"ซ้อมไว้ก่อน"
เวลาที่จิตสงบอยู่ในสมาธิ ไม่ต้องทำอะไร
ให้จิตสงบให้นานเท่าที่จะนานได้
ปล่อยให้จิตออกมาเองจากสมาธิ
อย่าไปทำอะไรกับสมาธิ
เพราะสมาธินี้จะเป็นกำลังสำคัญ
มาสนับสนุนในการต่อสู้กับตัณหาความอยาก
เวลาที่ออกจากสมาธิมาแล้ว เวลาเกิดความอยาก
ก็ต้องใช้ปัญญา สอนใจให้เห็นโทษของความอยาก
สอนให้เห็นว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ก็จะละความอยากได้
ถ้าออกจากสมาธิแล้ว ไม่มีตัณหาความอยาก
ก็ให้พิจารณาถึงเรื่องที่จะทำให้เกิด
ตัณหาความอยากต่อไปในอนาคต
เช่นพิจารณาเรื่องของความแก่ ความเจ็บ
ความตายของร่างกาย ให้เห็นว่าร่างกายนี้
ต้องเเก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
ไม่มีทางอื่นที่จะเป็นไปได้
ต้องเป็นทางนี้เพียงทางเดียว
แล้วถ้าไปอยากให้ไม่เเก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ก็จะทุกข์ไปเปล่าๆ ก็ต้องสอนใจให้หยุดความอยาก
ไม่เเก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายให้ได้
พอเวลาเกิดความแก่ ความเจ็บ ความตายขึ้นมา
ก็จะทำใจได้ หยุดความอยากได้
ถ้าไม่เตรียมตัวไว้ก่อน ไม่ซ้อมพิจารณาไว้ก่อน
พอเวลาไปหาหมอ หมอบอกว่ามีมะเร็ง
เวลานั้นก็จะรู้ว่า มะเร็งทำใจได้หรือไม่ได้
ถ้าพิจารณาไว้ล่วงหน้าหน่อยว่า เราต้องโดนแน่ๆ
ไม่โรคใด ก็โรคหนึ่ง พอเตรียมตัวเตรียมไว้แล้ว
หมอบอกว่าเป็น เป็นก็เป็น หมอบอกต้องรักษา
รักษาก็รักษา รักษาก็มี 2 ทาง หายกับไม่หาย
ไม่หายก็ต้องตาย ถ้าเราพิจารณาว่า
มันต้องเป็นอย่างนี้เตรียมไว้
ครั้งแรกอาจจะรักษาหาย
หายแล้วมันก็มีครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ตามมา
จนในที่สุดมันก็ต้องเจอว่า รักษายังไงก็ไม่หาย
มีแต่ตายอย่างเดียว อันนั้นเราจะทำใจได้หรือเปล่า
ถ้าเราซ้อมไว้ก่อน มันก็จะทำใจได้
อันนี้ หมายถึงการออกจากสมาธิมาแล้วก็ มาสอนใจ
มาซ้อมไว้ขึ้นเวที เหมือนกับนักมวยที่ต้องชิงแชมป์
ถ้าเรายังอยากรักษาแชมป์ไว้
เราก็ต้องซ้อมไว้อยู่เรื่อยๆ
แชมป์ของเราก็คือความสงบนี่เอง
เราจะรักษาความสงบเพียงอย่างเดียว
จะไม่รักษาอะไร ร่างกายจะเจ็บ จะเเก่ จะตาย
ก็ปล่อยมันไป ทำอะไรไม่ได้ รักษาเท่าที่จะรักษาได้
แต่เมื่อรักษาไม่ได้ก็จะไม่วุ่นวายกับมัน
จะรักษาความสงบไว้.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
................................
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ