อะไรเป็นสุขอะไรเป็นทุกข์
เรื่องของการมาเกิดของพวกเรา
พวกเรามาตัวเปล่าๆ ด้วยกัน
มีสิ่งที่ติดตัวมาในใจเราก็คือบุญหรือบาป
บุญก็คือนิสัยที่ดี บาปก็คือนิสัยที่ไม่ดี
คนที่ชอบกินเหล้าก็ติดนิสัยไม่ดีมาติดตามมา
คนที่ชอบฆ่าสัตว์ลักทรัพย์นี่ก็ติดนิสัยบาปมา
คนที่ชอบทำบุญก็ติดนิสัยดีมา
คนที่ชอบศึกษาหาความรู้ก็เป็นนิสัยดี
คนที่ชอบรักษาศีลก็นิสัยดี
คนที่ชอบนั่งสมาธิทำใจให้สงบอันนี้ก็เป็นนิสัยดี
เคยทำอะไรมามันจะติดมากับใจผู้รู้ผู้คิดนี้
เรา ทำไมจึงทำอะไรแต่ละอย่าง
โดยที่ไม่ต้องมีใครบอกใครสอนเรา
ก็เพราะเราเคยทำอย่างนี้มาก่อนมันติดเป็นนิสัย
ทำไมเราจึงใช้มือขวากัน
อีกคนทำไมเขาถึงใช้มือซ้ายกัน
เพราะเขาเคยใช้มือขวามา
เขาก็ใช้มือขวาต่อไป
อีกคนเคยใช้มือซ้ายเขาก็ใช้มือซ้าย
เคยทำอะไรอย่างไรมันก็จะติดเป็นนิสัยมา
นิสัยดีก็เป็นบุญ นิสัยไม่ดีก็เป็นบาป
แล้วเราก็มาหาสิ่งต่างๆ
สิ่งที่เรามีเหมือนกันทุกคน
ที่ไม่ต่างกันก็คือความอยาก
หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย
ความอยากมีอยากเป็น
อยากได้ลาภยศสรรเสริญสุขนี้มีเหมือนกัน
ทุกคนก็เลยมาหาความสุข
ทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน
หาลาภยศสรรเสริญกัน
แล้วก็มาทุกข์กับลาภยศสรรเสริญ
มาทุกข์กับรูปเสียงกลิ่นรสเวลาที่มันหมด
เวลาที่มันหายไปจากเราไป
นี่คือความหลง ความไม่รู้ว่าลาภยศสรรเสริญ
รูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ นี้มันเป็นทุกข์
ทุกข์เพราะว่ามันต้องหมด
ทุกข์เพราะว่ามันเป็นของชั่วคราว
เวลาที่เราสูญเสียลาภยศสรรเสริญ
สูญเสียรูปเสียงกลิ่นรสเราก็ทุกข์กัน
หรือเวลาที่เราสูญเสียความสามารถทางร่างกาย
ร่างกายไม่สามารถตอบสนอง
ความต้องการตามความอยากของเราได้
เราก็ทุกข์กัน เวลาเราแก่เวลาเราเจ็บเวลาเราตาย
เราจะไม่สามารถหาความสุข
ทางตาหูจมูกลิ้นกายได้
ไม่สามารถหาลาภยศสรรเสริญได้ เราก็ทุกข์กัน
แต่เราก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นทุกข์กัน
พอเรามีโอกาสเมื่อไหร่เราก็จะหามันเมื่อนั้น
หามาได้เท่าไหร่หมดไปเท่าไหร่เราก็ไม่เคยเข็ด
หมดก็หาใหม่ หาใหม่อยู่เรื่อยๆ
หามาได้เท่าไหร่เดี๋ยวก็หมดไปอีก
เวลาหมดก็เสียอกเสียใจ
แต่มันอยู่แบบขาดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
ขาดลาภยศสรรเสริญ
รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะไม่ได้
เพราะใจมันต้องมีความสุขหล่อเลี้ยง
มันก็รู้จักวิธีหาความสุขแบบนี้แบบเดียวเท่านั้น
คือวิธีหาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
หาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ
ต่อให้มันสูญเสียหมดไปเท่าไหร่มันก็หาไปเรื่อยๆ
จนกว่ามันหาไม่ได้จริงๆ เท่านั้นมันก็ยอมแพ้
หรือไม่เช่นนั้นก็ฆ่าตัวตายไป
เมื่อมันอยู่แล้วมันไม่สามารถใช้ร่างกาย
หาความสุขได้ ก็ไม่อยากจะมีร่างกายอันนี้
ก็ต้องกำจัดร่างกายอันนี้เองด้วยการฆ่าตัวตายไป
แต่การฆ่าตัวตายมันไม่ได้เป็นการแก้ต้นเหตุ
ที่เป็นเหตุให้เราทุกข์กัน
เพราะต้นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ก็คือความอยาก
ที่จะใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ
ถ้าเราจะแก้ปัญหาเราต้องมาหยุดที่ความอยาก
อยากได้ลาภยศสรรเสริญ
อยากเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
ถ้าเราไม่มีความอยากเหล่านี้เราก็ไม่ต้องใช้ร่างกาย
ร่างกายจะไม่มีความสามารถที่จะหาลาภยศสรรเสริญ
หารูปเสียงกลิ่นรส ใจก็ไม่เดือดร้อน
ใครล่ะที่ทำอย่างนี้ได้ ก็พวกนักบวช
พวกนักบวชเขามีสัมมาทิฏฐิ เขามีปัญญา
เขารู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ เขารู้ว่าอะไรเป็นสุข
เขารู้ว่าวิธีหาความสุขที่ไม่เป็นทุกข์
คือการทำใจให้สงบ ฝึกสมาธิ
ใช้สติหยุดความคิดหยุดความอยาก
พอหยุดความคิดหยุดความอยากได้
ใจก็สงบมีความสุข
ไม่มีความอยากต้องใช้ร่างกาย
ไปหาลาภยศสรรเสริญ
ไปหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
เขาก็เลยไม่ต้องมีร่างกายไม่ต้องใช้ร่างกาย
ร่างกายแก่ก็ไม่เป็นปัญหา
เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่เป็นปัญหา ตายก็ไม่เป็นปัญหา
เพราะเขาสามารถมีความสุขได้
โดยไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นทางเป็นเครื่องมือ
แต่พวกที่ใช้ร่างกายก็จะเดือดร้อน
เวลาที่ร่างกายไม่สามารถหาความสุขให้กับใจได้
นี่แหละคือผู้ที่รู้ความจริงว่า
อะไรเป็นสุขอะไรเป็นทุกข์
ก็คือบรรดานักบวชทั้งหลาย
มีพระพุทธเจ้านี่แหละเป็นหัวหน้าของนักบวช
ผู้ที่ได้ค้นพบความจริงว่าสิ่งที่เราหากันทุกวันนี้
ลาภยศสรรเสริญ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
นี้มันเป็นทุกข์ และสิ่งที่เป็นสุขก็คือความสงบของใจ.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
................................
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ