"ทำอย่างไรจึงจะแยกกายกับจิต
ออกจากกันได้"
.
จะทำอย่างไรจึงจะแยกกายกับจิตออกจากกันได้นั้น
จะเปรียบเทียบให้ฟังอีกว่า รูปกายของตนทุกคน
ก็เปรียบเหมือนบ้านที่บุคคลทั้งหลาย
สร้างขึ้นเพื่ออาศัยอยู่ เมื่อเราสร้างขึ้นแล้ว
แต่ต่อมาก็ล่วงวันล่วงคืนล่วงปีไป
ก็ถูกแดดถูกฝนบ้าง ก็มีความเก่าแก่
เช่น หลังคารั่วบ้าง เสาที่ฝังอยู่ในพื้นดิน
ก็จะขาดบ้าง ฝาถูกฝนก็ผุพังเก่าแก่คร่ำคร่า
ชำรุดทรุดโทรมมากบ้างน้อยบ้าง
แล้วก็พากันซ่อมแซม แก้ไขตามกำลังของตน
พออาศัยอยู่ต่อไปได้ชั่ววันชั่วคืนเท่านั้น
.
แต่ถ้าบ้านหลังเก่านี้แหละถูกลมพัดหักบ้าง
ไฟไหม้บ้าง เก่าแก่คร่ำคร่าลง
จนไม่มีความสามารถซ่อมแซมขึ้นใหม่ได้
ตัวบุคคลที่อาศัยอยู่ก็ปล่อยบ้านหลังนั้นทิ้งเสีย
หรือรื้อทิ้งเสีย แล้วก็ไปสร้างบ้านหลังใหม่
อาศัยอยู่ตามกำลังของตนเอง
.
ฉันใดก็ดี จิตใจของคนเรา
ที่อาศัยอยู่กับกายทุกวันนี้ก็เหมือนหนึ่งว่า
ถ้าร่างกายเกิดโรคภัยไข้เจ็บมากบ้างน้อยบ้าง
ก็พยายามรักษากับแพทย์คลีนิก
หรือเข้าโรงพยาบาลตามกำลังของตน
พออดพอทนอยู่ไปได้อีก
เหมือนกับเราที่ซ่อมบ้านของเราที่คร่ำคร่าให้ดีขึ้น
แล้วก็อาศัยอยู่ไปอีก เหมือนกันฉันนั้น
ถ้าร่างกายของเราเป็นโรคมาก หรือวิบัติมาก
เอาไปรักษาโรงพยาบาลไหน
คลินิกหมอแพทย์คนใดกินยาอะไรก็ไม่หาย
ไม่ดีขึ้นมาอีก ก็หมดหวังของหมอ
และญาติพี่น้องของตน ตนเองก็ทนไม่ไหว
จิตใจก็เลยหมดห่วงอาลัย
วิ่งหนีออกจากร่างกายอันนี้
ไปเกิดในภาพชาติอันใหม่
แล้วร่างกายของคนเราก็ค่อยหมดลมหายใจ
วางอยู่ ต่อไปก็ผุพังทลาย
ฝังบ้างเผาบ้าง หายไปเลย
.
ฉันใดก็ดี ก็เหมือนกับว่า
คนเราอาศัยอยู่บ้านของตนเองทุกวันทุกคืนนี้
ถ้ามันถูกไฟไหม้บ้างหักพังบ้าง
เก่าแก่มากจนซ่อมแซมไม่ไหว
ก็เลยทิ้งบ้านไปสร้างเอาหลังใหม่
เหมือนกันนั้นแหละ
จิตใจของคนเราก็ทิ้งกายไว้เหมือนกันอย่างนี้
ฉะนั้นแล จึงกล่าวได้ว่า
จิตกับกายเป็นของคนละอย่าง
แยกออกจากกันได้
.
เมื่อเราทำความเข้าใจและรู้จักอย่างนี้แล้ว
เมื่อเรานั่งเจริญสมาธิภาวนาอยู่นั้น
เมื่อมีอาการเจ็บปวดหลัง ปวดบั้นเอว
ปวดขาแขนหรือที่ใดในร่างกายของตนเกิดขึ้น
ก็อย่าไปคิดอยู่กับที่ปวดนั้น ให้พยายามทำเฉยๆ
ปล่อยวางไว้ต่างหาก
ถ้าจิตมันยังอยากจะยึดที่เจ็บปวดอยู่อีก
เราก็ใช้สติปัญญาพิจารณาดู
และมีความอดทนอย่างเอาจริง
ถ้าไม่ถึงเวลาที่เรากำหนดไว้ก่อน
เราไม่ต้องยอมลุกขึ้น
ทำใจของตนเองให้กล้าหาญ
ไม่ย่อท้อต่อเวทนา ถึงแม่ว่าหลังปวด เอวปวด
ขาแขนปวดก็ปวดไปเถอะ หลังอยากหักก็หักไป
เอวจะขาดก็ขาดไป
ขาหรือแขนจะขาดก็ขาดไปหมดเถอะ
มีความอดทน หนักแน่น
ยืนหยัดต่อการบำเพ็ญภาวนา
บริกรรมข้อธรรมกัมมัฏฐานของตนเองต่อไป
จนกว่าจะถึงเวลาที่เรากำหนดไว้
จึงลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถใหม่
.
เราต้องเอาจริงจังอย่างนี้
จึงต่อสู้แก้ไขปล่อยวางเวทนาได้
เมื่อเราปล่อยวางเวทนาภายในกายของเราได้แล้ว
จิตใจของเราก็จะมาอยู่กับข้อธรรมกัมมัฏฐานของเรา
ที่บริกรรมอยู่ ก็จะเป็นเหตุให้จิตใจได้รับความสงบ
เป็นสมาธิลงได้ง่าย เมื่อเราแก้ไขเวทนา
และปล่อยวางได้ด้วยปัญญาอย่างไร
ก็ขอให้จำข้อธรรมนั้นไว้ให้จงดี
.
เมื่อเรานั่งทำสมาธิภาวนาครั้งต่อไป
ถ้ามีเวทนาเกิดขึ้น หรือจิตใจของเรา
ไปคิดติดอยู่กับอะไรแล้ว
เราก็ยกเอาธรรมข้อนั้นมาแก้ไข
ปล่อยวางได้ทันทีไม่ลำบาก
จิตของเราก็จะสงบเป็นสมาธิถึงที่เดิมไม่ยาก.
.
พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
......................................
ขอบคุณที่มา fb. ไม้ขีด ครับ
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ