Bloggang.com : weblog for you and your gang
"ความรู้" คู่ "ความงาม"
Group Blog
เมษายน 2558
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
12 เมษายน 2558
[Skincare Basics Special] Understanding SPF in Your Sunscreen
All Blogs
[Skincare Basics Special] Understanding SPF in Your Sunscreen
[Skincare Basics Special] How "Whitening - Lightening - Depigment Agent" Works
[Skincare Basics Special] Why our skin color different? Where and how is melanin produced?
Skincare Basics Menu
Skincare Basic #12-1 : Acne 101 Part-I [What is "Acne" and how to treat it]
Skincare Basic #11-4 : How to use Sunscreen / Misleading Claims / Sunscreen FAQs
Skincare Basic #11-3 : 5 'S' For Selecting Sunscreen
Skincare Basic #11-2 : Sunscreen Ingredients - Part2
Skincare Basic #11-2 : Sunscreen Ingredients - Part1
Skincare Basic #11-1 :Sun Survival Tips for Healthy Skin
Skincare Basic #10-2 : Choose The Appropriate Moisturizers For Your Skin Type
Skincare Basic #10-1 : Moisturizers Revealed!!!
Skincare Basic #9-5 : Vitamin E
Skincare Basic #9-4 : Vitamin C
Skincare Basic #9-3 : Vitamin B3
Skincare Basic #9-2 : Vitamin A
Skincare Basic #9-1 : Antioxidants
Skincare Basic #9 : Treat your skin needs
Skincare Basic #8 : All About Exfoliants
Skincare Basic #7 : Is Toner Really Necessary?
Skincare Basic #6-2: Detergent-Base Cleanser & Hybrid Cleanser
Skincare Basic #6-1: Emollients-Base Cleanser
Skincare Basic #6 : How to Cleanse Your Skin Properly
Skincare Basic #5 : Choose the Right Container
Skincare Basic #4 : Reading Ingredients List
Skincare Basic #3 : Know Your Skin Type
Skincare Basic #2 : Understanding Skin Anatomy
Skincare Basic #1 : อย่า คำเตือนสติที่ช่วยให้คุณสวยอย่างฉลาด
[Skincare Basics Special] Understanding SPF in Your Sunscreen
แม้ว่าดวงอาทิตย์จะเป็นแหล่งหลังงานที่สำคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกของเรา แต่การเผชิญรังสี UV จากดวงอาทิตย์ที่มากเกินไปจะก่อให้เกิดผลเสียกับผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคที่ชั้นบรรยากาศที่ช่วยกรองรังสีอันตรายเหล่านี้เริ่มร่อยหรอลง ซึ่งกว่า 80% ของปัญหาผิวอย่างริ้วรอย ดูแก่ก่อนวัย ความหยาบกกร้าน จุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ มาจากสัมผัสกับรังสี UV และสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ
วิธีหนึ่งที่มนุษย์เราพัฒนาขึ้นเพื่อปกป้องผิวที่เราหวงแหนจากรังสี UV คือยากันแดด หรือ Sunscreen นั่นเอง แต่ในขณะที่มีการใช้ยากันแดดกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน แต่ผู้บริโภคยังคงมีความสับสนเกี่ยวความหมายของค่า SPF และประสิทธิภาพในการป้องกันผิวจากรังสี UV ของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังใช้ยากันในแดดในปริมาณที่น้อยกว่าปริมาณที่แนะนำ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV ที่ลดลง ซึ่งจะลดลงแค่ไหนนั้นก็มีข้อมูลที่ขัดแย้งกันและมีปัจจัยมากมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปูเป้ได้รวบรวมมาทำเป็นบทความให้ในวันนี้
แต่ก่อนอื่นขอแนะนำคำศัพท์ที่ควรรู้เอาไว้อย่างคร่าว ๆ นะฮับ
-
Fitzpatrick Skin Type
: การจำแนกสีผิวเป็น 6 ประเภทตามการตอบสนองต่อแสงแดด ผิวขาวมากคือ Type I ไล่ไปจนถึงผิวเข้มมากเป็น Type VI
-
Erythema
: อาการแดงของผิว
-
MED (Minimal Erythema Dose)
: ปริมาณของรังสี UV ต่ำสุดที่ทำให้เกิดอาการแดงของผิว
-
Exponential
: ในเชิงสถิติหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเป็นเส้นโค้ง
-
Linear
: ในเชิงสถิติหมายการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะเป็นเส้นแนวตรง
ค่า SPF คืออะไร?
SPF
ย่อมาจาก
Sun Protection Factor
ซึ่งเป็นค่าที่บ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี
UVB
ในระดับไหน
รังสี UVB ทำให้เกิดอาการ Burn หรือไหม้ และผิวแดง (Erythema) ซึ่งผิวแต่ละประเภทก็มีระยะเวลาไม่เท่ากันหลังจากตากแดดแล้วจะมีอาการแดงเกิดขึ้น ผิวที่ขาวมาก มีเมลานินน้อย (Fitzpatrick Skin Type I - II)ก็อาจจะมีอาการไหม้แดงหลังจากสัมผัสรังสี UV ในเวลาเพียง 10 - 15 แต่ในรายที่มีผิวสีเบจถึงผิวสีน้ำผึ้ง (Fitzpatrick Skin Type III - V) มีปริมาณเม็ดสีเมลานินที่คอยดูดซับรังสี UV มากกว่าก็จะใช้เวลานานขึ้น อาจจะ 20 - 30 นาทีก่อนจะเริ่มมีอาการไหม้แดง ส่วนผิวที่เข้มมากจนอย่างคนแอฟริกัน (Fitzpatrick Skin Type VI) อาจจะไม่เกิดอาการไหม้ใด ๆ เลย
ลองดูว่าคุณมี Skin Type แบบใดตามมาตรฐานของ Fitzpatrick คลิกที่นี่.
ตามทฤษฏีแล้ว ค่า SPF15 จะช่วยให้ผิวทนต่อรังสี UVB ได้นานกว่าปกติ 15 เท่า ก่อนที่จะเกิดอาการ Burn ซึ่งถ้าคิดง่าย ๆ สมมุติว่าผิวเราเริ่มมีอาการแดงหลังจากตากแดดไป 20 นาทีก็แปลว่า SPF 15 จะช่วยให้ผิวเราทนต่ออาการไหม้แดงได้นานถึง 300 นาที หรือ 5 ชั่วโมง แต่ว่าในทางปฏิบัตินั้นไม่เหมือนกับทฤษฏี เราไม่มีทางที่จะระบุระยะเวลาที่แนอนได้ว่ากันแดด SPF 15 จะกันแดดได้ 5 ชั่วโมง ด้วยตัวแปรหลายประการ
ประการแรกคือค่าความเข้มข้นของรังสี UV นั้นผันแปรไปตามตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิประเทศตามแนวละติจูด และความสูงของพื้นดินเมื่อเทียบกับระดับน้ำทะเลก็มีผลด้วยเช่นกัน ยิ่งสูงจากระดับน้ำทะเลมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีความเข้มข้นของรังสี UV มากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ความเข้มข้นของรังสี UVB นั้นมีมากน้อยไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลา จะเข้มข้นสูงสุดในช่วงเที่ยงและบ่าย และเข้มข้นน้อยในช่วงเช้าและตกเย็น ไม่นับเรื่องสภาพอากาศ เช่นเมฆมากฟ้าครึ้มก็จะทำให้มีรังสี UVB น้อยลง
จะเห็นได้ว่าปริมาณรังสีที่เราได้รับนั้นแปรผันไปตามตัวแปรที่ยกตัวอย่างมา ผิวเราจะไหม้แดดได้ง่ายกว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่สูงหรือออกไปตากแดดในช่วงเที่ยงวันหรืออยู่ในเขตใกล้เส้นศูนย์สูตร รวมไปถึงสีผิวของเราก็ทำให้เราทนต่อรังสี UV ได้ไม่เท่ากัน คนผิวเข้มจะไหม้แดดยากกว่าคนผิวสีอ่อน ซึ่งทั้งหมดส่งผลต่อระยะเวลาที่กันแดดสามารถปกป้องผิวของเราได้ ดังนั้นในทางวิทยาศาสตร์แล้วเราจะไม่ใช้ระยะเวลาเป็นหน่วยในการวัด แต่จะใช้ MED (Minimal Erythema Dose) ซึ่งเป็นการวัดปริมาณของรังสีต่ำสุดที่ทำให้เกิดอาการแดงของผิว และใช้เครื่องฉายรังสี UV เพื่อควบคุมตัวแปรเรื่องความไม่แน่นอนของปริมาณรังสีจากดวงอาทิตย์
(Source :
sunscreens labeled sun protection factor may overestimate protection at temperate latitudes: a human in vivo study.
)
ค่า SPF บนผลิตภัณฑ์ได้มาอย่างไร?
ค่า SPF ถูกวัดขึ้นด้วยมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก โดยทดสอบกับคนที่มีผิว Type I, II หรือ III นำมาทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่จะทำการทดสอบในปริมาณ 2 มิลลิกรัม ต่อ 1 ตารางเซนติเมตร (2 mg/cm2) ลงบนบริเวณพื้นที่ ๆ มีความเรียบตรงช่วงส่วนกลางของหลังไปจนถึงแนวบั้นเอว ซึ่งต้องไม่มีความผิดปกติของสีผิว และต้องหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นร่องกลางหลังหรือส่วนนูนจากแนวสันกระดูกอันจะมีผลต่อความคลาดเคลื่อนในการวัดผล
การทาผลิตภัณฑ์จะทาโดยใช้น้ำหนักเบาด้วยนิ้วที่สวมถุงมือเอาไว้ ระยะเวลาในการเกลี่ยผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 20 วินาที และจะถูกทิ้งเอไว้ให้แห้งเป็นระยะเวลา 15 - 30 นาทีก่อนที่จุดที่ทำการทดสอบจะถูกฉายรังสี UV ด้วย Solar Simulator ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยกรองคลื่นไว้ในช่วง 290 - 400 นาโนเมตร ซึ่งเป็นช่วงของรังสี UVB-UVA
ค่า SPF จะถูกวัดโดยเทียบหาค่ากลางที่ได้จากผลทดสอบ 10 - 20 ราย โดยค่าที่ได้จากมาจากระยะเวลา (หน่วยวินาที) ที่เกิด MED บนจุดที่ได้รับการปกป้องจากยากันแดด(MEDp) มาหารด้วย MED ที่ไม่ได้รับการปกป้องใด ๆ เลย (MEDu)
นี่เป็นขั้นตอนคร่าว ๆ ของการทดสอบค่า SPF ซึ่งต้องใช้เครื่องมือเฉพาะตามมารฐานที่กำหนดไว้และผู้ตรวจสอบที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี
แต่สรุปง่าย ๆ ว่า หากเราต้องทาได้ค่า SPF ตามที่ระบุเอาไว้บนฉลาก เราจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณ 2มิลลกรั่ม ต่อ 1 ตารางเซนติเมตร หรือปรมาณ 1.5 มิลิลิตร ในการทาใบหน้าในแต่ละครั้ง (คิดจากค่าเฉลี่ยขอพื้นที่ใบหน้า ใครหน้าใหญ่ก็ทาเยอะขึ้นนะจ๊ะ) ซึ่งปริมาณก็เท่ากับมากกว่า 1/4 ช้อนชาอยู่นิดหน่อย (1/4 ช้อนชา = 1.25 มิลิลลิตร)
การทาในปริมาณที่น้อยกว่านั้นจะทำให้ได้ค่า SPF ที่น้อยลง ส่วนจะน้อยลงขนาดไหนนั้นก็มีข้อมูลที่แย้งกันเอง ซึ่งจะอธิบายในส่วนต่อไป (แต่มันน้อยลงแน่ๆ ล่ะ) นอกจากนี้ระบบการทดสอบค่า SPF ยังมีข้อบกพร่องที่ปัจจุบันเริ่มมีการพูดถึงกันมากขึ้นซึ่งจะอธิบายต่อไปในบทความนี้
(Source :
INTERNATIONAL SUN PROTECTION FACTOR (SPF) TEST METHOD
)
เราทากันแดดในปริมาณที่มากพอหรือไม่?
จากการศึกษาที่ผ่านมาทั้งหมดพูดไปในทางเดียวกันว่าผู้บริโภคใช้กันแดดในปริมาณที่น้อยกว่าที่กำหนดมากทีเดียว โดยปริมาณที่เราใชกันในแต่ละวันเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 0.5 mg/cm2 - 1.0 mg/cm2 เท่านั้น ซึ่งเท่ากับปริมาณเพียง 1/4 ถึง 1/2 ของปริมาณที่แนะนำ
(Source :
Sunscreens used at the beach do not protect against erythema: a new definition of SPF is proposed.
,
Sunscreen application by photosensitive patients is inadequate for protection.
,
Application of sunscreen--theory and reality.
)
ความสัมพันธ์ของปริมาณกันแดดที่ทา กับค่า SPF ที่ได้
การทากันแดดในปริมาณที่น้อยกว่าที่แนะนำนั้นจะส่งผลให้ค่า SPF ที่ได้จริงๆ นั้นลดลง ซึ่งจะลดเท่าไหร่นั้นในทางทฤษฏีแล้วค่า SPF น่าจะสัมพันธ์กับปริมาณที่ทาในแนวระนาบ (Linear) แต่ในทางปฏิบัตินั้นพบว่ามีข้อมูลบ่งชี้ถึง 3 แบบ ซึ่งได้แก่
-
Exponential
กล่าวคือ ค่า SPF มีความสัมพันธ์กับปริมาณที่ทาในแนวโค้ง (ทากันแดด SPF 50 ปริมาณ 2mg / 1cm2 ได้ SPF 50 แต่เมื่อทาเหลือครึ่งหนึ่ง หรือ 1mg / 1cm2 อาจจะได้ค่า SPF แค่ 10 หรือ 15 เป็นต้น)
-
Linear
กล่าวคือ ค่า SPF มีความสัมพันธ์กับปริมาณที่ทาในแนวราบ (ทากันแดด SPF 50 ปริมาณ 2mg / 1cm2 ได้ SPF 50 แต่เมื่อทาเหลือครึ่งหนึ่ง หรือ 1mg / 1cm2 อาจจะได้ค่า SPF ประมาณ 30)
-
Both Linear & Exponential
กล่าวคือ ค่า SPF ที่มีความสัมพันธ์กับปริมาณที่ทาได้ทั้งในแนวราบและเส้นโคง ขึ้นอยู่กับระดับของค่า SPF ของผลิตภัณฑ์
1. Exponential
ผลการศึกษาค่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของปริมาณกันแดดที่ทากับค่า SPF ที่ได้นั้นส่วนใหญ่จะได้ผลออกมาแบบนี้ ยกตัวอย่างการศึกษาในรุ่นใหม่ ๆที่พึ่งตีพิมพ์มาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้แก่
การศึกษากันแดด SPF4 กับอาสาสมัครตำนวน 20 คน ตีพิมพ์ในปี 2006 จากประเทศเดนมาร์ค ได้ผลเป็นกราฟ Exponential แบบโค้งขึ้น
(Source :
Relationship between sun-protection factor and application thickness in high-performance sunscreen: double application of sunscreen is recommended.
)
การศึกษากันแดด SPF15 และ SPF30 กับอาสาสมัคร 40 คน จากประเทศบราซิลที่ตีพิมพ์ในปี 2009 นั้นได้ผลแบบ Exponential แบบโค้งขึ้น
(Source :
The influence of the amount of sunscreen applied and its sun protection factor (SPF): evaluation of two sunscreens including the same ingredients at different concentrations.
)
การศึกษากันแดดสองชนิด SPF 30 และ 35 ด้วยสมัครจำนวน 15 คน ในประเทสเกาหลี ตีพิมพ์ในปี 2009 ก็ให้ผลแบบ Exponential แบบโค้งขึ้นเช่นกัน
(Source :
The relation between the amount of sunscreen applied and the sun protection factor in Asian skin.
)
การศึกษาครีมกันแดด SPF50 กับอาสาสมัครชาวญี่ปุ่น 23 คน ให้ผล ให้ผลแบบ Exponential แต่เป็นแบบคว่ำลงแทน การทดสอบนี้น่าสนใจเพราะถึงแม้ผลสรุปจะออกเป็นแบบ Exponential แต่เทรนด์ของดราฟเริ่มขัดแย้งกับข้อมูลที่เคยมีมาก่อน แต่จุดด้อยของการศึกษานี้คือมีการวัดค่าที่ปริมาณในการทาเพียง 3 ระดับ (0.5 / 1.0 และ 2.0 มิลลิกรัม ต่อตารางเซนติเมตร) ซึ่งต่างกับการศึกษาที่ยกมาก่อนหน้าที่ทดสอบกันที่ 4 ระดับ (0.5 / 1.0 / 1.5 และ 2.0 มิลลิกรัม ต่อตารางเซนติเมตร) และการศึกษานี้สนับสนุนโดยบริษัท KOSÉ
(Source :
Relationship between sun-protection factor and application thickness in high-performance sunscreen: double application of sunscreen is recommended.
)
2. Linear
มีผลการศึกษา 2 อันที่ให้ผลออกมาในลักษณะนี้
การศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2007 จัดขึ้นโดย DGK ซึ่งเป็นสมาคมของนักวิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาและพัฒนาด้านเครื่องสำอางของเยอรมัน ได้มีการทดสอบครีมกันแดดที่มีขายในท้องตลาด 3 ชนิด จาก 2 แบรนด์ ค่า SPF 20 กับ 20 และ 25 มาทดสอบด้วยห้องแลป 3 แห่ง โดยในแต่การทดสอบจะมีอาสาสมัครไม่ต่ำกว่า 10 คน ผลที่ได้มีแนวโน้มของกราฟแบบ Linear จุดแข็งของการศึกษานี้คือมีการทดสอบจากห้องแลปถึง 3 ที่ แต่การที่มีกลุ่มบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางให้การสนับสนุนด้วยก็มีผลต่อการลดความน่าเชื่อถือไปบ้าง
(Source :
Influence of applied quantity of sunscreen products on the sun protection factor--a multicenter study organized by the DGK Task Force Sun Protection.
)
การศึกษาที่ตีพิมพ์ไนปี 2012 ซึ่งทดสอบกันแดดในท้องตลาดถึง 6 ชนิด ค่า SPF 30 - 100 โดยกลุ่มทดสอบที่มากถึง 237 คน ให้ผลของกราฟแบบ Linear จากข้อมูลที่หามาได้นั้น นี่เป็นการศึกษาที่มีจำนวนผู้ทดสอบเยอะที่สุด แต่การที่บริษัท Johnson & Johnson เป็นผู้สนับสนุนการศึกษานี้ และกันแดดที่นำมาทดสอบก็ล้วนมาจากแบรนด์ Neutrogena และ Coppertone ซึ่งเป็นแบรนด์ในเครือ Johnson & Johnson ก็ลดความน่าเชื่อถือของการศึกษานี้ลงไปหน่อย
(Source :
High-SPF sunscreens (SPF ≥ 70) may provide ultraviolet protection above minimal recommended levels by adequately compensating for lower sunscreen user application amounts.
)
3. Linear & Exponential
การศึกษาที่น่าสนใจจากประเทศจีน ตีพิมพ์ในปี 2012 ทำการทดสอบครีมกันแดด 4 ตัว โดยค่า SPF 4 เป็นสูตรกันแดดมาตรฐานในการทดสอบของ US FDA กันแดด SPF 15 เป็นสูตรมาตรฐานในการทดสอบของที่กำหนดโดย EU ส่วน SPF 30 และ SPF 55 ที่นำมาทดสอบนั้นเป็นครีมกันแดดที่วางจำหน่ายในท้องตลาด จำนวนผู้ทดสอบทั้งหมด 40 คน ผลที่ออกมาคือค่า SPF ที่สูงนั้น ผลที่ได้จะมีแนวโน้มเป็นแบบ Exponential แต่ค่า SPF ต่ำนั้นมีแนวโน้มจะเป็นแบบ Linear ล่ะคุณ!!!
(Source :
Sunburn protection as a function of sunscreen application thickness differs between high and low SPFs.
)
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจที่พบว่าเมื่อนำครีมกันแดดที่วางขายในท้องตลาดมาทดสอบค่า SPF ในห้องแลปแล้ว ค่า SPF ที่ได้จริง ๆ ก็ต่ำกว่าที่ระบุไว้บนฉลากอีกต่างหาก
โอ้ววว นี่มันแย่มากเลยนะจอร์จ!!! (โอ้ววววว ฟังแล้วก็จะเป็นลมเหมือนกันนะซาร่าห์~~~)
แต่มันมีเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมผลที่ออกมามันถึงได้ขัดแย้งกันเองขนาดนี้...
(Source :
Determination of Sun Protection Factor by UV-Vis Spectrophotometry
)
ปัจจัยที่มีผลต่อความผันผวนของค่า SPF ที่ทดสอบหรือวัดได้
การที่ผลการศึกษาหลายอันให้ผลที่ขัดแย้งกันเอง หรือแม้แต่การนำผลิตภัณฑ์มาทดสอบค่า SPF ได้ผลทั้งมากกว่าที่ระบุ และน้อยกว่าที่ระบุบ้างมันมาจากตัวแปรยิบย่อยมหาศาลจนชนิดที่ว่า ในวงการเครื่องสำอางนั้นถึงกับมีการพยายามผลักดันให้การทดสอบ SPF เป็นแบบ In-Vitro บนเครื่องมือทดสอบ แทนที่จะเป็นแบบ In-Vivo บนผิวหนังมนุษย์ซึ่เป็นมาตรฐานในปัจจุบันนี้กันเลยนะ
ตัวอย่างตัวแปรที่มีผลต่อค่า SPF ที่วัดได้ ได้แก่
- ปริมาณในการทานั้นส่งผลต่อความหนาของชั้นกันแดดที่ทาลงไป และเนื่องจากผิวหนังของเรานั้นมีร่องหลุมไม่ใช่พื้นที่เรียบ ดังนั้นส่วนที่เป็นร่องจะมีความหนาของชั้นกันแดดมากกว่าและส่วนที่นูนจะมีชั้นของกันแดดที่บางกว่าซึ่งทำให้แสง UV แทรกผ่านได้มากกว่า
- อุณหภูมิของพื้นผิว แรงที่ใช้ในการทา วิธีที่ใช้ในการทา ล้วนมีผลต่อการเกิดฟิลม์ของชั้นกันแดด จากการศึกษาเราพบว่าคนส่วนใหญ่ทากันแดไม่สม่ำเสมอเอาเสียเลย และส่วนของใบหน้าที่ถูกละเลยในการทาครีมกันแดดมากที่สุดคือบริเวณขมับและใบหู
(Source :
Sunscreen application by photosensitive patients is inadequate for protection.
)
- นอกจากนี้เชื้อชาติยังมีผลต่อค่า SPF ที่ทดสอบได้อีกด้วย (ปัญหานี้จะคุ้นเคยกันดีเมื่อแลปในเอเชียทดสอบผลิตภัณฑ์กันแดดที่นำเข้าจากยุโรป) นั่นก็เพราะว่า การจำแนกแบบ FitzpatrickPathak skin typing system อาจนำมาใช้กับคนเอเชียไมไ่ด้ทั้งหมด การทดสอบของคนญี่ปุ่นพบว่า ประเภทผิวที่ MED น้อย (คือผิวไหม้ง่ายมาก) มาทดสอบได้ค่า SPF ที่สูงกว่าคนที่มี MED สูง (ผิวไหม้ยากกว่า)
(Source :
The relationship of sun protection factor to minimal erythema dose, Japanese skin type, and skin color.
)
- UVA นั้นมีผลต่อการเกิดการแดงของผิวเมื่อสัมผัสกับแสงแดดด้วย การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ถึงแม้การวัดค่า SPF นั้นจะวัดค่าการปกป้องผิวจากรังสี UVB แต่สูตรของกันแดดที่มีความสามารถในการปกป้องผิวได้ครบทั้งรังสี UVB และ UVA (Board Spectrum) นั้นจะจะทำให้เกิด MED น้อยกว่ากันแดดที่มีแต่สารกรองรังสี UVB แต่เพียงอย่างเดียวเมื่อได้รับปริมาณรังสีที่เท่ากัน
(Source :
sunscreens labeled sun protection factor may overestimate protection at temperate latitudes: a human in vivo study.
)
- ความเสถียรของสารกันแดด อุณหภูมิที่ทำการทดสอบ มาตรฐานของอุปกรณ์ เช่น Solar Simulator นั้นมีผลอย่างมากต่อผลที่ได้ออกมา
(Source :
The long way towards the ideal sunscreen--where we stand and what still needs to be done.
)
ครีมกันแดดที่บอกว่า ปกป้องผิวยาวนาน 8 ชั่วโมง 12 ชั่วโมง ทำได้จริงรึ?
ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่มีใครสามารถระบุระยะเวลาที่แน่นอนได้ว่ากันแดดที่เราทาลงไปบนผิวมันจะกันแดดได้นานเท่าไหร่ เนื่องจากตัวแปรหลายอย่าง เช่น
- กันแดดสามารถเลื่อนหลุดหรือละลายเมื่อโดนกับน้ำ เหงื่อ น้ำมันที่ขับออกมาทางรูขุมขน การซับ เช็ด ขัด ถู เสียดสี ปัจจัยเหล่านี้ลดประสิทธิภาพในการปกป้องผิวลง
- สีผิวหรือปริมาณเมลานินในผิวเราไม่เท่ากัน จึงทำให้การไหม้แดดของเราใช้เวลาไม่เท่ากัน
- ผลิตภัณฑ์ที่เคลมว่าปกป้องยาวนาน 8ชั่วโมง 12 ชั่วโมง อาจจะเคลมโดยใช้ผลทดสอบความเสถียรของสารกันแดดว่าคงอยู่ได้นานเท่าไหร่บนเครื่องมือทดสอบ แต่ไม่ได้หมายความว่าในการใช้งานจริงกันแดดจะปกป้องผิวเราได้นานขนาดนั้น เพราะถ้ากันแดดมันละลาย เลื่อน หลุด ก็จะด้อยประสิทธิภาพลง ต้องทาซ้ำอยู่ดี โดยหากทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีเหงื่อ หรือโดนน้ำ เราต้องทากันแดดซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
นอกจากนี้การศึกษาพบว่าการทากันแดดอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอหากคุณไม่ต้องการเป็นมะเร็งผิวหนัง การหลบเลี่ยงแดด กางร่ม และหาร่มเงาเท่าที่จะทำได้ การงดออกกลางแจ้งในช่วงที่มีรังสี UVB เข้มข้น (ช่วงเที่ยงวัน)
(Source :
Sunscreen is not enough to prevent deadly skin cancer
)
กันแดดที่บอกว่าปกป้องผิวได้ทันทีไม่ต้องรอ 20 นาที นี่ทำได้จริงหรือ?
ตามหลักสากลโลกนั้น การทากันแดดควรรอ 20 นาทีก่อนไปสัมผัสแดด
เหตุผลเพราะว่าเมื่อเราทากันแดดลงไปบนผิวนั้น ต้องใช้ระยะเวลาให้ฟิลม์ของกันแดดแห้งเซ็ทตัวดีก่อนที่จะมีประสิทธิภาพในการกันแดดได้ดีที่สุด (ย้ำว่ากันแดดที่เซ็ทตัวบนพื้นผิว ไม่ได้ต้องซึมลงไปในผิว)
กันแดดที่เคลมว่าปกป้องผิวได้ทันทีที่ทานั้น อาจจะใช้ส่วนผสมของสารกันแดดแบบ Inorganic หรือ Physical Sunscreen ที่เราคุ้นเคยอย่าง Titanium Dioxide และ Zinc Oxide ซึ่งทำหน้าที่ที่ในการสะท้อนและกระเจิงแสง (การศึกษาใหม่ ๆ พบว่ามันทำหน้าที่ดูดซับด้วย) ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ทำได้ทันทีก็จริง แต่การเซ็ทตัวของฟิลม์กันแดดที่สมบูรณ์จะทำให้การเรียงตัวของอนนุภาคเหล่านี้แน่นขึ้นและปกป้องผิวได้ดีกว่าการทาลงไปใหม่ๆ อยู่ดี
ดังนั้นเพื่อความชัวร์ จงรอ 20 นาทีก่อนไปออกแดด
เราต้องทากันแดดในปริมาณเท่าไหร่จึงจะเหมาะ?
การทาครีมกันแดดเพื่อให้ได้การปกป้องที่ดีที่สุดก็คือ ต้องใช้กันแดดในปริมาณที่แนะนำ 2 mg/cm2 ซึ่งทั่วใบหน้าเราจะใช้ปริมาณเฉลี่ย 1.5ml หรือปริมาณมากกว่า 1/4 ช้อนชานิดหน่อย
ถ้าไม่อยากใช้ช้อนตวง ก็ใช้กันแดดปริมาณ 2 ข้อนิ้ว สำหรับกันแดดเนื้อครีมหรือเนื้อที่ค่อนข้างอยู่ตัวหน่อย สำหรับกันแดดที่เหลวเป็นน้ำให้ทาด้วยปริมาณเท่าเหรีญ 5 บาท 2 เหรียญ
การแบ่งกันแดดเป็นสองส่วนโดยทาส่วนแรกและรอให้เซ็ทตัวเล็กน้อยก่อนที่จะทาส่วนที่สองซ้ำนั้นจะะเป็นการทำให้เราได้ปริมาณของกันแดดที่ใกล้เคียงกับปริมาณที่แนะนำที่สุดจากการศึกษา ซึ่งนี่เป็นวิธีที่ปูเป้ใช้ประจำในชีวิตประจำวัน โดยทากันแดดส่วนแรกทั่วใบหน้า และส่วนที่สองนั้นจะทาเน้นตรงจุดที่เป็นไฮไลท์ของผิวอย่างหน้าผาก โหนกแก้ม จมูก คาง ซึ่งเป็นจุดที่รับแสงมากและมักจะเกิดปัญหาจุดด่างดำและไหม้แดดได้ง่ายกว่าจุดอื่น ๆ
หากใครที่ทากันแดดในปริมาณที่น้อยกว่านี้ ค่ากันแดดที่ได้จะเหลือเท่าไหร่นั้น ปัจจุบันยังมีข้อมูลที่ขัดแย้งกันอยู่ ซึ่งผู้อ่านทุกคนต้องนำข้อมูลไปตัดสินกันเอาเองว่าจะเชื่อแบบไหน
(Source :
Relationship between sun-protection factor and application thickness in high-performance sunscreen: double application of sunscreen is recommended.
)
บทสรุป
เป็นที่แน่ชัดว่าคนทั่วไปทากันแดดในปริมาณที่น้อยกว่าที่แนะนำ 2 - 4 เท่า เนื่องจากความเข้าใจของผู้บริโภคที่มีต่อการใช้กันแดดนั้นยังไม่ดีพอ แต่ปัจจุบันเรามีความเข้าใจเรื่องของการใช้กันแดดที่ดีขึ้น เข้าใจถึงความสำคัญของปริมาณที่มีผลต่อค่า SPF ที่ได้จริง (อย่างน้อยอ่านมาหมดนี่ก็ต้องรู้แล้วป่ะ?)
ในอดีตนั้นกันแดดมีเนื้อที่หนัก เหนียว ทำให้ผิวมัน หรือไม่ก็ทำให้ผิวขาวลอย ทำให้การทากันแดดในปริมาณที่แนะนำนั้นอาจจะทำไม่ได้ในชีวิตจริง แต่เทคโนโลยีของเครื่องสำอางและสารกันแดดในปัจจุบันนั้น ทำให้ผลิตภัณฑ์กันแดดก้าวข้ามขีดจำกัดเหล่านี้ไปได้ กันแดดยุคใหม่นั้นสามารถมอบเนื้อสัมผัสที่ทางเบา ไม่เหนอะหนะ ติดผิวได้ทนนาน ไม่ทำให้ผิวขาวลอย ทำให้การทากันแดดในปริมาณที่แนะนำนั้นไม่ได้ยากเย็นหรือเป็นเพียงเรื่องในอุดมคติอีกต่อไป ปัจจัยที่เหลือคงเป็นเรื่องของราคา ซึ่งก็น่าดีใจที่เดี๋ยวนี้ก็มีกันแดดคุณภาพดี เนื้อสัมผัสเลิศในราคาที่ไม่สูงจนเกินไปมาให้เลือกใช้กันมากขึ้น
ก็หวังว่าบทความนี้จะทำให้เราเข้าใจเรื่องของ SPF และเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องทากันแดดในปริมาณที่เยอะพออีกด้วยนะจ๊ะ ขอให้ทุกคนสนุกท่ามกลางแสนอาทิตย์อย่างปลอดภัย กลับมาตัวไม่ไหม้ ยังสวยฉ่ำหล่อเฟี้ยวเหมือนเดิมทุกคน
ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเลือกครีมกันแดดที่น่าสนใจตามนี้จ้า
-
Skincare Basic #11-1 :Sun Survival Tips for Healthy Skin
-
Skincare Basic #11-2 : Sunscreen Ingredients - Part1
-
Skincare Basic #11-2 : Sunscreen Ingredients - Part2
-
Skincare Basic #11-3 : 5 'S' For Selecting Sunscreen
-
Skincare Basic #11-4 : How to use Sunscreen / Misleading Claims / Sunscreen FAQs
Create Date : 12 เมษายน 2558
Last Update : 15 เมษายน 2558 15:27:42 น.
9 comments
Counter : 48009 Pageviews.
Share
Tweet
เข้ามา้เพราัรูปค่ะพี่
โดย: ตามหารองเท้าแก้วที่หายไป IP: 203.144.144.172 วันที่: 14 เมษายน 2558 เวลา:15:47:22 น.
ข้อมูลเน้นมัก อ่านเพลินเลย
โดย: R.Thanasak IP: 49.230.163.135 วันที่: 16 เมษายน 2558 เวลา:13:44:32 น.
ชอบข้อมูลคุณปูเป้มากค่ะ
มีหา article from Pubmed ด้วย
อ่านแล้วเพลิน แถมฐานข้อมูลแน่น
พอดีเรียนทางสายสุขภาพอยู่แล้ว
แต่ไม่มีเวลามานั่งรีวิวส่วนประกอบเครื่องสำอางเอง
ขอบคุณจริงๆค่ะ :D
โดย: เตย IP: 171.96.177.21 วันที่: 6 พฤษภาคม 2558 เวลา:12:44:24 น.
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ
โดย: หนิง IP: 94.23.252.21 วันที่: 21 พฤษภาคม 2558 เวลา:15:53:00 น.
ข้อมูลแน่นจริงและมีประโยชน์มาก ขอบคุณค่ะ
โดย: KunnuChinn IP: 182.255.9.56 วันที่: 25 พฤษภาคม 2558 เวลา:11:45:29 น.
ข้อมูลแน่น น่าติดตามมาก ๆ เลยค่ะคุณปูเป้ ขอบคุณมากเลยนะคะ ^____^
โดย: claire IP: 103.10.228.239 วันที่: 6 กรกฎาคม 2558 เวลา:23:37:15 น.
อยากทราบวิธีการวัดค่า PA ค่ะ
โดย: k IP: 110.168.168.84 วันที่: 21 กันยายน 2558 เวลา:11:11:16 น.
สุดยอดมากค่ะ เด็กวิทย์อย่างเรานับถือ ข้อมูลมีpaperแบคอย่างดีค่ะ
โดย: pat n. IP: 171.96.182.250 วันที่: 4 ตุลาคม 2558 เวลา:10:35:27 น.
www.facebook.com/sunscreen.idol
โดย: mangpor IP: 1.47.163.65 วันที่: 3 ธันวาคม 2559 เวลา:21:10:07 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
PuPe_so_Sweet
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1829 คน [
?
]
Advertisement
หากมีคำถามหรือต้องการคำปรึกษา
สามารถทิ้งคำถามไว้ได้ที่หน้า Wall ของ Facebook ครับ
Web Counter
Counter Start on 29 September 2008
Search by Google
ค้นหาข้อมูลและรีวิวผลิตภัณฑ์ที่ต้องการภายในBlog ของปูเป้ได้ไม่ยากด้วย Google Search Box ด้านล่างนี้เลยขอรับ
Custom Search
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add PuPe_so_Sweet's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.