Group Blog
All Blog
<<< "ธาตุรู้" >>>










“ธาตุรู้”

สิ่งที่เราจะทำให้กับผู้อื่นได้

ก็คือคอยประคับประคองคอยสนับสนุน

ให้เขาไปในทางบุญทางกุศล

 ถ้าเขารับได้ก็เป็นบุญของเขา แสดงว่าเขามีบุญ

 ถ้ารับไม่ได้ก็เหมือนกับไม่มีภาชนะมารองรับอาหาร

ที่เราจะตักให้เขา ถ้ามีแต่มือ

ก็รับได้แค่ที่มือของเขาจะรับได้

 ปัญหาจริงๆมันไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่เรา

เราลืมไปว่าเรากำลังวุ่นวายใจ

 กำลังสร้างความทุกข์ให้กับเรา เราลืมมองตัวเรา

 มัวแต่ห่วงคนอื่นมากจนเกินไป

 ระหว่างใจเรากับร่างกาย

 เราก็เป็นห่วงร่างกายมากกว่าใจของเรา

 แทนที่จะปล่อยร่างกายไปตามสภาพของมัน

 คือไม่ได้ปล่อยแบบทิ้งไปเลย

แต่ให้มันทำหน้าที่ของมัน

 เรามีหน้าที่ดูแลก็ดูแลไป

 ร่างกายก็เหมือนรถยนต์คันหนึ่ง

 ถึงเวลาเติมน้ำมันก็เติม ถึงเวลากินข้าวก็กิน

 ถึงเวลาเข้าอู่ซ่อมก็เข้าอู่ซ่อม

 ถึงเวลาเข้าหาหมอเข้าโรงพยาบาลก็เข้าไป

 ซ่อมได้ก็ซ่อมไป รถก็เหมือนกัน

บางครั้งซ่อมได้ก็ซ่อมไป ซ่อมไม่ได้ก็ขายทิ้งไป

 เปลี่ยนใหม่ดีกว่า ถ้ามีเงินมาก

ก็ได้ซื้อรถที่ดีกว่าคันเก่า

 ไม่ต้องเสียดายคันเก่า มีรุ่นใหม่ๆให้เลือก

ส่วนจิตไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย

 เคยเป็นอย่างไรก็ยังเป็นเหมือนเดิม

 แต่ร่างกายจะค่อยๆหมดแรงไป

ก็ปล่อยมันเป็นไปตามความเป็นจริง

 เดินไม่ได้ก็นั่ง นั่งไม่ได้ก็นอน

หายใจไม่ได้ก็ไม่ต้องหายใจ

คอยดูลมหายใจเข้าออกเท่านั้นก็พอ

 ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องอื่น ให้อยู่กับปัจจุบัน

นี่คือวิธีรักษาใจไม่ให้ตกนรก

 ไม่ให้วุ่นวาย ไม่ให้ทุกข์

 เพราะใจไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย

 เพราะใจไปห่วงร่างกายมากกว่าห่วงใจ

 ก็เลยไม่ได้ดูแลใจ จึงวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา

แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเรามองไม่เห็นใจ

ส่วนใหญ่จะมองที่กายอย่างเดียว

 เวลาใจเป็นอะไรจึงไม่ค่อยเห็น

 พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เรามีสติ

อยู่ที่เวทนา อยู่ที่จิต ให้ดูอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

 ว่าเป็นอย่างไร ฟุ้งซ่าน วุ่นวาย สงบ หรือไม่

 สิ่งที่เราไปเกี่ยวข้องด้วย

 เราก็ต้องรู้ขอบเขตของเขา ว่าเป็นอย่างไร

 ทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตไปเกี่ยวข้องด้วย

ล้วนเป็นไตรลักษณ์ทั้งสิ้น

 อย่างวันก่อนที่โยมถามว่าธาตุที่ ๕ คืออะไร

 ก็คือธาตุรู้ คือจิต ส่วนธาตุ ๔ นั้น

ก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ

ในรูปแบบต่างๆ ต้นไม้ก็เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ

ร่างกายของเราก็เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ

 ต่างตรงที่ว่าต้นไม้ไม่มีจิตเข้าไปครอบครอง

เป็นเจ้าของ ส่วนร่างกายมีจิตเข้ามาครอบครอง

 แต่มันก็เป็นการมารวมกันของธาตุ ๔ หรือ ธาตุ ๕

 ถ้าเป็นสัตว์ เป็นบุคคลก็มี ๕ ธาตุมารวมกัน

 ถ้าเป็นต้นไม้ใบหญ้าก็มีธาตุ ๔ รวมกัน

แล้วก็ต้องแยกจากกันไป นี่เป็นธรรมชาติของธาตุ

 มันไม่นิ่ง ไม่เสถียร มีการรวมตัว

และมีการแยกกันอยู่ตลอดเวลา

 เมื่อส่วนที่จะแยกมีกำลังมากกว่าส่วนที่จะรวม

 ก็ต้องแยกตัวออกจากกันไป

ตอนเริ่มต้นส่วนที่จะรวมมีกำลังมากกว่า

ก็ดึงให้ธาตุมารวมกันให้เป็นรูปเป็นร่างต่างๆ

ทีนี้ปัญหาก็คือธาตุรู้ คือจิตหรือใจนี่ไม่รู้จริง

ไม่มีปัญญา ถ้าไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็จะไม่รู้ว่า

 ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่ดิน น้ำ ลม ไฟ

เป็นธาตุ ๔ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

 ถ้าไปหลงไปยึดไปติด ก็ต้องเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

 เพราะว่าเวลาได้มาก็ดีใจ

เวลาเสียไปก็เสียใจ ทุกข์ใจ

มันก็ไม่ยากเย็นอะไรถ้าเข้าใจหลักที่ว่า

 พยายามรักษาใจด้วยธรรมะ คือศีล สมาธิ ปัญญา

 หรือทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นเครื่องรักษาใจ

เป็นเหมือนยา ที่พูดนี้เราพูดเรื่องปัญญา

 ปัญญาก็มีสมาธิเป็นเครื่องสนับสนุน

สมาธิก็ต้องมีศีล มีทานเป็นเครื่องสนับสนุน

ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะเป็นปัญญาแบบสักแต่ว่าฟัง

ฟังได้คิดได้ แต่ทำไม่ได้

 เพราะมันไม่มีจุดปลงวาง

 จุดที่จิตปลงวางก็คือสมาธินั่นเอง

 ถ้าอยู่ในจุดที่ไม่สงบ มันก็ปรุงแต่ง

พอปรุงแต่งก็จะมีอุปาทาน มีตัณหา

ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย

 ถ้าทำจิตให้สงบมันก็คิดไม่ได้ ปรุงไม่ได้

 ตัณหาก็ทำงานไม่ได้ อุปาทานก็ทำงานไม่ได้

 ถ้าทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง

ต่อไปก็จะมีความสงบที่ต่อเนื่อง

เบื้องต้นจะสงบเป็นระยะๆ เป็นเวลาๆ นั่งทีก็สงบที

 พอออกจากสมาธิมันก็คิดปรุงต่อ

 กลับไปยึดไปอยาก ถ้าทำให้มันสงบอยู่เรื่อยๆ

ทั้งในขณะที่นั่งและไม่ได้นั่ง

คือเวลาที่ไม่ได้นั่งก็ต้องควบคุมสังขารความคิดปรุง

 อย่าปล่อยให้มันไปคิดเรื่อยเปื่อย

ให้อยู่กับพุทโธๆๆไปก่อน ให้มันสงบ ให้มันนิ่ง

 แม้ในขณะที่มีความจำเป็นที่จะต้องทำภารกิจต่างๆ

 ก็ยังภาวนาได้ พุทโธๆๆไป ไม่ว่าจะทำอะไร

 เช่นกินข้าวก็พุทโธๆๆไป

ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของร่างกายมากจนเกินไป

 ร่างกายมันไม่สนใจตัวมันเอง

มันไม่มีความรู้สึกตัว มันไม่มีความรู้

มันเป็นเหมือนกระติกน้ำใบหนึ่ง

มันไม่รู้ว่ามันดีมันชั่ว มันจะแตกมันจะเสียเมื่อไร

 เป็นอย่างไรมันไม่รู้ ใจผู้รู้มันหลงมันอยาก

 ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย เป็นปัญหาของใจ

 ต้องปฏิบัติเพื่อละความอยากนี้ให้ได้

 มันไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย

 ถ้าไม่ได้ปฏิบัติมันก็ยาก

นอกจากคนที่เคยปฏิบัติมาแล้ว มีพื้นฐานอยู่แล้ว

 พอฟังเทศน์พระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว

ก็ตัดได้ ทำใจได้

 เหมือนกับของที่เราหลงคิดว่าเป็นของเรา

 แต่ความจริงมันเป็นของคนอื่นเขา

 พอเขามาทวงคืน เราก็ไม่ยอมให้เขา

 เพราะคิดว่าเป็นของเรา

อย่างที่มีเด็กสลับกันอย่างนี้

ไปอยู่กับอีกครอบครัวหนึ่งตั้งสิบกว่าปี

เพราะคิดว่าเป็นลูกของตัวเอง

 ต่อมาเขาก็มาบอกว่าไม่ใช่

ถ้าทำใจได้ก็ตัดใจไปเลย

 ถ้าไม่ใช่ของเราก็เอาคืนไป

 ร่างกายเราก็แบบเดียวกัน

 เกิดมาเราก็คิดว่ามันเป็นของเรา

 แต่มาเจอพระพุทธเจ้าตรัสว่ามันไม่ใช่ของเรา

 ดูว่าใจเราจะเด็ดเดี่ยวพอไหม ตัดไปเลย

 เอาไปเลย มันไม่ใช่ของเรา

ปล่อยไม่ปล่อยเขาก็เอาคืนไปอยู่ดี

ถึงเวลาเขาก็เอาคืนไป ถ้าปล่อยมันก็สบาย ใจก็เบา

 ถ้าไม่ปล่อยก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ

กระสับกระส่ายว้าวุ่นอยู่ตลอดเวลา

พยายามหัดปลงๆไว้ว่ามันต้องไป มันไม่ใช่ของเรา

เหมือนเงินทองที่ญาติโยมวันนี้เอามาถวายพระ

 เงินนี้ก็ไม่ใช่ของเรา ที่ให้ทำทาน

ก็เป็นการหัดปลงหัดวาง ไม่ให้ยึดไม่ให้ติด

 ปลงได้แล้วใจมันสบาย ใจมันจะสงบ

 เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................................

กำลังใจ ๒๖, กัณฑ์ที่ ๒๕๑

วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 ตุลาคม 2561
Last Update : 21 ตุลาคม 2561 11:02:47 น.
Counter : 424 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ