้ามกับความชั่วที่งดเว้นแล้วนั้น

     พูดสั้นๆว่า  ตอนต้นใช้คำปฏิเสธ  ตอนหลังใช้คำส่งเสริม หรือมีลบแล้ว ตามด้วยบวก

     เรื่องนี้  เป็นลักษณะทั่วไปอย่างหนึ่ง ของคำสอนในพระพุทธศาสนา ที่มักใช้คำสอนควบคู่ทั้งคำปฏิเสธ (negative) และคำสนับสนุน (positive) ไปพร้อมๆกัน ตามหลัก "เว้นชั่ว บำเพ็ญดี"

     เมื่อถือการเว้นชั่วเป็นจุดเริ่มต้นแล้ว ก็ขยายความภาคบำเพ็ญดีออกได้เรื่อยไป ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะเท่าที่ขยายเป็นตัวอย่างในองค์มรรคเหล่านี้เท่านั้น ตัวอย่างเช่น ข้อเว้นอทินนาทาน ในที่นี้ยังไม่ได้ขยายความในภาคบำเพ็ญดีออกมาเป็นการปฏิบัติ แต่ได้มีคำสอนเรื่องทานเป็นหลักธรรมใหญ่ที่ย้ำเน้นเด่นชัดที่สุดเรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนา ดังที่ปรากฏอยู่แล้ว ดังนี้ เป็นต้น



465 จบตอน: ศีล  ในความหมายที่เป็นหลักกลาง อันพึงถือเป็นหลักความประพฤติพื้นฐาน  


86

* พึงสังเกตว่า  การถือสีลัพพตปรามาสอย่างเหนียวแน่นแบบนี้  มีแพร่หลายในอินเดียแต่โบราณก่อนพุทธกาล จนถึงปัจจุบันก็มิได้ลดน้อยลงเลย  การล้มล้างความเชื่อถือเหล่านี้  เป็นจุดมุ่งที่เด่นชัดที่สุดอย่างหนึ่ง ในการบำเพ็ญพุทธกิจของพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับการหักล้างเรื่องวรรณะ และการดึงคนจากปัญหาทางอภิปรัชญา  กลับมาหาปัญหาชีวิตจริง  การถือสีลัพพตปรามาสเหล่านี้ กลับรุนแรงยิ่งขึ้น  พร้อมกับการเสื่อมลงของพระพุทธศาสนา และเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของความเสื่อมนั้นด้วย  น่าจะกล่าวได้ว่าการถือสีลัพพตปรามาสเจริญขึ้นเมื่อใด ในที่ใด ความเสื่อมแห่งตัวแท้ของพระพุทธศาสนาก็ปรากฏขึ้นเมื่อนั้น ณ ที่นั้น และน่าจะกล่าวได้ด้วยว่า การถือติดแน่นในสีลัพพตปรามาส เป็นสาเหตุสำคัญให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงรุนแรง ที่เรียกว่า การปฏิวัติทางสังคม


  โสไจยกรรม   พิธีชำระตนให้บริสุทธิ์

  อนภิชฌา    ไม่คิดจ้องเอาของคนอื่น

  อพยาบาท   ไม่คิดร้ายใคร  ตั้งใจเมตตาปรารถนาดีให้ทุกคนอยู่ดีมีความสุข 

  สัมมาทิฏฐิ    มีความเห็นถูกต้องตามคลองธรรม


 


Create Date : 28 กันยายน 2568
Last Update : 29 กันยายน 2568 9:45:35 น. 0 comments
Counter : 224 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณhaiku


ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

BlogGang Popular Award#21


 
สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space