ผู้รู้นี่คือตัวเรา
ถ้าเราอยากจะแยกใจออกจากร่างกาย
เราต้องดึงใจออกจากตาหูจมูกลิ้นกาย
พอไม่คิดถึงรูปเสียงกลิ่นรสมัน ก็จะหดเข้าไป
วิธีที่ไม่คิดก็ต้องให้มีอะไรดึงมันออกมา
เช่น พุทโธ พุทโธ ถ้าเราไม่พุทโธ
เดี๋ยวมันก็คิดอยากจะดูนั่น อยากจะฟังนี่
อยากจะดื่มนั่น อยากจะรับประทานไอ้นี่
อยากจะดมไอ้นั่น มันอยากอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นถ้าเราต้องการที่จะแยกใจออกจากร่างกายนี้
เราต้องหยุดคิด วิธีจะหยุดคิดก็ให้คิดมันอยู่ทางเดียว
เช่นคิดว่าพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธไป
พอพุทโธไปมันก็จะคิดถึงรูปเสียงกลิ่นรสไม่ได้
พอไม่คิดมันก็จะหดตัวเข้ามา
ถอนตัวออกมาจากตาหูจมูกลิ้นกาย
พอเราไปนั่งเฉยๆ พุทโธ พุทโธ
เดี๋ยวมันก็ถอนออกจากร่างกายจากกัน
ใจก็จะอยู่อีกที่หนึ่ง ร่างกายก็จะอยู่อีกที่หนึ่ง
ใจสงบร่างกายก็จะหายไปจากความรู้สึกนึกคิด
เหลืออยู่แต่ตัวรู้ผู้รู้อยู่ตัวเดียว ผู้รู้นี่คือตัวเรา
ตัวเราที่ไปหลงคิดว่าเป็นร่างกาย
พอเราหยุดคิดปั๊บความหลงมันก็หยุดไป
พอหยุดคิด ความคิดที่ว่าเราเป็นร่างกายมันก็หายไป
เราก็จะรู้ว่าอ๋อนี่แหละตัวเราที่แท้จริง
ก็คือตัวรู้นี่เอง ตัวรู้นี่แหละที่ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย
แต่ร่างกายเป็นอะไร ตัวรู้ก็ยังเป็นตัวรู้อยู่
ตัวรู้ไม่มีวันแก่ไม่มีวันเจ็บไม่มีวันตาย
ตัวรู้นี้เป็นเพียงแต่รู้อย่างเดียว
ส่วนตัวคิดนี้เราหยุดมัน พอหยุดมันแล้ว
ตัวคิดตัวที่คิดว่าร่างกายเป็นเรามันก็หายไป
เราก็จะรู้แล้วว่าความคิดนี่แหละที่มันหลอกเรา
มันหลอกให้เราคิดว่าร่างกายนี้เป็นตัวเราเป็นของเรา
เลยทำให้เราอยากให้มันเป็นของเราไปนานๆ
แต่ร่างกายนี้มันไม่ยอมเป็นของใครไปนานๆ
มันเป็นได้ชั่วระยะหนึ่ง อายุ ๘๐ ๙๐
มันบอกขอลาแล้ว ขอกลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟ
ขอเปลี่ยนสภาพจากอาการ ๓๒ ไปเป็นขี้เถ้า.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
................................
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ