BlogGang.com : : สมาชิกหมายเลข 4239428 : "หลักสมมาตร" แนวใหม่ของการพยากรณ์อากาศ

ตัวอย่าง

กันยายน 2561

						1
2	3	4	5	6	7	8
9	10	11	12	13	14	15
16	17	18	19	20	21	22
23	24	25	26	27	28	29
30

2 กันยายน 2561

"หลักสมมาตร" แนวใหม่ของการพยากรณ์อากาศ

จุดกำเนิดของการพยากรณ่อากาศแบบการหาสัญญาณ มาจากคำบอกเล่าของคนสมัยก่อน ว่าถ้าหากอยากทราบว่าปีไหนฝนจะตกดีหรือไม่ตกดี ให้สังเกตุที่อากาศในหน้าหนาว จากนั้นมาผมก็เริ่มจดบันทึกสภาพดินฟ้าอากาศทุกๆวัน จนมาพบความสมมาตร และได้จับคู่แห่งสัญญาณที่เราได้จากการบันทึกอากาศที่ต่อเนื่อง จนสามารถเป็นหลักสูตรที่สามารถรู้เหตุการในอนาคตได้ 180วันเป็นการคาดหมายดินฟ้าอากาศได้ล่วงหน้า และได้ปฏิวัติกำหนดฤดูการต่างขึ้นมาใหม่

ว่าด้วยการบันทึกมูลอากาศ พอเราสามารถจับคู่ความสมมาตรของฤดูการได้ ต่อไปเราก็เป็นการเก็บข้อมูลอากาศ การเก็บข้อมูลอากาศ แนะนำให้หาเองจากการสังเกตุของเราเอง เพราะเราไม่สามมารถจะหาเครื่องมือตรวจวัดที่ทันสมัยได้ เนื่องจากมีราคาที่สูง และนำติดตัวไปไม่ได้ ไม่เหมือนการใช้ทักษะของเราในการสังเกตุด้วยสัมผัสทั้ง5ของคนเรา เพราะมันจะสามารถ ไปกับเราได้ทุกที่ และมันยังคงใช้ได้ผลมาถึงทุกวันนี้
การบันทึกอากาศ ให้พยายามหาว่า สภาพอากาศที่เกิดขึ้นในวันนั้นๆ มาจากอิทธิพลของมวลอากาศใด
มวลอากาศแบ่งออกเป็น4มวล
1มวลเย็น
3มวลนิ่ง
2มวลร้อน
4มวลซับซ้อน
เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น มวลเย็น เกิดจากที่ดวงอาทิตย์ลงไปตั้งฉากทางตอนใต้ ทำให้ซีกโลกเหนือได้รับแสงน้อย
มันจึงทำให้เกิดการสะสมของความเย็น และมันจึงเกิดมี"มวลเย็น"
มวลเย็นมันก็มีอิทธพล ในฤดูหนาว 4พย.ถึง4กพ.
มวลนิ่ง เกิดจากดวงอาทิตย์มาตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตร ทำให้อากาศเสมอกัน ระหว่าง5กพ.ถึง4พค.และอีช่วงหนึ่งคือ10สค.ถึง6พย.
มวลร้อนก็ตรงกันข้ามกับมวลเย็น คือดวงอาทิตย์มันมาตั้งฉากทางตอนเหนือ จะทำให้ลมจากขั่วโลกใต้พัดเข้ามาทางขั่วโลกเหนือ ที่เรียกกันว่าลมมรสุมตะวันตะเฉียงสำหรับลมในบ้านเรา
มวลซับซ้อนเป็นสภาพอากาศที่แทรกตัวกันเป็นชั้นๆ ซึ่งเราจะสังเกตุด้วยตาเปล่าที่มีลักษณะของเมฆ เป็นเมฆแผ่นหรือเมฆเกล็ดปลา
แต่ที่เราจะนำไปสังเกตุในการบันทึกอากาศเพื่อนำไปใช้ จะแนะนำให้สังเกตุ ลักษณะของเมฆและลมในแต่ละฤดูกาล ว่าจะมีเทคนิคในการมองอย่างไร และจะนำไปใช้อย่างไร ถึงจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้ากับสภาพอากาศที่จะเกิด ในอีก 30 วันหรือในอีก180วันข้างหน้า เมื่อเราทราบมวลอากาศ และช่วงฤดูกาลของมวลอากาศแต่ละชนิดที่มีอิทธิพลกับประเทศไทยของเรา
เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น เราก็ต้องเข้าใจว่ามวลอากาศคือสภาพอากาศที่ต้องใช้พลังงานในการขยายอิทธิพล และมันก็มีการสะสมพลังงาน และการถ่ายเทพลังงานออกไป เป็นจังหวะ เป็นช่วงๆ มวลอากาศที่เราจะนำมาวิเคราะห์ มีแค่2มวล คือความกดอากาศสูงหรือ H และความกดอากาศต่ำหรือ L ส่วนมวลอากาศนิ่ง และมวลอากาศซับซ้อน เป็นแค่มวลอากาศที่เป็นเพียง ลักษณะที่เกิดจากการกระทำของ มวล H และ มวลL มากระทำต่อกันเป็นแบบกลางๆ ซึ่งเป้นมวลอากาศที่ง่ายในการหาคำทำนาย จึงไม่ต้องให้ความสำคัญมากนัก
เราจะมาเน้นเรื่องการให้ความสำคัญกับ มวล HและมวลL เพราะว่ามวลอากาศสองตัวนี้คือตัวขับเคลื่อนให้เกิดสภาพอากาศเกิดขึ้นได้ทุกวัน
มวลอากาศทั้งสองตัวนี้มันจะผลัดกันทำหน้าที่ เช่น เมื่อHมีกำลังแรงในขณะที่Lมีกำลังที่อ่อน คือปกติของมัน เพราะช่วงมวลอากาศ ไม่ว่าจะเป็นHหรือLมันมีอายุไขของมันซึ่งผมเรียกมันว่าจุดศูนย์กลางช่วง หรือมาผมใช้คำว่าโฟกัสแทน จากการที่บันทึกอากาศติดต่ดกันมาหลายปี ทำให้พบโดยบังเอิญว่า โฟกัสของแต่ละมวลอากาศกาศมันมีความสำคัญของปริมาณความรุนแรงของสภาพอากาศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ค้นพบใหม่อีกอย่างหนึ่งที่หลายคนไม่รู้เคยรู้มาก่อน
และตัวนี้เองเป็นคำตอบของโจทน์ที่ว่าทำไมบ้างปีฝนมาก ทำไมบางปีฝนน้อย ทำไมบางปีหนาวมาก ทำไมบางปีหนาวน้อย หรือไม่หนาวเลย
การค้นพบส่วนนี้เป้นคำตอบนั้นทั้งหมด อย่างเช่นปีนี้ผมทำนายไว้ในเว็บบอร์ดของกรมอุตุว่าจะมีหิมะตกลงมากโดยเฉพาะในมหาสมุทรทำให้ลดอุณหภูมิของน้ำทะเลที่กำลังสูงขึ้นได้ และมันก็เป้นจริง
บทต่อไปจะได้กล่าวถึง โฟกัส ว่ามันคือสิ่งใดมีความเป็นมาอย่างใด และเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร เพื่อจะทำให้เราพยากรณ์อากาศได้ รู้ดินฟ้าอากาศล่วงหน้าได้
โฟกัสคืออะไร จากภาพประกอบ ตรงเส้นที่มีเลข0นั้นแหละเรียกว่าจุดโฟกัส เพื่อการเข้าใจที่ง่ายขึ้นการเคลื่อนที่เคลื่อนไหว ของสรรพสิ่งใดก็ตาม มันต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพลังในตัวของมันเอง หรือพลังงานที่ถูกกระทำจากผลกระทบมาจากสิ่งอื่น จุดที่ของสิ่งนั้นเคลื่อนที่ไปแล้วหมดพลังส่งนั้นแหละคือความหมาย ของคำว่าโฟกัสที่นำมาใช้ในที่นี้
ความกดอากาศสูงก็เช่นกัน มันจะมีพลังส่งการเคลื่อนตัว ของมัน จนหมดพลังแล้วค่อยๆอ่อนกำลังลงถอยกลับไป จุดที่มันมาหมดแรงเรียกว่าโฟกัส
โฟกัสของHคือวันที่ที่ความกดอากาศสูงมีกำลังมาสูงสุดก่อนที่จะหมดแรงอ่อนกำลังลงไป
จากการบันทึกข้อมูลอากาศที่ยาวนานมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผมได้สังเกตุเห็น คลื่นโฟกัสเหล่านี้ จนสามารถพบคำตอบที่มาอธิบายเหตุผลที่ว่าทำไม บางปีฝนมากบางปีมีฝนตกน้อย บางปีอากาศหนาว บางปีก็ไม่หนาว
สาเหตุทั้งหมดมันมาจากการค่อยๆเปลี่ยนไปของจุดโฟกัส
ยกตัวอย่าง2557ที่ผ่านมาโฟกัสของHอยู่ที่ 4ค่ำทั้งข้างขึ้นข้างแรมของปฏิทินทางจันทรคติ (เนื่องจากดวงจันทร์มีผลต่อHจึงต่อใช้วันทางจันทรคติมาคำนวณ)
2560 โฟกัสH อยู่ที่ 1 ค่ำ โฟกัสL อยู่ที่ 8ค่ำ
2559 โฟกัสH อยู่ที่ 2 ค่ำ โฟกัสL อยู่ที่ 9ค่ำ
2558 โฟกัสH อยู่ที่ 3 ค่ำ โฟกัสL อยู่ที่ 10ค่ำ
2557 โฟกัสH อยู่ที่ 4 ค่ำ โฟกัสL อยู่ที่ 11ค่ำ
2556 โฟกัสH อยู่ที่ 5 ค่ำ โฟกัสL อยู่ที่ 12ค่ำ
2555 โฟกัสH อยู่ที่ 6 ค่ำ โฟกัสL อยู่ที่ 13ค่ำ
2554 โฟกัสH อยู่ที่ 7 ค่ำ โฟกัสL อยู่ที่ 14ค่ำ
2553 โฟกัสH อยู่ที่ 8 ค่ำ โฟกัสL อยู่ที่ 15ค่ำ
ที่แสดงมาทั้งหมด มันเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของปริมาณของลมฟ้าอากาศ อุปมาว่าน้ำขึ้นน้ำลง มันก็จะมีปริมาณในแต่ละวันแตกต่างกันไป ดังนั้นการที่เราค้นพบโฟกัสเช่นนี้ทำให้เราได้เห็นแนวโน้มของความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในอนาคตได้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
มาถึงการเรียนรู้ตรงนี้อาจจะเป็นวิชาการไปเล็กน้อย ความจริงไม่อยากจะให้มันมีวิชาการอะไรมาก พยายามหลีกเลี่ยงความเป็นวิชาการ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงเนื้อหาที่แท้จริง
บางคนอาจสงสัยว่าเมื่อไหร่ถึงจะนำความรู้นี้ไปพยากรณ์อากาศได้ ขอทำความเข้าใจอีกสักนิด ก่อนที่เราจะประดิษฐ์รถขึ้นมาสักคัน เราจะต้องรู้จักส่วนประกอบที่จะนำมาทำเป็นรถเสียก่อน ถ้าเราไม่รู้เรื่องชิ้นส่วนอะไหล่ มันก็ไม่สามารถเข้าใจในการประกอบรถนั้นได้ ช่วงนี้จึงจะนำเสนอส่วนประกอบต่างๆ ไปก่อน แล้วค่อยสอนให้ประกอบชิ้นส่วนที่จะมาเป็นรถเข้าด้วยกัน แล้วจะทำให้เราได้พยากรณ์อากาศเป็นกันได้ทุกคน โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือราคาแพงมาคำนวณเลยและมันจะอยู่กับเราไปจนวันตาย