Last day in Prague - 15 Sept 06
วันนี้เรามีนัดกับย่าน New Town เริ่มต้นกันที่ Wesceslas Square ถ่ายรูปไม่เวิร์กเลยแฮะเพราะดันย้อนแสง ลองปรับค่ามั่วๆ ดูก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เดินไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าเหมือนถนนหนานจิงที่เซี่ยงไฮ้ เพราะที่ถนนสายนี้จะเป็นที่ตั้งของบรรดาร้านแบรนด์เนมต่างๆ มากมาย ค่อยรู้สึกว่าเป็นเมืองใหม่หน่อย หลังจากที่เราหลงอยู่ในอดีตมาเกือบ 7 วัน อิอิ เดินย่าน new town แล้ว ตอนแรกเราจะไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์ของ Alfons Mucha ศิลปินยุค Art Nouveau คนดังของเช็กแต่พิพิธภัณฑ์เปิด 10.00 ยังมีเวลาตั้งนาน เราเลยไปส่งโปสการ์ดที่ไปรษณีย์กันก่อน อาคารของไปรษณีย์นี้ใหญ่โตงดงามมาก เราถ่ายรูปมาด้วย ทั้งๆ ที่จริงๆ เขาไม่ให้ถ่าย แบบว่าเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขาไม่ให้ถ่ายน่ะ แต่เสียใจถ่ายไปแว้ว อิอิ ฉันจะเดินไปส่งโปสการ์ดที่ช่องพนักงานบอกว่าต้องมีบัตรคิว ฉันก็เอ๋อๆ ไป แล้วที่กดบัตรมันอยู่ตรงไหนหล่ะฟะ บอกแค่ว่าต้องมีบัตรคิว -_-' เราก็เลยเดินไปซื้อแสตมป์ พอดีเพื่อนยกกล้องขึ้นถ่ายภาพแล้วมีจนท.เดินมาบอกว่าห้ามถ่าย เพื่อนเลยถามเขาว่าจะส่ง pc นี้ได้ที่ไหน จนท.บอกว่าตู้หน้าตึก อะนะ ออกจากไปรษณีย์ก็ยังไม่ถึง 10 โมง เลยลงไปเดินเล่นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อ Albert ซื้อหนมกันใหญ่ พอจ่ายตังค์ปรากฏว่าเขาไม่ให้ถุง ถ้าจะเอาต้องคิดตังค์เพิ่ม ซวยแล้ว เลยต้องยัดใส่เป้แบกหนักไปอีกทั้งวัน อุตส่าห์ทำเป้ให้เบาๆ แล้วแท้ๆ เชียว แล้วก็ถึงเวลาที่พิพิธภัณฑ์เปิด ฉันเองก็เพิ่งรู้จัก Mucha ก็ที่ปรากนี่แหล่ะนะ ก่อนหน้าไม่เคยได้ยินชื่อและเห็นผลงาน รูปที่ฉันเห็นส่วนใหญ่จะออกโทนสีชมพูหวานแหวว ซึ่งฉันชอบมาก เลยอยากไปดูพิพิธภัณฑ์ของเขาสักครั้ง ไปชมแล้วก็ไม่ผิดหวังค่ะ เพราะได้ชมผลงานของเขาแบบเต็มอิ่ม ขากลับก็ยังซื้อของที่ระทึกมาเก็บสะสมไว้อีก :-) เสร็จจากพิพิธภัณฑ์ เราไปหาอะไรกินที่ร้านคาเฟ่เก๋ไก๋ ที่เอาขบวนรถไฟมาดัดแปลงทำเป็นร้านอาหารตั้งอยู่กลางถนน แต่ว่าไม่มีเมนูอาหารหนักๆ มีแต่แซนด์วิชที่หน้าตาไม่ค่อยน่าพิสมัยเมื่อพิจารณาประกอบกับราคา เราเลยตัดสินใจว่างั้นกินเค้กกันดีกว่า เพราะเรายังไม่ได้ลองกินของหวานที่นี่เลย ฉันสั่ง apple strudle ส่วนเพื่อนสั่ง honey cake รสชาติของเค้กน้ำผึ้งคล้ายๆ กับเค้กกล้วยหอมเลยอ่ะ แต่เข้มข้นกว่า อิอิ
Wesceslas Square
โรงแรมแกรนด์ยูโรปา
ร้านหนังสือ
ภาพที่อยู่บนฝาผนังร้าน
ด้านในของไปรษณีย์ที่เขาไม่ให้ถ่าย
ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของ Alfons Mucha
กินเสร็จ เราก้อไปเดินดูโบสถ์ชองชาวยิวและสุสานของชาวยิว จากนั้นเราไปเดิน Old Town กันอีกครั้ง เป้าหมายก็คือไปดู astronomical clock ตีบอกเวลา เราไปย่ำ Old Town กันอีกครั้ง แม้จะถ่ายรูปกันไปแล้วตั้งแต่มาวันแรก ก็ยังไม่วายถ่ายอีก ถ่ายแล้วถ่ายอีก ถ่ายซ้ำอยู่นั้น -_-' นี่แหล่ะข้อเสียของการมีกล้องดิจิตัล มันสปอยล์นิสัยการถ่ายรูปของเรา พอถึงเวลาเราก็ไปยืนรอดูนาฬิกาตีบอกเวลา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมายืนออกันที่หน้านาฬิกายักษ์นี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็รู้สึกว่ามันธรรมด๊า ธรรมดาจัง นาฬิกาที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันขึ้นบ้านใหม่ของญาติยังมีลูกเล่นเยอะกว่า แต่ก็นั่นแหล่ะนะมันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของย่าน Old Town ตรงนี้คนจะเยอะ ต้องคอยระวังกระเป๋าตังค์เวลาถ่ายรูป เพราะอาจมีมือดีมาฉกตังค์ได้ ดูนาฬิกาเสร็จแล้ว เราเดินไปหาตลาดขายของที่ระลึกแถวถนน Havelska วันนี้เป็นวันสุดท้ายเลยอยากใช้ตังค์ อิอิ ตลาดแถวนั้นเป็นตลาดที่ปิดเร็วอีกตามเคย ตอนเราไปเดินดูเหมือนร้านขายของสดจะเก็บแผงกันแล้ว ได้ของติดมือมาเล็กน้อย จากนั้นเราก็เดินหาร้านข้าว ไปเจอเอาร้านหนึ่งแถวๆ ถนน obecni Tyrh ฉันสั่งปลาเทราท์อบสมุนไพรราดแอลมอนด์ อร่อยเหลือหลาย กินเสร็จแล้ว ยังไม่สิ้นสุดการเดินทางแค่นี้ จุดหมายสุดท้ายของเราในปรากคือตึกโย้ หรือ Dancing Buildings กางแผนที่หากันอยู่พักใหญ่ว่ามันอยู่ตรงไหน แล้วถึงนั่ง metro ไป ไปถึงก็ค่ำแล้วหล่ะ ยังดีที่ถ่ายรูปออกมาได้ บางคนก็บอกว่าตึกนี้เท่ห์ดี บางคนก็บอกว่าไม่สวย ฉันเห็นด้วยกับส่วนหลัง ไม่รู้สิมัน "เหมือน" จะสวยและเก๋นะ แต่ฉันไม่ชอบสักเท่าไร เหมือนตึกพังแล้วยังบูรณะไม่เสร็จประมาณนั้น จากที่นั่น เราเดินกลับที่พักได้สบายๆ เลยไปแวะ Tesco อีกรอบ เก็บตกเผื่ออยากซื้ออะไร แล้วก็กลับบ้าน คืนนี้เราต้องแพ็กกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น ฉันมีกระเป๋างอกขึ้นมาอีกหนึ่งใบ เพราะเป้ใหญ่ที่ใช้แบกทุกวันเต็มไปด้วยขนม ไม่กล้าโหลดขึ้นเครื่อง เพราะคาดว่าขนมคงจะลงมาในสภาพแหลกละเอียด เก็บของแล้วก็รีบเข้านอน ตื่นเช้ารีบไปสนามบิน ถึงสนามบินยังไม่เปิดเคาน์เตอร์ให้เช็คอินเลย เลยไปนั่งหาอะไรกินรอกันไปพลางๆ แล้วก็ใช้เศษเหรียญที่มีอยู่ให้ได้เยอะที่สุดด้วย ฉันได้เค้กมาหนึ่งชิ้น พร้อมเลย์อีกหนึ่งถุง :D ของในแอร์พอร์ตแพ้งแพงเป็นเรื่องปกติ เลยทำให้ไม่ค่อยได้ไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไร การเดินทางของเรายังไม่สิ้นสุดลงแค่การเช็คอินแล้วขึ้นเครื่องกลับบ้านเท่านั้น แต่ยังมีติ่งอีกนิดหน่อยดังที่จะเล่าต่อไป
อนุสาวรีย์ฟรานซ์ คาฟคา
เห็นตุ๊กตาที่หมุนโผล่มาตามช่องเปล่า? นั่นแลที่นักท่องเที่ยวมายืนรอดูกัน
ตราประจำ Old Town
ท่าประจำของขอทานที่โน่นค่ะ
เวเฟอร์ที่ขายในตลาด
ตลาดนัดขายผลไม้และของที่ระลึก
ตึกโย้ ภาพสุดท้ายในปรากจ้า
ทัวร์นรก 1700
ตั้งชื่อเสียน่ากลัว ที่เรียกว่านรก เพราะมาจากคำว่า Hell ซึ่งไปพ้องกับตัวย่อของเมือง Helsinki ซึ่งจะย่อว่า Hel ในตั๋วเครื่องบิน ตอนเห็นแต่แรกฉันยังตกใจ เหวอตั๋วไปนรกภูมิหรือเปล่า เนื่องจากว่าไฟล์ทกลับเราต้องแวะที่ฟินแลนด์เช่นเคย แต่คราวนี้ไม่ได้รอไฟล์ทต่อเพื่อกลับกรุงเทพเพียงแค่สองชั่วโมงอย่างขามา แต่มีเวลารอไฟล์ทถึงประมาณ 9 ชั่วโมงเห็นจะได้ เราเลยตัดสินใจว่าควรออกไปเที่ยวในเมืองมากกว่ามานั่งรอนอนรอที่สนามบิน นั่นเป็นที่มาของรหัส 1700 ซึ่งก็คือค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่าเข้าฟินแลนด์นั่นเอง ตอนไปขอจนท.ก็งงๆ ว่าทำไมไปแค่วันเดียว ต้องอธิบายให้เข้าฟังว่าเป็น transit แต่มันนาน ขี้เกียจรอ มีการสัมภาษณ์ด้วยนะ ตามระเบียบของสถานทูต แต่ก็ขำๆ กับเพื่อนสองคนเพราะประเทศที่จะไปอยู่ 8 วันไม่เห็นสัมภาษณ์ไรเลย แต่จะออกไปเหยียบ Helsinkiไม่ถึง 8 ชั่วโมงด้วยซ้ำกลับมีสัมภาษณ์ อิอิ
เราถึงที่ Helsinki ประมาณบ่ายสาม เมื่อผ่านด่านตม. แล้วก็ออกมารอรถบัสสาย 615 เพื่อเข้าในตัวเมือง ค่ารถเข้าเมือง 3.60 ยูโร (เอา 48.1 คูณเข้าไป) รถจะมาจอดให้ที่สถานีรถไฟ ใจกลางเมือง อากาศหนาวเพราะมีลมแรงพัดกรรโชกตลอดเวลา บรื๋อ เราถ่ายรูปรูปปั้นยักษ์ที่สถานีรถไฟแล้วก็ตัดสินใจนั่ง tram ชมเมืองตามที่ได้ข้อมูลมา เรานั่งรถรางสาย 3T พร้อมกางแผนที่ประกอบไปด้วยว่าผ่านจุดไหนบ้าง ใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 1ชม.มั้ง แล้วเราก็มาลงที่ senate square เพื่อถ่ายรูปและชมวิว อากาศหนาวมากๆ จนฉันไม่อยากเดินไปไหน อยากที่หลบลมมากกว่า เราเดินไปมา เดินไปโบสถ์ แล้วก็เดินเข้าเมือง กะจะมาเดินห้างเสียหน่อยแต่ปิดหมดแล้วตั้งแต่ 6 โมงเย็น T_T เลยหาข้าวกินดีกว่า พอดีว่าซูเปอร์ใต้ดินยังเปิดอยู่ เพื่อนเห็นป้ายร้าน Chili อะไรสักอย่าง เลยบอกว่าเอ๊ะ นั่นใช่ร้านอาหารหรือเปล่า ก็เลยลองเดินลงไปดู ตอนแรกหาไม่เจอ แต่ก็หาจนเจอ สั่งข้าวหน้าเนื้อแห้ง (ฉันบัญญัติศัพท์เอง ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ) จานหย่ายยยมากๆ ลืมไปเสียสนิทว่ามันต้องเป็นจานใหญ่ ราคา 5.9 ยูโร แน่ะ เลยกินแต่เนื้อไป แต่ก้อยังไม่หมด เหลือประมาณ 4-5 ชิ้นแต่กินไม่ลงแล้ว อิ่ม ก่อนเข้าร้านนี้เราสำรวจก่อนว่ามีห้องน้ำเปล่า ก็เห็นว่ามีแต่พอเพื่อนจะไปเข้า มันเขียนว่า 1 ยูโร งั้นกลั้นไปเข้าที่หนามบินก็ได้ เสร็จแล้วเราไปเดินเล่นต่อใน super แล้วจึงออกไปรอรถไปสนามบิน โหะๆ หนาวโค่ดๆ ป้ายบอกอุณหภูมิบอกว่า 12องศา รอรถด้วยความหนาวเย็นกว่ารถจะมา แล้วเราก็มาถึงหนามบิน รอเวลาเครื่องขึ้น ใช้เวลาอีกเกือบ 10 ชม. เพื่อบินกลับ ขากลับมีเสิร์ฟอาหารตอนเที่ยงคืน แต่ฉันกินไม่ลงแล้ว รู้สึกแน่นๆ แหม แต่จริงๆ อยากกิน 55 แบบว่างก พอเขามาเก็บถาดอาหารก็ถึงเวลาหลับยาว ตื่นอีกทีตอนใกล้ๆ เช้า เวลาก็งงไปหมดค่ะว่าตกลงเอาเวลาที่ไหนดี ถึงกรุงเทพตอนบ่ายโมงครึ่ง เฮ่อ ถึงบ้านเสียที คิดถึงจัง คิดถึงอาหารด้วย แม่รู้ใจทำต้มยำกุ้งเป็นมื้อเย็นวันนั้น แล้วการเดินทางก็สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ 8 วันที่ฉันหายไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โลกที่ไม่มีเจ้านายและงาน และถ้าอยู่นานๆ คาดว่าจะไม่มีเงินตามไปด้วย c'est la vie ฉันต้องกลับมาตื่นตี 5 ไปเผชิญรถติดเพื่อเข้ามาทำงานในเมืองเหมือนเช่นเคย
มนุษย์หินยืนเฝ้าอยู่หน้าสถานีรถไฟ
เวสป้าสีแดงของใครไม่รู้แฮะ
เดินผ่านโรงหนังเล็กๆ เห็นมีฉายเรื่องนี้ด้วยแฮะ อิอิ
กวางหายล้อมคอก
สรุปว่าทริปนี้เป็นทริปไปเช็กคราวนี้เป็นที่น่าประทับใจมากมาย เพราะได้ไปเห็นอะไรที่แตกต่าง สถานที่ท่องเที่ยวของเขางดงามตระการตา แต่สภาพบ้านเมืองโดยรวมยังเดิ้นสู้บางกอกไม่ได้ หรืออาจเพราะเราชินกับวิถีชีวิตป่าคอนกรีตที่ไม่มีวันหลับใหลอย่างบางกอกก็ได้ ปรากเป็นเมืองเล็กๆ ที่เดินถึงกันได้ ทำให้ไม่ต้องเสียค่ารถมากสักเท่าไร อาหารการกินก็ราคาพอรับได้ ไม่แพงจนเกินไปกว่าที่คิด ตอนแรกเราคิดว่ามื้อนึงน่าจะอยู่ที่ 350-500 KC แต่ว่าเอาเข้าจริงก็ประมาณ 200-250 KC เราโชคดีที่ไม่เจอพวกมือดีล้วงกระเป๋า อาจเพราะไม่ได้ไปเดินสะพานชาร์ลส์ตอนกลางวันก็เป็นได้ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวหรือน่าวิตกอย่างที่ได้อ่านๆ จากในเว็บที่มักเขียนเตือนว่าระวังคนล้วงกระเป๋า แต่เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเยอะซึ่งมีอยู่มากที่เป็นพวกซำเหมา หรือแม้แต่เจ้าบ้านเองก็เหอะ จึงส่งกลิ่นไม่ค่อยดีนักเวลาเดินผ่าน (แหว่ะ)
อาจเป็นโชคของฉันที่ไม่เจอเรื่องร้ายๆ ที่โน่น แถมอากาศตอนที่พวกเราไปก็เป็นใจอย่างมาก เพราะหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าที่เราจะไป ได้ข่าวว่าฝนตกตลอด ทำให้เรากังวลว่าเราจะเจอฝนหรือเปล่า กลัวถ่ายรูปได้ไม่หนำใจ แต่สุดท้ายปรากฏว่าอากาศดีทุกวัน เย็นตอนเช้า ตอนสายๆ มีแดดไปจนถึงเย็น กว่าอาทิตย์จะตกดินก็ประมาณทุ่มครึ่งเห็นจะได้ ที่ประทับใจอีกอย่างก็คือว่าหมาที่โน่นมารยาทดีมากๆๆ สงบเสงี่ยมเรียบร้อยทุกตัว คิดดูว่าขนาดหมายัง 'educated' ทำให้คนเกลียดและกลัวหมาอย่างฉันมองพวกมันในแง่ดีขึ้นมาบ้าง ทำไมคนไทยไม่ฝึกหมาให้เข้าสังคมบ้างเนอะ?? สักแต่ว่าเลี้ยง
สุดท้ายคงต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทาง navigator ของฉัน 55 เพราะถ้าให้ฉันงมทางเองคงจะนานโขอยู่ และแหล่งข้อมูลอย่างเว็บ trekkingthai.com รวมถึงหนังสือทั้ง eyewitness และ roughguide อ้อเว็บไซต์ภาคภาษาอักกฤษต่างๆ ด้วย
แล้วเจอกันทริปหน้าซึ่งคาดว่าจะเป็นเอเชียอีกเช่นเคย คริคริ
เกร็ดเล็กน้อย...
พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดมสีหมุนีทรงเคยศึกษาอยู่ที่ปรากตั้งแต่ปีค.ศ.1962-1975 ทรงกล่าวว่าเช็กคือบ้านหลังที่สองของพระองค์ และท่านก็เพิ่งเสด็จเยือนปรากเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา
รวมลิงค์สำหรับหาข้อมูล
- Myczechrepublic
- บอร์ดสะพายเป้ท่องโลก เว็บ Trekkingthai.com
- เว็บสำหรับเช็คตารางรถไฟ รถบัสในปราก
- ข้อมูลการขอวีซ่าจากสถานทูตเช็กในไทย
- สถานทูตไทยในเช็ก
ปล. แวะเยี่ยมชมบรรดาดอกไม้จากเช็กได้ที่นี่ค่ะ Flowers from Czech
Create Date : 24 กันยายน 2549 |
Last Update : 23 มีนาคม 2550 15:39:33 น. |
|
13 comments
|
Counter : 996 Pageviews. |
|
|
ต้องเก้บตังค์เท่าไหร่เนี่ยยยย
เอาไว้ให้ปู้ชายพาไปดีก่า (ยากกว่าเก็บตังค์ไปเองอีก 555)