"วัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
การฟังธรรมมะนี้จะทำให้เราเห็น
ความจริงของชีวิตของเรา
เห็นว่าเรานี้เป็นใครกันแน่
แล้วเรามาเกิดกันได้อย่างไร
และเกิดแล้วเราควรจะทำอะไรกับชีวิตของเรา
ให้เกิดคุณเกิดประโยชน์ ไม่ให้เกิดโทษกับตัวเรา
ถ้าเราไม่ได้มาฟังเทศน์ฟังธรรม เราจะเข้าใจผิด
เราจะไม่รู้จักความจริงของชีวิตของเรา
ว่าเราเป็นใครเป็นอะไรและเรามาเกิดได้อย่างไร
และเมื่อเรามาเกิดแล้ว
เราควรจะทำอย่างไรกับชีวิตของเรา
ถ้าเราฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ
เราก็จะเริ่มเข้าใจความจริงของเราว่า
เรานี้ไม่ได้เป็นร่างกาย ร่างกายนี้ไม่ใช่เป็นเรา
เราเป็นใจ เราเป็นผู้รู้ผู้คิด
ทีได้ร่างกายมาเพราะความอยากต่างๆ
ที่มีอยู่ภายในใจของพวกเรา
มีความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ที่เรียกว่ากามตัณหา ความอยากมีอยากเป็น
อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
อยากให้บุคคลนั้นบุคคลนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
เรียกว่าภวตัณหา
และอยากให้สิ่งนั้นหรือสิ่งนี้
ไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้เรียกว่าวิภวตัณหา
นี่คือเหตุที่ทำให้เราได้มาเกิดได้มามีร่างกาย
เมื่อเรามีความอยากเหล่านี้ เราก็ต้องมีเครื่องมือ
เพราะใจคือเรานี้ไม่มีอะไร ไม่มีรูปร่าง
ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย
การที่เราจะหารูป เสียง กลิ่น รสต่างๆ ได้
เราจึงจำเป็นจะต้องมีร่างกายกัน
เราก็เลยมารอรับร่างกายจากบิดามารดา
เวลาที่บิดามารดาเขามีการร่วมเพศกัน
เขาก็จะสร้างร่างกายขึ้นมา พอมีร่างกาย
เราก็มาขอรับร่างกายนี้ไปเป็นคนรับใช้เรา
ร่างกายนี้เป็นคนรับใช้เรา ที่พ่อแม่เป็นผู้ผลิต
เป็นผู้สร้างให้กับเรา พอเราได้ร่างกายมาแล้ว
เวลาคลอดออกมาจากท้องแม่
เราก็เลี้ยงดูร่างกายด้วยความเมตตากรุณา
ของพ่อของแม่ช่วยเลี้ยงดูร่างกาย
ที่เราได้มา มาจากพ่อแม่
เพราะตอนที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่
เรายังไม่มีความสามารถ
ที่จะเลี้ยงดูร่างกายนี้ได้ด้วยตนเอง
เราก็เลยพึ่งพ่อแม่ให้เลี้ยงดูร่างกายนี้ให้กับเราไปก่อน
จนกว่าเราจะเจริญเติบโตขึ้นมา
มีความรู้ความสามารถที่จะเลี้ยงร่างกายนี้ได้
ด้วยลำพังด้วยกำลังของเรา
แล้วเราก็ไม่ต้องพึ่งพ่อพึ่งแม่ต่อไป
แล้วเราก็เอาร่างกายนี้ไปทำตามความอยากต่างๆ
ที่มีอยู่ภายในใจของเรา แล้วเราก็ได้รับความสุข
จากสิ่งต่างๆ ที่เราได้
แต่ความสุขที่เราได้รับนั้น
มันเป็นความสุขที่ไม่ถาวรเท่านั้นเอง
เป็นความสุขที่ได้มาแล้วเดี๋ยวก็ต้องหมดไป
เวลาหมดไปก็ทำให้เราไม่สบายใจ
ทำให้เรารู้สึกว้าเหว่ รู้สึกเศร้าสร้อยหงอยเหงา
รู้สึกหิวโหย รู้สึกอยากจะได้สิ่งใหม่มาทดแทน
เราก็เลยต้องหาสิ่งต่างๆ ผ่านทางร่างกายมาตลอด
และไม่ว่าจะได้มามากได้มาน้อย
มันก็ไม่เคยให้ความอิ่มความพอกับใจของเราเลย
แต่กลับให้ความอยากความหิวมาอยู่เรื่อยๆ
เวลาหิวเวลาอยากนี้ก็ไม่สบายใจกัน
หงุดหงิดรำคาญใจกัน ไม่พอใจกัน
ต้องไปหาสิ่งที่หิวที่อยากมา
พอได้มาแล้วก็อิ่มเดี๋ยวเดียว
แล้วเดี๋ยวก็เกิดความหิวความอยากขึ้นมาใหม่อีก
ก็ต้องหาอีก เวลาหาไม่ได้ก็ทุกข์ทรมานใจ
เช่นเวลาร่างกายนี้เข้าสู่วัยชรา
หรือเวลาที่ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยร่างกายพิกลพิการ
ไม่สามารถที่จะทำตามความอยากของเราได้
ความทุกข์ก็เลยเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็คือความตาย
พอตายแล้วความอยากที่มีอยู่ในใจของพวกเรา
ก็ยังไม่ตายไปกับร่างกาย
เพราะความอยากนี้อยู่ภายในใจของพวกเรา
ที่ไม่มีวันตาย ใจของพวกเราเป็นผู้รู้ผู้คิดผู้อยาก
ผู้สั่งให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ ตามความอยาก
พอร่างกายตายไปก็เหมือนกับเราเสียคนรับใช้ไป
เมื่อคนรับใช้เก่าตายไปเราก็ไปจ้างไปหา
คนรับใช้คนใหม่มารับใช้เราต่อ
เราก็ไปรอรับร่างกายอันใหม่ที่พ่อแม่คนใหม่ของเรา
จะสร้างให้กับเรา แล้วพอเราได้รับ
เราก็กลับมาทำเหมือนเดิมอีก
นี่คือวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
ที่พวกเราติดกันอยู่ในขณะนี้โดยไม่รู้สึกตัว.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
..................................
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๐
"เรียนรู้ความจริงของชีวิต"
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ
หากจะหา เหตุผลสักคำ
ว่าสิ่งที่ทำ ให้ฉันรักเธอ
นั่นเป็นเพราะ
ตัวฉันมาเจอ เจอสิ่งดีงาม
ตั้งแต่วันฉันพบเธอ ได้เจอ แต่สิ่งดีงาม
*~*~*~*..แวะมาทักทายจ๊ะ..ขอให้มีความสุข สดใส..หัวใจเบิกบาน..*~*~*~*
..HappY Bright DaY & HappY ChinesE NeW YeaR 2018..