กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
มิถุนายน 2568
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
space
space
6 มิถุนายน 2568
space
space
space

๓.วัตถุประสงค์ของการสอนหลักกรรม
. วัตถุประสงค์ของการสอนหลักกรรม

     ประการต่อไป เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการสอนเรื่องกรรมของพระพุทธเจ้าว่า เดิมทีเดียวที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องกรรมขึ้นมานี้ พระองค์มีวัตถุประสงค์หรือต้องการอะไร มีความมุ่งหมายอย่างไร

     ในการปฏิบัติธรรม สิ่งสำคัญที่สุดอันหนึ่งคือ ต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ ถ้าไม่เข้าใจวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายแล้ว การปฏิบัติธรรมจะไขว้เขวเลื่อนลอย เมื่อเลื่อนลอยไปพักหนึ่งแล้วก็จะเข้าใจผิด ที่เราเข้าใจผิดเรื่องสันโดษเรื่องอุเบกขาอะไรนี่ เพราะว่าโดยมากสอนแต่ความหมาย ทำความเข้าใจแต่ความหมาย แล้วไม่ได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายว่า ในการปฏิบัติธรรมข้อนี้ๆ ท่านมุ่งหมายเพื่ออะไร และเมื่อไม่รู้ความมุ่งหมายแล้ว ความหมายเองก็ไม่ชัดด้วย

     อย่างสันโดษนี่เราปฏิบัติเพื่ออะไร  ถ้าจะซักถามในแง่วัตถุประสงค์ขึ้นมา  บางทีก็ชักอึดอัดกันทีเดียวว่า เอ นี่จะต้องการอะไรแน่  จะปฏิบัติธรรม  ปฏิบัติศีล  เรามักจะศึกษาเฉพาะในแง่ความหมาย แต่ถ้าถามว่า ศีลนี่เราปฏิบัติเพื่ออะไร  บางทีก็ชักงงไม่ชัด  บางทีก็ตอบโพล่งทีเดียว เช่นว่าเพื่อพระนิพพาน  ตอบอย่างนี้คลุมเครือ  ข้ามไปหาวัตถุประสงค์ใหญ่  จริงอยู่วัตถุประสงค์ของพระพุทธศาสนาขั้นสูงสุดเพื่อพระนิพพาน  แต่ว่าไม่ใช่ปฏิบัติศีลอย่างเดียวไปนิพพานได้  มันต้องมีเป็นขั้นเป็นตอน

     เพราะฉะนั้น นอกจากวัตถุประสงค์ใหญ่แล้ว ยังต้องมีวัตถุประสงค์เฉพาะ ว่านี้เพื่ออะไร จะตอบว่าปฏิบัติศีลเพื่อสมาธิหรือเพื่ออะไร ก็ต้องตอบมาให้ชัด สันโดษก็เช่นเดียวกัน กรรมก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราเข้าใจความมุ่งหมายในการสอนในการปฏิบัติ ความหมายของธรรมนั้นก็จะชัดเจนขึ้นด้วย และก็เป็นการปฏิบัติอย่างมีหลักเกณฑ์ ไม่ใช่เลื่อนลอย ไขว้เขว สับสน

. ให้เลิกแบ่งชนชั้นโดยชาติกำเนิด

     ทีนี้ลองมาดูความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนเรื่องกรรม ถ้าศึกษาในแง่นี้จะเห็นว่ามีหลายความมุ่งหมายเหลือเกิน

     พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องกรรมนี้ อย่างแรกก็คือเพื่อขจัดความเชื่อถือและการประพฤติปฏิบัติในสังคมของศาสนาพราหมณ์เดิมเกี่ยวกับเรื่องวรรณะ

     วรรณะคือการแบ่งคนเป็นชั้นต่างๆ ตามชาติกำเนิด ศาสนาพราหมณ์ถือว่าคนเราเกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ก็เป็นกษัตริย์ เป็นลูกพราหมณ์ก็เป็นพราหมณ์ เป็นลูกแพศย์ก็เป็นพ่อค้า เป็นลูกศูทรก็เป็นกรรมกรคนรับใช้ ใครเกิดในวรรณะไหนก็ต้องเป็นคนวรรณะนั้นตลอดไป แล้วแต่ชาติกำเนิด แก้ไขไม่ได้ อันนี้เป็นคำสอนเดิม เขาสอนอย่างนั้น

     ครั้นมาถึงพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเน้นเรื่องกรรมไม่เกี่ยวกับวรรณะว่า คนเรานั้น “น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ” บอกว่า คนเราไม่ได้เป็นคนถ่อยคนต่ำทราม เพราะชาติกำเนิด และก็ไม่ได้เป็นพราหมณ์ คือคนสูงเพราะชาติกำเนิด แต่ “กมฺมุนา วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ” จะเป็นคนทรามก็เพราะกรรม และเป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม

     ในพุทธพจน์นี้ ถ้าเรามองกรรมเป็นกรรมเก่า มันก็เข้าเป็นอันเดียวกับคำสอนเดิมของพราหมณ์ไปเลย เขาก็บอกว่า อ้อ ของท่านก็เหมือนกัน ท่านบอกเพราะกรรม นี่ก็เพราะกรรมเก่าสิจึงเกิดมาเป็นพราหมณ์ เกิดมาเป็นคนถ่อยก็อย่างเดียวกัน คือตามชาติกำเนิดเหมือนกัน แต่ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น กรรมในที่นี้หมายถึงการกระทำ

     ในความหมายหยาบที่สุด การทำกรรมก็หมายถึงอาชีพการงาน อย่างในพุทธพจน์นี้ก็มีขยายต่อไป เช่นตรัสว่า ใครไปทำนาทำไร่คนนั้นก็เป็นชาวนา ไม่ใช่เป็นพราหมณ์ ถ้าคนไหนไปลักขโมยเขา คนนั้นก็เป็นโจร คนไหนไปปกครองบ้านเมือง คนนั้นก็เป็นราชา ดังนี้เป็นต้น นี่พระองค์ขยายความเรื่องกรรม

     หมายความว่า การกระทำอาชีพการงานกิจการที่ประกอบกันอยู่นี้ หรือความประพฤติที่เป็นไปอยู่นี้แหละ เป็นหลักเกณฑ์สำคัญที่จะวัดคน พุทธศาสนาไม่ต้องการให้ไปวัดกันด้วยชาติกำเนิด แต่ให้วัดกันด้วยการกระทำความประพฤติที่บุคคลนั้นประกอบและดำเนินไป ตั้งแต่คุณธรรมในจิตใจ

     นี้ก็เป็นแง่หนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นมาก ถ้าเราอ่านในพระไตรปิฎกจะเห็นว่า มีพระสูตรต่างๆ ที่พยายามนำหลักกรรมมาแก้ไขเรื่องการแบ่งชั้นวรรณะโดยชาติกำเนิดนี้มากมาย

. ให้รู้จักพึ่งตนเองและหวังผลสำเร็จด้วยการลงมือทำ

     อีกแง่หนึ่งที่สำคัญก็คือ ความเพียรพยายามในการพึ่งตนเอง และรู้จักแก้ไขปรับปรุงตัว อันนี้เป็นข้อสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงสอนย้ำบ่อยๆ อย่างหลัก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หรืออีกอย่าง ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ ความเพียรท่านทั้งหลายต้องทำเอง อกฺขาตาโร ตถาคตา ตถาคตทั้งหลายเป็นผู้บอก เป็นผู้ชี้ทางให้ ก็เป็นเรื่องที่สอนให้คนเรามีความเพียรพยายามในการกระทำ

     ท่านไม่ให้ไปมัวหวังพึ่งปัจจัยภายนอก เพราะปัจจัยภายนอกนั้นไม่ยั่งยืน และมันไม่อยู่กับตัว จึงไม่แน่นอน และถึงอย่างไรก็ตาม  ในที่สุดตัวเราก็จะต้องทำ  ถ้าจะให้เกิดผลสำเร็จที่แท้จริงแล้ว จะต้องทำจะต้องพึ่งตัวเองให้มากที่สุด

     พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องนี้อยู่เสมอ พยายามให้เราหันมาพึ่งตัวเองให้มากขึ้น ลดความพึ่งปัจจัยภายนอก ตัดความเชื่อถือในเรื่องสิ่งที่จะมาอำนวยผลประโยชน์ของเราโดยทางลัด ให้มันน้อยลงไปๆ อันนี้ก็เป็นแง่หนึ่ง

     พระพุทธเจ้าทรงมีวัตถุประสงค์หลายอย่างในการสอนเรื่องกรรม แต่หลักใหญ่ๆ ก็มีอย่างนี้ ขอยกมาเพียง ๒ อย่างนี้ก่อน

     การทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ที่กล่าวมานี้ จุดสำคัญก็คือต้องการให้เรามีความเพียรพยายามในการที่จะทำความดีและแก้ไขปรับปรุงตนเองขึ้นไป อันนี้แหละเป็นหลักสำคัญมากในพุทธศาสนา ซึ่งต้องถือว่าจุดมุ่งหมายจะบรรลุได้ก็โดยที่ตัวเราต้องทำ ศาสดาครูอาจารย์เป็นเพียงผู้แนะผู้บอกทางให้เท่านั้น  ไม่ใช่ว่าช่วยเราไม่ได้เลย  ท่านจะช่วยแบบที่ว่าส่งเราไปสวรรค์ ส่งเราไปนรก ส่งเราไปนิพพานนั้น  ส่งไปไม่ได้  แต่บอกทางให้ ชี้ทางให้  แนะนำพร่ำสอนกันได้ เป็นกัลยาณมิตรให้  แต่ถึงตอนทำ เราต้องทำ

135

- ท่านไม่ให้ไปมัวหวังพึ่งปัจจัยภายนอก เพราะปัจจัยภายนอกนั้นไม่ยั่งยืนและมันไม่อยู่กับตัว  จึงไม่แน่นอน

227 พอไปกับที่ว่าได้ 

   เมื่อย้อนดูเฟซบุ๊กส่วนตัวของ (พยาบาลสาวที่ถูกฆาตกรรม) โพสต์สุดท้ายของเธอ คือข้อความภาษาอังกฤษ ระบุว่า  "Never search your happiness in others. It will make you feel alone. Search it in yourself and you will feel happy even when left alone."   (อย่าค้นหาความสุขของคุณในคนอื่น เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยว  จงหาความสุขจากตัวคุณเอง  แล้วคุณจะมีความสุขได้แม้ในยามที่อยู่เพียงลำพัง)

135

   จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่ากายหายไป คือ ไม่มีกาย เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า  "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นผมก็สังเกตลมหายใจ ก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้ มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)





 


Create Date : 06 มิถุนายน 2568
Last Update : 6 มิถุนายน 2568 12:38:39 น. 0 comments
Counter : 152 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณชะเอมเถา


ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space