กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
ตุลาคม 2568
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
space
space
8 ตุลาคม 2568
space
space
space

องค์มรรคสามัคคี ต่อ
     สมาธิที่ประกอบด้วยบริขารนี้แล้ว เรียกว่า เป็นอริยสัมมาสมาธิ นำไปสู่จุดหมายได้ ดังบาลีว่า

        "สมาธิบริขาร ๗ ประการเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ทรงจัดวางไว้เป็นอย่างดีแล้ว เพื่ออบรมบ่มสัมมาสมาธิ เพื่อความบริบูรณ์แห่งสัมมาสมาธิ เจ็ดประการไหน ? ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ

        "เอกัคคตาแห่งจิต ที่แวดล้อมด้วยองค์ ๗ เหล่านี้ เรียกว่า สัมมาสมาธิที่เป็นอริยะ ซึ่งมีอุปนิสัย (มีที่อิงที่ยันที่รองรับ) บ้าง มีบริขาร (มีเครื่องประกอบหรือเครื่องช่วยหนุน) บ้าง"

        "เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาสังกัปปะจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณจึงพอแก่การ เมื่อมีสัมมาญาณ สัมมาวิมุตติจึงพอแก่การ" *

     มรรคมีองค์ ๘ หรืออัฏฐังคิกมรรคนี้  เมื่อเจริญพรั่งพร้อมถึงที่ ก็จะถึงขีด และถึงขณะหนึ่ง ซึ่งองค์มรรคทั้งหมดร่วมกันทำหน้าที่  ให้เกิดญาณอันแรงกล้าสว่างขึ้นมา  หยั่งเห็นสัจธรรม และกำจัดกวาดล้างกิเลสที่หุ้มห่อบีบคั้นจิตออกไป  การที่องค์มรรคทั้งหมดทำหน้าที่พร้อมกันเช่นนี้ เรียกว่าเป็น "มรรค" เพราะเป็นขณะซึ่งมีองค์ประกอบทั้งหมดครบเป็นมรรคจริงๆ

     เมื่อมรรคทำหน้าที่แล้ว ก็มีภาวะที่เป็นผลตามมา คือความรู้ความเข้าใจในสัจธรรม และความหลุดพ้นจากกิเลส ไร้สิ่งบีบคั้น เป็นอิสระ เรียกสั้นๆว่า "ผล"

     ถ้าทุกอย่างค่อยดำเนินไปตามลำดับ จะมีการทำหน้าที่ของมรรคเช่นนี้ ที่แรงหรือเบ็ดเสร็จยิ่งขึ้น จนเสร็จสิ้นรวมทั้งหมด ๔ คราว หรือ ๔ ขั้น จึงเรียกว่ามรรค ๔ และภาวะที่เป็นผลก็จึงมี ๔ เช่นเดียวกัน รวมเรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ หรืออริยมรรค ๔ อริยผล ๔ คือ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล

     จะเห็นว่า มรรคนี้ ว่าโดยองค์ประกอบมี ๘ จึงเรียกว่า อัฏฐังคิกมรรค แปลว่า มรรคมีองค์ ๘

     แต่ว่าโดยปฏิบัติการ หรือการทำกิจ มี ๔ ลำดับขั้น เรียกกันว่า จตุมรรค แปลว่า มรรค ๔ * (คู่กับจตุผล คือ ผล ๔)

     อาการที่องค์ธรรมทั้งหลายทำหน้าที่พร้อมกัน ในขณะจิตเดียว ยังผลที่ต้องการให้สำเร็จนี้ ท่านเรียกว่า ธรรมสามัคคี * และธรรมสามัคคี ก็คือ โพธิ อันได้แก่ ความตรัสรู้  (ม.อ.1/115ฯลฯ)

     ในขณะแห่งมรรคนี้ มิใช่เฉพาะองค์ธรรมเพียง ๘ เท่านั้น แม้โพธิปักขิยธรรมทั้ง ๓๗ ประการก็เกิดขึ้นทำหน้าที่พร้อมหมดในขณะจิตเดียวกัน *

     อย่างไรก็ตาม โพธิปักขิยธรรมทั้งหมดนั้น  ก็สรุปลงได้ในองค์มรรคทั้ง นั่นเอง * ดังนั้น เมื่อพูดถึงมรรค ก็จึงเป็นอันครอบคลุมถึงธรรมอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

     อาจมีผู้สงสัยว่า องค์มรรคหลายอย่าง จะทำหน้าที่ในขณะหนึ่งขณะเดียวกันได้อย่างไร โดยเฉพาะองค์ฝ่ายศีล เช่น สัมมาวาจา และสัมมากัมมันตะ ดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องในกรณีอย่างนี้เลย

(มีต่อ)

86

ที.ม. ๑๐/๒๐๖/๒๔๘; องฺ.สตฺตก. ๒๓/๔๒/๔๒; กล่าวถึงเฉพาะตัวสมาธิบริขาร ที่ ที.ปา. ๑๑/๓๒๘/๒๖๔; ใน ม.มู. ๑๒/๕๐๘/๕๕๐ กล่าวเฉพาะสมาธิบริขารตัวที่ใกล้ชิดที่สุด คือสัมมาวายามะอย่างเดียว; ส่วนคัมภีร์เนตติปกรณ์ (เนตฺติ.๑๒๕) จัดเอากายที่ผ่อนคลายสงบไม่เครียดหรือไม่กระสับกระส่ายว่าเป็นสมาธิบริขาร; อนึ่ง คำว่า พอแก่การ แปลจาก ปโหติ จะแปลว่า  “จึงพอเหมาะได้” ก็ได้.

คำเรียกรวมที่ใส่จำนวนเข้าด้วยเป็น จตุมรรค (จตุมคฺค) นี้ เกิดขึ้นในชั้นอรรถกถา และตามปกติ มาในรูปที่สมาสกับคำอื่น ดู สํ.อ.๑/๒๔๑; ฯลฯ

* คำว่า ธรรมสามัคคี เท่าที่พบมีใช้ครั้งแรกใน ขุ.ม. ๒๙/๒๑๑/๑๕๙; ที่ใช้ในสมัยต่อมา เช่น นิทฺ.อ.๑/๗๙; วิภงฺค.อ.๔๐๓; น่าสังเกตว่ามักมีการเอาคำว่าธรรมสามัคคีไปสับสนกับคำว่ามัคคสมังคี ซึ่งหมายถึงบุคคลผู้ประกอบพรั่งพร้อมด้วยมรรคขั้นใดขั้นหนึ่งในอริยมรรค ๔ ขั้น เช่น อภิ.ปุ. ๓๖/๑๕๐/๒๓๓; (ที่ ม.อุ. ๑๔/๑๐๙/๙๒ มีธรรมสามัคคี ซึ่งใช้ต่างไปอีกความหมายหนึ่ง)

* ต้นเค้าการอธิบายเรื่ององค์มรรคและองค์ธรรมต่างๆ เกิดในขณะแห่งมรรคขณะจิตเดียว ดู ขุ.ปฏิ. ๓๑/๕๒๗-๕๒๙/๔๑๙-๔๒๔; และในสมัยอรรถกถาเช่น วิสุทฺธิ.๓/๙๗, ๓๓๐; วิภงฺค.อ.๑๕๗, ๔๑๖

โพธิปักขิยธรรม ๓๗ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘, การจัดโพธิปักขิยธรรมเข้าในมรรค ดู วิสุทฺธิ.๓/๙๙-๑๐๐; วิภงฺค.อ.๑๑๔ 

 


Create Date : 08 ตุลาคม 2568
Last Update : 8 ตุลาคม 2568 5:17:12 น. 0 comments
Counter : 147 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณnewyorknurse


ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

BlogGang Popular Award#21


 
สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space