Group Blog
All Blog
<<< "ความสุขที่แท้จริง" >>>








“ความสุขที่แท้จริง”

ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจของเรา

อยู่ที่การกระทำของเรา

 อยู่ที่ว่ารู้จักสร้างความสุขให้กับใจหรือไม่

 ส่วนใหญ่มักจะไปสร้างความทุกข์ให้กับใจ

ด้วยความหลง ทำให้เกิดความอยากความโลภ

 คิดว่าถ้ามีอะไรมากๆ แล้ว จะมีความสุขมาก

 แต่ไม่เคยหันมาดูที่ใจเลยว่า

วันๆ หนึ่งใจมีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความกังวล

 มีแต่ความห่วงใย กินไม่ได้นอนไม่หลับ

 เศรษฐีบางคนมีเงินทองเยอะแยะ

สามารถซื้ออาหารราคาแพงๆ มารับประทานได้

 แต่ใจกลับไม่มีความสุข

กับการรับประทานอาหารนั้นเลย

 เพราะในขณะที่รับประทานไป

ก็มีแต่ความกังวล ห่วงเรื่องดอกเบี้ยบ้าง

 เรื่องหนี้ที่จะต้องจ่ายบ้าง

 เรื่องเงินลูกหนี้ที่จะต้องไปตามเก็บบ้าง

ล้วนแต่เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่ภายในใจ

 สู้คนยากจนอย่างพระพุทธเจ้า

พระอรหันตสาวกไม่ได้ ท่านไม่มีปัญหาเหล่านี้

อยู่ในใจของท่านเลย เพราะท่านไม่มีลูกหนี้

ไม่มีเจ้าหนี้ ไม่มีดอกเบี้ยที่จะต้องคอยมากังวล

 ที่จะต้องคอยผ่อนส่ง วันๆ หนึ่ง

ใจของท่านมีแต่ความว่าง เพราะไม่มีสมบัติอะไร

 ไม่มีเรื่องราวอะไร ที่จะต้องไปห่วง ไปกังวล

วันๆ หนึ่งก็เพียงแต่มีหน้าที่ดูแลร่างกาย

 ตอนเช้าก็ออกไปบิณฑบาตหาอาหารมา

 ตามมีตามเกิด ได้อะไรก็พอใจกับที่ได้มา

ก็รับประทานไป ก็อิ่มเหมือนกัน

แต่ใจของท่านซิเป็นใจที่เบา เป็นใจที่สุข

เป็นใจที่ว่างจากความทุกข์ทั้งปวง

 เพราะใจได้ถูกชำระด้วยปัญญาแล้ว

ปัญญานี้แหละคือสิ่งที่จะมาทำลายมลทิน

 ความสกปรก ความเศร้าหมอง

ที่เกิดจากกิเลสตัณหาทั้งหลาย

พวกเราแทนที่จะทำตาม

อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำ

 และได้ทรงปฏิบัติมาแล้ว กลับไม่ได้ทำกัน

 กลับไปส่งเสริมความเศร้าหมอง

ส่งเสริมความสกปรกในใจให้มีมากยิ่งขึ้นไป

 ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง

 ด้วยความอยากต่างๆ ขอให้จำไว้ว่า

 ทุกครั้งที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง

 มีความอยาก ไม่ว่าจะเป็นความอยากในกาม

 ความอยากมีอยากเป็น หรือความอยากไม่มี

อยากไม่เป็นก็ตาม ก็เท่ากับว่ากำลังสร้างขยะ

 สร้างความสกปรกให้มีมากขึ้นไปในใจ

ใจก็จะมีความทุกข์มีความเศร้าหมองเพิ่มมากขึ้นไป

 ทั้งๆ ที่ได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีก ๑๐ ล้าน อีก ๑๐๐ ล้าน

 มีสามี มีภรรยาเพิ่มขึ้นอีก ๔-๕ คนก็ตาม

 แต่ใจกลับมีความเศร้าหมองเพิ่มมากขึ้นไปอีก

 มีความกังวล มีความวุ่นวายใจ

กินไม่ได้นอนไม่หลับเพิ่มมากขึ้นไปอีก

 เพราะกำลังสร้างความทุกข์ให้กับใจโดยไม่รู้สึกตัว

 ทั้งๆ ที่คิดว่ากำลังสร้างความสุขให้กับตน

 แต่กลับมีแต่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจ

ถ้าไม่เชื่อ ลองเปรียบเทียบดู

ระหว่างเรากับพระพุทธเจ้า

พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านมีอะไรบ้าง

ท่านไม่มีอะไรเลย ในเรื่องสมบัติภายนอก

 ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา สมบัติต่างๆ ตำแหน่งต่างๆ

ไม่มีอะไรเลย มีสมบัติอยู่เพียง ๘ ชิ้น

 ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของสมณะเท่านั้น

 คือมีผ้าไตรจีวร ๓ ผืน บาตรใบหนึ่ง

ประคดเอว มีดโกน เข็มกับด้าย และที่กรองน้ำ

 นี่คือสมบัติที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของพระ

 เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ท่านอยู่ได้แล้ว

 ด้วยความสุข ด้วยความเบาใจ ด้วยความสบายใจ

 เพราะใจของท่านไม่มีภาระ

ไม่มีความผูกพันกับอะไรทั้งสิ้น

 เพราะไม่ว่าจะมีอะไร ในไม่ช้าก็เร็ว

ก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ทั้งสิ้น

 เพราะธรรมชาติของชีวิตเป็นอย่างนั้น

 เราก็เห็นกันอยู่ เวลาเกิด ก็มาตัวเปล่าๆ

เมื่อไปก็ไปตัวเปล่าๆ คือใจมาครอบครองร่างกาย

 เมื่อตายไปใจก็ทิ้งร่างกายนี้ไป

 ทิ้งสมบัติ ทิ้งบุคคลต่างๆ ไปหมด

 ไม่ได้เอาอะไรไปเลยนอกจากบุญกับบาปเท่านั้น

 บุญก็คือความฉลาดหรือปัญญา

บาปก็คือความโง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง

ถ้ายังไม่เข้าใจหรือยังไม่เห็น

 ก็ต้องรีบขวนขวายศึกษา แล้วปฏิบัติตาม

 อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ปฏิบัติมา

 คือพยายามลดละ ตัดกิเลสตัณหาทั้งหลาย

ให้เบาบางลงไป ให้หมดสิ้นไป

เมื่อทำได้แล้ว จะเห็นความสุขที่แท้จริง

ที่ปรากฏขึ้นมาภายในใจ เรียกว่าปัญญา

ความสว่าง ซึ่งจะเกิดขึ้น

ก็ต่อเมื่อนำธรรมไปปฏิบัติ

เพียงแต่ได้ยินได้ฟังอย่างวันนี้

แล้วก็ไม่ได้นำไปปฏิบัติ

ก็ยังจะไม่เห็นผลของการเสียสละ

ของการปล่อยวาง ถ้าลองไปปฏิบัติดู

 ในเบื้องต้นอาจจะยากหน่อย

 เพราะเป็นสิ่งที่ฝืนกับนิสัยใจคอ แต่ไม่สุดวิสัย

 ถ้ามีความเข้มแข็ง

มีความอดทนต่อสู้ ในไม่ช้าก็เร็ว

 ก็จะสามารถปฏิบัติตาม

อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอน

ได้ทรงปฏิบัติมา เมื่อทำได้แล้วก็จะเห็นผล

 คือความสุข ความเบาใจที่จะปรากฏขึ้นมาในใจ

ก็จะรู้ทันทีเลยว่า เรานี้โง่เขลาเบาปัญญามาตั้งนาน

 มัวแต่หลงแบกกองทุกข์ แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น

 แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ต้องการอะไรแล้ว

 ในเรื่องสมบัติภายนอก บุคคลภายนอก

 อยู่ได้โดยลำพัง แม้ไม่มีร่างกายนี้ ก็อยู่ได้

เพราะเห็นใจแล้ว รู้แล้วว่าใจกับร่างกาย

เป็นคนละส่วนกัน ต่างฝ่ายต่างจริง

 ใจไม่ต้องพึ่งอะไรเลย

จึงสละได้หมดแม้แต่ชีวิต.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................................

กำลังใจ ๑๐, กัณฑ์ที่ ๑๕๓

วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 07 ตุลาคม 2561
Last Update : 7 ตุลาคม 2561 8:55:27 น.
Counter : 484 Pageviews.

0 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณmcayenne94

ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ