Group Blog
All Blog
<<< "โชคมหาศาลของการเกิดเป็นมนุษย์" >>>









“โชคมหาศาลของการเกิดเป็นมนุษย์”

ชีวิตของพวกเราที่อยู่โดยไม่มีพระพุทธศาสนา

เป็นผู้สอนเป็นผู้นำทาง ชีวิตของเรานี้

จะวนเวียนอยู่กับเรื่องวุ่นวายต่างๆ อยู่ตลอดเวลา

อยู่กับการแสวงหาสิ่งต่างๆ ที่เราอยากได้

ได้มาแล้วเดี๋ยวเราก็ต้องสูญเสียมันไป

 หรือแสวงแล้วไม่ได้ก็เสียใจ

 ได้มาแล้วเสียไปก็ต้องเสียใจ

สรุปแล้วก็คือชีวิตของเรามีแต่เรื่องวุ่นวายใจ

 เรื่องเสียใจเรื่องไม่สบายใจเลยอยู่เรื่อยๆ

 แต่ถ้าเราได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

 พระพุทธศาสนานี้จะสอนให้พวกเรารู้ว่า

 วิธีดำเนินชีวิตของพวกเราอย่างถูกต้อง

เพื่อทำให้พวกเรานี้ไม่วุ่นวายใจไม่เสียใจไม่สบายใจนี้

 เขาทำกันอย่างไร ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนานี้

 พวกเราต้องอยู่แบบวุ่นวายใจ อยู่แบบเสียใจ

อยู่แบบไม่สบายใจอย่างนี้ไปเรื่อยเรื่อยๆ

 ตายไปก็จะกลับมาเกิดใหม่ต่อ แล้วก็มาวุ่นวายใจ

ไม่สบายใจต่อ ทำอย่างนี้

มาเป็นเวลาอันยาวนานแล้ว

 และจะทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

 เพราะนี่คือเรื่องของวัฏสงสาร

 คือวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง

 ที่พวกเรามาติดกันอยู่โดยที่พวกเราไม่รู้สึกตัว

 เราไม่รู้ว่าเรากำลังเป็นนักโทษ

ที่เราถูกขังอยู่ในคุกตะราง

ที่มีกำแพงกั้นอยู่ ๔ ด้านด้วยกัน

กำแพงด้านที่หนึ่งเรียกว่า “เกิด”

กำแพงด้านที่สองเรียกว่า “แก่”

กำแพงด้านที่สามเรียกว่า “เจ็บไข้ได้ป่วย”

และกำแพงด้านที่สี่เรียกว่า “ตาย”

นี่คือคุกตะรางของพวกเราที่พวกเราติดกันมา

อยู่อย่างเป็นเวลาอันยาวนาน

และจะติดอยู่ในคุกตะรางอย่างนี้ไปไม่มีวันสิ้นสุด

 ถ้าเราไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนา

การที่เราได้มาพบกับพระพุทธศาสนานี้

จึงถือว่าเป็นโชคมหาศาล เพราะโอกาสจังหวะ

ที่เราจะได้มาพบกับพระพุทธศาสนานี้

ไม่ใช่เป็นของที่ปรากฏขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

เพราะ หนึ่ง พระพุทธศาสนานี้

นานๆ ถึงจะปรากฏขึ้นมาในโลกได้สักครั้งหนึ่ง

เพราะนานๆ จะมีผู้มาก่อตั้งพระพุทธศาสนา

 คือพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นมาได้สักครั้งหนึ่ง

การปรากฏของพระพุทธเจ้านี้จะใช้เวลาอันยาวนาน

 กว่าจะมีพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นมาได้สักครั้งหนึ่ง

 เวลาที่เรียกว่าเป็นกัปเป็นกัลป์

คำว่า “กัป” นี้เราไม่สามารถนับได้ด้วยตัวเลข

 เขียนได้ด้วยตัวเลข เช่นร้อยล้านแสนล้านนี่

เรายังพอประมาณกันได้

 แต่กัปนี้มันเลย มากไปกว่าร้อยล้านแสนล้าน

 นั่นคือระยะเวลาว่างจากพระพุทธเจ้าแต่ละองค์

จะเป็นเวลาเป็นกัปด้วยกัน

พระพุทธเจ้านี้ไม่มีเพียงองค์เดียว

 พระพุทธเจ้านี้มีปรากฏในโลกนี้อยู่เรื่อยๆ

 แต่เพียงแต่นานๆ มาสักครั้งหนึ่ง

และนานๆ จะมีพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว

ประกาศพระธรรมคำสอน

ก่อตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นมา

 การที่เราจะมาเกิดเป็นมนุษย์

 เราก็ไม่แน่ว่าทุกครั้งที่เรามาเกิดนี้

จะมาเกิดในจังหวะที่มีพระพุทธศาสนาหรือไม่

เพราะว่าแม้พระพุทธศาสนาเองเมื่อปรากฏแล้ว

 ก็อยู่ไปไม่นาน บางศาสนาก็ ๕,๐๐๐ ปี

 บางศาสนาก็ ๕๐,๐๐๐ ปี แล้วแต่ความสามารถ

ของผู้ที่รักษาพระพุทธศาสนาว่า

จะรักษาได้นานหรือไม่นาน

ศาสนาของพระพุทธเจ้าบางองค์ก็ยาวกว่า ๕,๐๐๐ ปี

 บางองค์ก็สั้นกว่า ๕,๐๐๐ ปี

การที่เราจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์

และมาเจอกับพระพุทธศาสนาพร้อมๆ กันนี้

จึงเป็นโอกาสที่ยากมาก เพราะการมาเป็นมนุษย์

ก็ยากพอสมควร กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์นี้

มันยากกว่าการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

 สัตว์เดรัจฉานเขาออกลูกที่เป็นฝูง

 ปลาเป็นฝูง แมลงเป็นฝูง

แต่มนุษย์นี้ออกทีละคนสองคนเท่านั้นเอง

ก็ลองดูปริมาณของมนุษย์

กับปริมาณของสัตว์เดรัจฉานที่อยู่ในโลกนี้

ว่าใครมีจำนวนมากกว่ากัน

มนุษย์เรามีแค่หกเจ็ดพันล้านคน

 แต่สัตว์ที่อยู่ในป่านี้

อาจจะมีหกเจ็ดแสนล้านๆ ตัวก็ได้

 ถ้าเรานับพวกมดแมลง สัตว์เลื้อยคลาน

 มดแล้วก็พวกมีปีกต่างๆ

เพราะฉะนั้นการเกิดเป็นมนุษย์ยากมาก

 แล้วการมาเกิดเป็นมนุษย์

แล้วมาพบกับพระพุทธศาสนาก็ยากสองเท่า

 เพราะการเกิดของพระพุทธศาสนาก็ยาก

การเกิดเป็นมนุษย์ก็ยาก ก็เลยคูณสองเข้าไป

 เพราะว่าถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ไม่เจอพระพุทธศาสนา

ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

 เราก็จะไม่รู้เรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดของพวกเรา

 เราจะไม่รู้ว่าวิธีทำให้พวกเราหลุดพ้น

จากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา

หรือในทางตรงกันข้าม

ถ้าเรามาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

แล้วมาพบกับพระพุทธศาสนา

 เราก็ไม่สามารถรับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาได้

 เพราะสัตว์เดรัจฉานนี้

ไม่สามารถเข้าใจภาษาของมนุษย์ได้

อย่างสัตว์ที่อยู่ในป่านี้ เขาอยู่ในป่ามาตลอด

 อยู่ทั้งวันทั้งคืนแต่เขาไม่รู้เรื่องของศาสนาเลย

เขาไม่รู้ว่าพวกเรากำลังมาฟังอะไรกัน

 เขาก็อยู่กับเราแต่เขาไม่ได้รับประโยชน์

จากการที่เขาได้เข้ามาอยู่กับพระพุทธศาสนา

ได้ก็เพียงแต่ได้ความร่มเย็นความปลอดภัยจากศาสนา

เพราะศาสนาสอนให้ไม่เบียดเบียนกัน

 สัตว์ที่อยู่บนนี้จึงปลอดภัยเพราะไม่มีใครมาทำร้าย

ถ้าไม่มีศาสนาก็อาจจะมีนักล่าสัตว์ขึ้นมาล่าสัตว์กันได้

 แต่พอมีศาสนาก็มีการห้ามปรามมีการสอนกันว่า

 การฆ่ากันนี้ไม่ควรไม่ถูก ไม่เป็นประโยชน์ เป็นโทษ

ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ก็จะได้รับประโยชน์เพียงเท่านี้

คือจะได้รับความปลอดภัย ได้อยู่ในเขตอภัยทาน

 ไม่มีการฆ่ากัน แต่จะไม่ได้รับประโยชน์

จากการศึกษาจากการปฏิบัติ

ที่จะนำพาจิตใจให้หลุดพ้นออกจากกองทุกข์

แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้

จำเป็นจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น

 นี่พวกเราจึงถือว่าเป็นพวกที่โชคดีมหาศาล

ได้เกิดเป็นมนุษย์และได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

 ได้มาเรียนรู้เรื่องของเราว่าเราเป็นใครกันแน่

 เราเป็นร่างกายหรือเราเป็นจิตใจ

เวลาที่ร่างกายตายไปแล้ว

เราสูญไปกับร่างกายหรือเปล่า

 อันนี้ถ้าเราไม่ได้มาเรียนจากพระพุทธศาสนานี้

เราจะคิดว่าเราสูญไปกับร่างกาย

 เพราะเราคิดว่าเราเป็นร่างกาย ร่างกายเป็นเรา

แต่ถ้าเรามาเรียนจากศาสนา ท่านจะสอนว่า

เราไม่ได้เป็นร่างกาย ร่างกายไม่ได้เป็นเรา

 ร่างกายเป็นตุ๊กตาที่เราได้รับมาจากพ่อแม่

เพื่อที่เราจะได้เอาตุ๊กตาตัวนี้มารับใช้เรา

เราอยากจะดูอะไรเราก็ต้องอาศัยตุ๊กตาตัวนี้พาเราไปดู

 เราอยากจะฟังอยากจะกินอยากจะดื่มอะไร

 เราก็ต้องอาศัยตุ๊กตาตัวนี้พาเราไปดูไปฟังไปกินไปดื่ม

 แต่เราไม่ได้เป็นตุ๊กตาตัวนี้ เวลาตุ๊กตาตัวนี้ตายไป

เราไม่ได้ตายไปกับมัน แต่เรายังต้องไปเกิดต่อ

ถ้าเรายังไม่ได้มาห้ามเหตุที่จะพาให้เราไปเกิด

 กำจัดเหตุที่จะพาให้เราไปเกิด

เหตุที่พาให้พวกเราไปเกิด

พวกเราก็ไม่รู้กันอีกว่าเป็นอะไร

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงตรัสรู้

 เราก็จะไม่รู้ว่าเหตุที่พาให้พวกเราไปเกิดกันอยู่เรื่อยๆ

 ก็คือ กามตัณหา ภวะตัณหา วิภวตัณหานี่เอง

 ความอยากได้ลาภยศสรรเสริญสุข

 ความอยากได้ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

และความอยากไม่สูญเสียลาภยศสรรเสริญสุขไป

 ความอยากทั้งสามตัวนี้มันจะพาให้เรา

ต้องคอยไปมีร่างกายอันใหม่อยู่เรื่อยๆ

 เพราะความอยากนี้จะไม่ได้หมดสิ้นไป

จากการที่เราทำตามความอยากกัน

การทำตามความอยากนี้เป็นการเลี้ยง

หรือเป็นการสนับสนุนให้ความอยากนี้อยู่ไปเรื่อยๆ

 อยู่ไปนานๆ ถ้าเราไม่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

 เราจะไม่รู้ว่าวิธีหยุดการไปเกิดแก่เจ็บตายได้นี้

 ต้องหยุดด้วยอะไรและหยุดอะไร

 ถ้ามาเจอศาสนาเราก็จะรู้ว่า

เราต้องมาหยุดความอยากกัน

 หยุดกามตัณหา ภวะตัณหา วิภวตัณหากัน

 และสิ่งที่เราจะใช้ในการหยุดก็คือ “มรรค”

มรรคก็คือทางสู่การดับทุกข์

 ทางสู่การละกิเลสและความอยากต่างๆ นั่นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาาพค่ะ




Create Date : 27 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2561 21:14:34 น.
Counter : 467 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ