Group Blog
All Blog
<<< "ปฏิญาณตนยึดพระพุทธองค์เป็นตัวอย่าง " >>>










"ปฏิญาณตน

ยึดพระพุทธองค์เป็นตัวอย่าง"

ก่อนที่จะได้ฟังธรรม

 ขอทุกท่านได้โปรดเตรียมนั่งสมาธิ

เพราะว่าเราจะมาฝึกอบรมสมาธิภาวนา

ผู้เทศน์ก็นั่งสมาธิเหมือนกัน

 บัดนี้เราได้ตั้งใจ ได้เตรียมการนั่งสมาธิ

ตามแบบและวิธีการ คือ ให้นั่งขัดสมาธิ

เอาขาขวาทับขาซ้าย

 มือขวาวางทับมือซ้ายไว้บนตัก

 ตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น

มีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้อยู่ที่จิต

 ทำจิตให้มีสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน

 และทำจิตให้มีความรู้สึกว่า

พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

อยู่ในจิตของเราแล้ว

 ดังนั้น เราจะสำรวมเอาเฉพาะจิตเท่านั้น

การฝึกหัดทำสมาธิ หรือการปฏิบัติสมาธิภาวนา

 เรามีความมุ่งหมายที่จะทำจิตให้สงบเป็นสมาธิ

 มีสติปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในธรรมะตามความเป็นจริง

 เพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยละกิเลสโลภ โกรธ หลง

 ที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา ดังนั้น ก่อนอื่น

เราจึงได้ปฏิญาณตนถึง

พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

 เสร็จแล้วก็ได้สมาทานศีล ๕ ศีล ๘

 ตามกำลังและความสามารถของตน

 พระไตรสรณคมณ์ที่เราปฏิญาณตนถึง

ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก เพราะเหตุว่า

พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลตัวอย่างแห่งการเสียสละ

 เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลผู้ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียน

ไม่ข่มเหง ไม่รังแก ดังนั้น เราจึงปฏิญาณตนถึง

โดยที่จะยึดเอาพระองค์เป็นตัวอย่าง

การฆ่าสัตว์ พระพุทธเจ้างดเว้นหมดแล้ว

 การลักทรัพย์ พระพุทธเจ้าก็งดเว้น

การประพฤติผิดอพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าก็งดเว้น

 มุสาวาทา พระพุทธเจ้าก็งดเว้น

 สุราก็งดเว้น การบริโภคอาหารในเวลาวิกาล

คือตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงตะวันขึ้นมาใหม่

พระองค์ก็งดเว้นแล้ว การดูการฟ้อนรำ การขับร้อง

 การประโคมดนตรี การดูการเล่นเป็นเสี้ยนหนาม

เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ การประดับ การตกแต่ง

ด้วยระเบียบของหอม ดอกไม้ เครื่องย้อม เครื่องทา

 พระพุทธองค์ก็ทรงงดเว้นโดยเด็ดขาดแล้ว

 การนอนที่นอนอันสูง ที่นอนอันใหญ่

 ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี พระองค์ก็งดเว้นขาดแล้ว

เพราะพระองค์เป็นผู้งดเว้นโทษดังที่กล่าวนั้น

 เราจึงปฏิญาณตนถึงเพื่อจะเลียนแบบพระองค์ท่าน

คือ จะประพฤติปฏิบัติด้วยความเป็นผู้งดเว้นเช่นเดียวกัน


ตัดกิเลสยังไม่ได้ ใช้ศีลข่มไว้ก่อน

เมื่อเรามีเจตนางดเว้นดังที่กล่าว เราจึงเป็นผู้มีศีล

 ทีนี้ศีลดังที่ได้สมาทานมาแล้วนั้น

เป็นวิธีการตัดทอนกำลังกิเลสโลภ โกรธ หลง

 เมื่อมีอยู่ในจิต เราไม่สามารถที่จะพิชิต

หรือขจัดให้มันออกไปจากจิตได้ทันทีทันใด

เมื่อโกรธจัด เรานึกถึงศีลข้อปาณาติบาต

ว่าพระพุทธเจ้าไม่ฆ่า

 เราใช้ขันติความอดทนสกัดกั้นเอาไว้

 ใช้ทมะ การข่ม การข่มจิตข่มใจไม่ละเมิด

เมื่อเกิดความโลภจัด เรานึกถึงศีลข้ออทินนาทาน

 ข่มจิตข่มใจเอาไว้ไม่ละเมิด เมื่อเกิดความรู้สึก

ที่จะละเมิดอพรหมจรรย์ หรือกาเมสุมิจฉาจาร

 เราก็นึกถึงศีลข้อที่ ๓ คือ อพรหมจริยา

 เราอดทน ใช้ขันติความอดทนข่มจิตข่มใจเอาไว้

 เมื่อนึกอยากจะโกหกหลอกลวง นึกถึงศีลข้อมุสาวาท

 เมื่อจิตของเรามัวเมาในสิ่งที่จะทำให้เราเสียผู้เสียคน

นึกถึงข้อสุรา เพื่อประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้เลี้ยงง่าย

มีอาหารวันละมื้อสองมื้อหรือแต่เช้าชั่วเที่ยง

ถ้านึกอยากจะละเมิด เราก็นึกถึงศีลข้อวิกาลโภชะ

 พระพุทธเจ้าท่านไม่บริโภคอาหารในเวลาวิกาล

 เวลานึกอยากสนุก อยากฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี

 หรืออยากดูอยากชม ก็นึกถึงศีลข้อนัจจะคีต์

 อยากประดับตกแต่งด้วยเครื่องตกแต่งต่างๆ

มีดอกไม้ ของหอม เครื่องย้อม เครื่องทา เป็นต้น

 เรานึกถึงศีลข้อมาลา ถ้าเราอยากจะอยู่บนที่นอนอันสูง

 ที่นอนอันใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้เราติดสุขจนเกินไป

 เราก็นึกถึงศีลข้ออุจจาสยนะ

เมื่อกิเลสทั้งหลายเกิดขึ้น เราไม่อยากจะละเมิดกิเลส

 ให้เรานึกถึงศีลที่ได้สมาทานมาแล้วนั้น

การที่กิเลสโลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น

 เรานึกถึงศีลดังที่กล่าวมาแล้ว เราไม่ละเมิดศีลข้อนั้นๆ

 ก็ได้ชื่อว่าเป็นการตัดทอนกำลัง

ของโลภ โกรธ หลง ให้น้อยลง

จงฝึกจิตฝึกใจ อาศัยความอดทนงดเว้นด้วยเจตนา

ในเมื่อโลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นมา

 เราไม่สนองความต้องการของมัน

 เราเอาศีลมาเป็นเครื่องสกัดกั้นเอาไว้

ก็ได้ชื่อว่าเป็นการขจัดกิเลสส่วนหยาบๆ

 ที่จะพึงล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา

เมื่อเรางดเว้นกิเลสหยาบๆ

 ด้วยกาย ด้วยวาจา ได้โดยเด็ดขาด

จนกระทั่งเจตนาความตั้งใจจะงดเว้น

กลายเป็นเรื่องคล่องตัว

 จนรู้สึกว่าเราไม่ได้ตั้งใจที่จะงดเว้นโทษนั้นๆ

 แต่เพราะอาศัยการงดเว้นที่คล่องตัว

ชำนิชำนาญจนเป็นนิสัย ทำให้เกิดพลังงาน

 ให้จิตมีความดูดดื่มในความดี

 มีแนวโน้มไปในทางที่เป็นบุญเป็นกุศล

จนเป็นนิสัยฝังลึกลงไปในจิต

เจตนาที่จะงดเว้นโทษนั้นๆ

ได้เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

ได้ชื่อว่าเป็นการตัดทอนกำลังของกิเลส

 หรือหักปีกหักหางของกิเลสให้มันอยู่

 แม้ว่ามันจะยังอยู่ในจิตใจ แต่เราไม่ทำอะไรตามคำสั่ง

หรือคำบงการของมัน ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้พยายาม

ที่จะขจัดโทษอย่างหยาบ

ที่จะล่วงเกินด้วยอำนาจของกิเลส

 ด้วยอำนาจแห่งศีล อันนี้คือข้อปฏิบัติ

จุดประสงค์ของการสมาทานศีล กิเลสโลภ โกรธ หลง

 ที่มีอยู่ในจิตของเรานั่น

 เราจะตั้งใจละเอา ๆ ๆ นั่น มันละไม่ได้


จากศีล มุ่งสู่สมาธิ

บัดนี้ ท่านทั้งหลายได้มาสมาทานศีล ๕ ศีล ๘

ตามชั้นตามภูมิ ตามความสามารถของตน

 ท่านมีกาย วาจา อันบริสุทธิ์สะอาด

เพราะไม่ละเมิดล่วงเกินศีลที่ได้สมาทานมาแล้ว

 และมีเจตนาอันบริสุทธิ์ที่จะปฏิบัติตามศีล

 งดเว้นโทษตามที่ได้สมาทานมาแล้ว

 และก็ได้มีสัจจะความจริงใจที่ตั้งใจ

จะประพฤติปฏิบัติให้ได้อย่างนั้น

 บัดนี้ถึงโอกาสที่เราจะได้อบรมจิต

ตามแนวทางแห่งสมถวิธีและวิปัสสนาวิธี

 เพราะเรามาฝึกสมาธิวิปัสสนา

ความจริงเรื่องการฝึกสมาธิวิปัสสนา

 ท่านทั้งหลายก็เคยได้อบรม

และได้ฝึกมาบ้างพอสมควรแล้ว

 เมื่อพูดถึงเรื่องวิธีการที่จะปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา

 เปิดการอบรมทีไร เราก็พูดถึงเรื่องสมถะ

ถึงเรื่องวิปัสสนา อยู่ในหลักอันเดิมนี่แหละ

 ดังนั้น วันนี้จะขอแนะวิธีการปฏิบัติสมาธิ

ขั้นสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป โดยจะเริ่มต้น

ด้วยการบริกรรมภาวนาเป็นหลักเอาไว้ก่อน

บัดนี้ ท่านทั้งหลายได้ปฏิญาณตน

ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกแล้ว

 ขอให้ท่านกำหนดรู้ภายในจิตของตัวเองว่า

พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่จิตของเรา

เมื่อเรากำหนดรู้จิต รู้ เป็นอาการแห่งพระพุทธเจ้า

 การทรงไว้ซึ่งสติสัมปชัญญะประคองจิต

อยู่ในองค์ภาวนา ได้ชื่อว่าทรงไว้ซึ่งพระธรรม

ความตั้งใจสังวรระวัง เอาใจจดจ่อ

ต่อการกำหนดอารมณ์

ที่บริกรรมภาวนาหรือพิจารณาอยู่

 ได้ชื่อว่ามีพระสงฆ์อยู่ในจิต

 ดังนั้นเมื่อเรามีความรู้สำนึกอยู่ที่จิตของเรา

 เราจึงมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

อยู่ในจิตตลอดเวลา

ดังนั้น ณ โอกาสนี้ ขอให้ท่านทั้งหลาย

จงกำหนดบทบริกรรมภาวนา พุทโธ ในจิต

นึก พุทโธๆๆๆ เพียงแต่นึกพุทโธที่จิตอย่างเดียวก็ได้

หรือจะนึก พุธ พร้อมลมเข้า โธ พร้อมลมออกก็ได้

 นึกอยู่อย่างนั้นแหละ

 หน้าที่ของท่านมีแต่นึก พุทโธๆๆๆๆ

 รู้อยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียว

 อย่าไปกดหรือไปข่มจิตให้มีความสงบ

 อย่าไปบังคับจิต และไม่ต้องเอาไปตั้งไว้ที่ไหน

เอาจิตไว้กับพุทโธ เอาพุทโธไว้ที่จิต

มีสติรู้พร้อมอยู่ที่จิต ในขณะที่นึก พุทโธ พุทโธ

ก็เป็นที่อาศัยระลึกของสติ

 เมื่อจิตนึกพุทโธจนคล่องตัว จนติด

 สติรู้พร้อมอยู่ในขณะจิตนั้น

 ไอ้เจ้าจิตมันนึกพุทโธอยู่ไม่หยุด

 สติก็รู้พร้อมอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ

 เรียกว่าผู้ภาวนาพุทโธก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

 ผู้ทำหน้าที่รู้ก็รู้เองโดยอัตโนมัติ

 เหมือนๆ กับเราไม่ได้ตั้งใจ

 แต่ว่าจิตของเรานึก พุทโธๆๆ เอง.

แสดงธรรมโดย....

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย






ขอบคุณที่มา fb. ไม้ขีด ครับ
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2561 15:12:30 น.
Counter : 431 Pageviews.

2 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณชมพร

  
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
EdiePim Diarist ดู Blog
ป้าซิ่ง Naomichan Food Blog ดู Blog
tangkay Dharma Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
โดย: ชมพร วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา:15:54:40 น.
  
คุณได้ทำการแปะ หัวใจ ให้กับคุณ tangkay เรียบร้อยแล้วนะคะ

คุณเหลือ อีก 8 ดวง สำหรับวันนี้ค่ะ
โดย: ชมพร วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา:15:55:32 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ