Group Blog
All Blog
<<< "แสงสว่างแห่งธรรม" >>>









"แสงสว่างแห่งธรรม"

ในเบื้องต้นตอนที่เรากำลังเจริญสติ

เพื่อให้เกิดสมาธินี้ เราควรที่จะทำให้มากๆ

 ทำให้บ่อยๆ ไม่ใช่พอได้ความสงบครั้งเดียว

 แล้วก็พอออกจากสมาธิมา

ก็ไปเจริญปัญญาเลย

เพราะว่ามันจะยังไม่มีกำลังพอ

ควรที่จะฝึกสมาธิให้มากๆ ให้เรามีสติ

ที่จะสามารถสั่งให้ใจเข้าสู่สมาธิได้ตลอดเวลา

ที่เราต้องการ สามารถหยุดความคิดได้

แม้ในขณะที่เราไม่อยู่ในสมาธิ

เวลาใจเราเริ่มคิดไปในทางลาภยศสรรเสริญ

 เราต้องมีสติที่จะหยุดมันให้ได้

ขั้นต้นนี้ยังไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องปัญญา

 แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะติดสมาธิ

 อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าติดสมาธิ

 ติดสมาธินี้ต้องหมายถึง

เราชำนาญในสมาธิแล้ว

 เข้าออกในสมาธิได้ตลอดเวลา

ควบคุมความคิดได้ตลอดเวลา

หยุดความคิดได้ทุกครั้ง

ที่เราต้องการจะหยุดมัน

 ถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้วนั่นแหละ

เราถึงควรจะออกไปในทางปัญญาต่อไป

 แต่ถ้าตอนนี้ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่

กับการควบคุมความคิดอยู่

ล้มลุกคุกคลานอยู่กับการทำใจให้สงบอยู่

บางทีนั่งกว่าจะสงบก็ใช้เวลานาน

บางทีก็ไม่สงบเลย บางทีก็สงบ

อย่างนี้ยังเรียกว่ายังไม่ได้ชำนาญ

ในการเจริญสมาธิ อย่าเพิ่งไปกังวล

กับการเจริญปัญญา เรามาเจริญสติ

เจริญสมาธิก่อน จนกว่าเราจะมีสติสัมปชัญญะ

เป็นสัมปชัญญะมีสติตลอดเวลา

สามารถควบคุมความคิดได้ตลอดเวลา

 เวลามันจะคิดไปทางลาภยศสรรเสริญ

 ก็หยุดมันได้ตลอดเวลา

เวลาต้องการให้มันสงบให้เหลือแต่สักแต่ว่ารู้

 ก็ทำได้ทุกครั้ง ถ้าเราทำได้อย่างนี้แล้ว

เราไม่ออกไปทางปัญญา

 ถึงจะเรียกว่าเป็นการติดสมาธิ

ทำแต่สมาธิเพียงอย่างเดียว

 แต่ตอนต้นนี้ยังไม่ได้ถือว่าเป็นการติดสมาธิ

 เป็นการฝึกสมาธิ เป็นการหัดทำสมาธิ

ให้เกิดความชำนาญให้มีความสามารถ

ที่จะหยุดความคิดที่จะทำให้ใจนิ่ง

ให้สงบได้ทุกเวลานาทีที่ต้องการ

ต้องให้ได้อย่างนี้ก่อน

แล้วถึงค่อยออกไปทางปัญญา

ปัญญาก็ต้องรอให้เวลาออกจากสมาธิ

 เวลาจิตสงบนิ่งไม่คิดปรุงแต่ง

เวลาที่นั่งรวมแล้ว

จิตร่วมลงเป็นสมาธิสักแต่ว่ารู้

อยู่กับอุเบกขาอยู่กับความสุข

 เวลานั้นไม่ใช่เวลาเจริญปัญญา

เวลานั้นให้มีสติประคับประคองอุเบกขา

 ประคับประคองความสงบนี้ให้อยู่ไปนานๆ

 จนกว่ามันจะถอนออกมา พอถอนออกมาแล้ว

เริ่มไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆ เวลานั้นแหละ

ถึงจะต้องใช้สติบังคับให้มันมาคิดทางปัญญา

 เพื่อให้เกิดแสงสว่างแห่งธรรม

ให้เห็นทุกข์ในสภาวะธรรมทั้งปวง

ให้เห็นอนิจจังในสภาวะธรรมทั้งปวง

ให้เห็นอนัตตาในสภาวะธรรมทั้งปวง

เช่นเห็นลาภยศสรรเสริญ

เห็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ว่าเป็นความสุขปลอม ว่าเป็นเหมือนกับ

ความสุขที่หุ้มห่อความทุกข์อยู่

เหมือนกับยาขมเคลือบน้ำตาล

 ไม่ใช่เป็นลูกอมที่จะหวานไปตลอดทั้งลูก

 อมไปได้เดี๋ยวเดียวพอผิวที่เคลือบน้ำตาล

มันละลายไป ก็จะต้องสัมผัสกับรสขมทันที

ไม่ใช่เป็นลูกอมหวานๆ ทั้งลูก

 ไม่ใช่เป็นความสุขแท้ เป็นความสุขปลอม

เพราะเป็นความสุขชั่วคราว

 ได้มาแล้วเดี๋ยวก็หมดไป

 แล้วก็สั่งให้มันไม่หมดไม่ได้

สั่งให้มันมีไปเรื่อยๆ ไม่ได้

เวลามันจะหมดมันก็หมด

สั่งให้มันมาใหม่บางทีก็สั่งไม่ได้

พอสั่งไม่ได้อะไรจะเกิดขึ้น ก็ทุกข์น่ะสิ

 ทุกข์ใจน่ะสิ เสียใจเศร้าใจขึ้นมา

เวลาสูญเสียสิ่งที่รักไป ห้ามได้หรือเปล่า

 ห้ามไม่ให้เสียได้หรือเปล่า

 เวลาเสียคนที่รักไปเสียสิ่งที่รักไป

 เวลาเสียไปแล้วทำยังไง

 ร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ

หรือเวลาที่ยังไม่เสียแต่รู้ว่าจะต้องเสีย

ก็เศร้าใจแล้วไม่สบายใจแล้ว

 เช่นแฟนไม่สบายกำลังเป็นโรคมะเร็ง

รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

พอรู้แค่นี้ก็ไม่สบายใจแล้ว

ทั้งๆ ที่ยังไม่เสียเขาไป

 แล้วเวลาเสียเขาไปก็เสียอกเสียใจ

ห้ามได้หรือเปล่า ห้ามไม่ให้เขาไปได้หรือเปล่า

 เขาเป็นของเราตลอดเวลาหรือเปล่า

 เขาไม่เป็น ถึงเวลาเขาจะไปเขาก็ไป

ห้ามสิ่งที่เราไม่ชอบไม่ให้มาก็ไม่ได้

ห้ามความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ให้มันมาก็ไม่ได้

 เวลามันจะมามันก็มา

ห้ามความแก่ไม่ให้มาก็ห้ามไม่ได้

 ห้ามความตายไม่ให้มามันก็ห้ามไม่ได้

นี่ให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นอย่างนี้

 เราจะไปห้ามไม่ให้มันเสื่อมไม่ได้

 ห้ามไม่ให้มันจากเราไปไม่ได้

ห้ามไม่ให้มันเปลี่ยนไปไม่ได้

ถึงเวลามันจะเสื่อมมันก็เสื่อม

ถึงเวลามันจะเปลี่ยนมันก็เปลี่ยน

ถึงเวลามันจะจากเราไปมันก็จากเราไป

 ไม่ว่าจะเป็นลาภยศสรรเสริญ

ไม่ว่าจะเป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ของสิ่งต่างๆ ของบุคคลต่างๆ

มันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น นี่คือการเจริญปัญญา

เพื่อให้เกิดแสงสว่างแห่งธรรม

 เพื่อให้มีดวงตาเห็นธรรม

 เพื่อที่เราจะได้ไม่อยากจะมีสิ่งเหล่านี้

ถ้าเรายังไม่มีดวงตาเห็นธรรม เรายังอยากอยู่

 ถ้าเรายังอยากได้ลาภยศสรรเสริญ

 อยากได้รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะอยู่

ก็แสดงว่าใจเรายังมืดบอดอยู่ ยังไม่เห็น

ยังไม่มีแสงสว่างแห่งธรรม

ยังไม่เห็นทุกข์ในลาภยศสรรเสริญ

 ในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ยังไปคิดว่ามันเป็นความสุขอยู่

ยังไม่เห็นอนิจจัง ยังไม่เห็นอนัตตา

ในลาภยศสรรเสริญ ในรูปเสียงกลิ่นรโผฏฐัพพะ

 ถ้าอยากแล้วมันก็จะทำให้ใจเรา

กระวนกระวายกระสับกระส่าย

หงุดหงิดขึ้นมาวิตกกังวลขึ้นมา

 เพราะความอยาก อยากได้

กระวนกระวายแล้วก็ต้องดิ้นรน

เพื่อไปเอาสิ่งที่อยากได้ให้เอามาให้ได้

ถ้าได้มาก็ดีใจเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวมันก็หมดไป

แล้วความอยากใหม่ก็จะปรากฏขึ้นมา

 ถ้าไม่ได้ก็เสียใจ แต่เสียใจไม่นาน

เดี๋ยวก็กลับไปอยากใหม่ ต้องเอาให้ได้

 ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่

ถ้ายังมีกำลังที่จะหาอยู่ ก็จะหา

ถึงแม้จะไปหาของที่มันเป็นความทุกข์

แต่ตอนนั้นไม่คิดว่ามันเป็นทุกข์

คิดว่ามันเป็นสุขอย่างเดียว

เพราะไม่มีแสงสว่างแห่งธรรมคอยเตือนใจ

ว่ามันเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะว่ามันไม่เที่ยง

ทุกข์เพราะว่าเราไปสั่งมันไม่ได้ห้ามมันไม่ได้

 ไม่เคยคิดแบบนี้กัน จึงถือว่า

ไม่มีแสงสว่างแห่งธรรม

ถ้าต่อไปนี้เรามองทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นทุกข์

ทุกข์เพราะว่ามันไม่เที่ยง

ทุกข์เพราะว่าเราไปสั่งไปห้ามมันไม่ได้

ถ้าเราคิดอย่างนี้แล้วเราก็จะไม่ไปหาสิ่งต่างๆ

 ที่อยู่ในโลกนี้ เราไปหาในสิ่งที่

เราสั่งได้ห้ามได้ดีกว่า คือความสงบของใจเรา

เราสั่งได้สั่งให้สงบได้ห้ามไม่ให้มันหายได้

ของที่สั่งได้ของที่เป็นของจริงของแท้

กลับไม่หากัน เพราะความหลงความมืดบอด

ทำให้เห็นผิดเป็นชอบไป

 ทำให้เห็นทุกข์เป็นสุขไป

 ส่วนสุขก็มองไม่เห็น สุขแท้ก็มองไม่เห็น

ต้องมาได้พบกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น

ได้มาพบกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ที่จะสอนที่จะบอกเราว่าสิ่งต่างๆ

ที่เรากำลังหาอยู่กันในขณะนี้

 สิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น

ทุกข์เพราะมันเป็นของชั่วคราว

ทุกข์เพราะว่าเราไปห้ามมัน

ไปสั่งมันไม่ได้เสมอไป

 ให้มาหาสิ่งที่มันเป็นความสุขที่แท้จริงดีกว่า

 ความสุขที่ถาวรที่จะอยู่กับเราที่เราสั่งได้

รักษาไว้ได้ตลอดเวลา

ก็คือสุขที่เกิดจากความสงบนี่เอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐

"แสงสว่างแห่งธรรม"






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 16 กรกฎาคม 2560
Last Update : 16 กรกฎาคม 2560 4:53:59 น.
Counter : 797 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ