Group Blog
All Blog
--- ๕ ๐ ปี โ ฮ ง ย า ส า ห ล ะ ปี มิ นิ ม า ร า ธ อ น ---






















งานวิ่งสารภีเป็นงานร่วมใจกันหาเงินเข้าโรงพยาบาลอีกงานหนึ่ง

ดูเหมือนว่า นักวิ่งกลายเป็นกลุ่มคนใจบุญไปแล้ว พูดแบบนี้ แทนที่จะดีอาจทำให้ถูกหมั่นไส้เพราะยกยอพวกเดียวกันเกินไป คนใจบุญทำบุญเยอะแยะไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแต่เขาไม่ต้องออกสื่อ เพียงแต่ว่า กระแสคนมาออกกำลังกายด้วยการวิ่งมากขึ้นและงานวิ่งก็มากขึ้นทุกที่ทุกอาทิตย์ สังคมเลยเห็นนักวิ่งตามงานในเช้าวันอาทิตย์มากขึ้นซึ่งมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ

แต่หากพิจารณากันดี ๆ ก็พอจะเห็นเองว่า คนส่วนใหญ่ที่หันมาออกกำลังกายด้วยการวิ่งจะเกาะขอบตามเพจวิ่ง ดูว่ามีงานวิ่งที่ไหนบ้าง งานวิ่งเกือบทุกงานจะมีการแบ่งรายได้ไปทำบุญทำทาน เป็นสาธารณกุศล โดยเฉพาะโรงพยาบาลบางโรงที่ขาดเครื่องมือทางการแพทย์ งานบางงานจัดขึ้นเองโดยการรวมใจของคนในชุมชนและเจ้าหน้าที่ที่เป็นนักวิ่ง มีเครือข่ายประสานงาน ร่วมแรงร่วมใจไม่ผ่านออแกไนเซอร์ เงินที่ได้ก็ได้ตรงตามจุดประสงค์ อย่างงานที่โรงพยาบาลสารภีจัด เราก็รู้มาแต่เนิ่น ๆ ดูตารางวัน ตารางปีแล้ว อาทิตย์นี้ว่างก็ลงสมัครกันไป ทั้งที่เราตั้งใจกันว่า งานวิ่งมินิมาราธอนนั้น เราอาจต้องข้ามไปเพราะเราซ้อมกันเป็นประจำอยู่แล้ว สะสมระยะการวิ่งของเราเป็นรายเดือน แต่ก็มีเหตุให้ต้องไปเพราะคนจัดงานเรารู้จักและคุ้นเคยกัน เราวิ่งต่างจังหวัดได้แต่งานใกล้ ๆ เรากลับไม่สนใจก็กระไรอยู่ การเข้าเมืองก็ทำให้เราได้ไปเยี่ยมลูก ๆ อีก ถือว่าได้กับได้ ถ้าไม่ไปเพราะไม่ว่างเท่านั้น

ไม่ว่าจะก้าวนี้เพื่ออะไร ฉันก็เต็มใจและตั้งใจไปร่วมงานวิ่ง

สองวันก่อนมาวิ่งเช้าวันอาทิตย์ ฉันนอนดึกมาก คืนวันศุกร์ คุยกับปิ่นจนเกือบเที่ยงคืน จนต้องเอ่ยปากขอตัวไปนอนเพราะคุยเท่าไหร่ก็ไม่จบ คืนวันเสาร์ ลูกสาวอ่านหนังสือกันจนถึงตีสี่ ไฟในห้องเล็ก ๆ ก็เปิดสว่าง ฉันรู้ล่วงหน้าแล้วว่าคงหลับไม่ได้เพราะไฟนี่แหละแต่ก็ไม่ออกไปนอนโรงแรมเหมือนตอนที่จะลงวิ่งมาราธอน เพราะก่อนลงมาราธอน ฉันไม่ค่อยนัดเพื่อนกินข้าวหรือสังสรรค์ก่อนวิ่ง ถึงนัดเจอแต่ก็รีบกินรีบกลับ ขอตัวไปพักผ่อน ฉันต้องสงบใจ ไม่คิดเรื่องอะไร กลับที่พัก เตรียมตัวเข้าโหมดการวิ่ง บอกลูกไว้ปิดมือถือและรีบเข้านอน คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ฉันเป็นแบบนี้ และเกือบจะเป็นทุกครั้งที่วิ่งตามงาน อยากพักให้มาก ๆ การนอนไม่พอมีส่วนสำคัญสำหรับการวิ่งของคนสูงวัย

เช้าวันอาทิตย์ เราไปที่จุดปล่อยตัวตอนตีห้า งานเล็ก ๆ แต่มีนักวิ่งมาร่วมงานพันหก ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรกับพวกเขา ขอเพียงมีน้ำให้กินทุกสองกิโลเมตรเป็นใช้ได้

จำได้ว่าเมื่อแรกเริ่มวิ่งใหม่ ๆ นั้น ไม่เคยแวะรับน้ำระหว่างทางเลย ใจกังวลแต่ว่าจะเสียเวลา กินน้ำแล้วจะจุก วิ่งไม่ออกจนวิ่งไม่จบ ไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร ไม่รู้ว่าวิ่งสนุกเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าแต่ละก้าวแต่ละกิโลมันยากลำบากมาก ระยะสิบกิโลนี่ไม่ง่ายเลย สนามมินิมาราธอนส่วนใหญ่จะมีจุดกลับตัวกิโลที่ 5 เราจะเห็นนักวิ่งแนวหน้าวิ่งสวนกลับมาแล้ว เราวิ่งช้าก็หวาดหวั่น ระทึกใจ อยู่ท้าย ๆ จนเกือบสุดท้าย อยากจะเร่งแต่ใจกับร่างกายไม่ไปด้วยกัน แรงตกหลังจุดกลับตัว เราแรงน้อยเหลือเกิน หลังกิโลที่ห้าคือความทรมาน กระนั้นก็ไม่เคยละความพยายาม ยังก้มหน้าก้มตาก้าวไปเรื่อย ๆ เป็นเพราะผีเหรียญเข้าสิงด้วยก็ได้ อยากได้เหรียญที่ระลึกมากจนลืมความปลอดภัย ไม่ได้ฟังเสียงของร่างกาย ใครจะไปรู้ล่ะ อ่านหนังสือมาว่าให้มีหัวใจใฝ่ฟังเสียงของร่างกาย แต่ตอนวิ่งจริง ๆ มีแต่ดันทุรัง วิ่งไม่จบคงน่าอายนะ

ฉันจำมินิมาราธอนแรกได้ ไม่เคยลองวิ่งถนนมาก่อนเพราะก่อนหน้านี้อยู่บนลู่วิ่งที่บ้าน วิ่งได้วันละ 5 กิโลในหนึ่งชั่วโมง บางวันก็เก่งมาก วิ่งได้หกกิโล ดีใจแทบตาย ชมตัวเองเสียยกใหญ่ ลูก ๆ ชวนพ่อแม่ลงวิ่งงานของพ่อเพื่อนรักของพวกเขา ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการวิ่งตามงานเลยก็ว่าได้ เป็นมินิมาราธอนที่ทุลักทุเลมาก ตื่นเต้นตอนเสียงแตรดัง แรก ๆ ก็วิ่งอยู่ในกลุ่มเขา แต่ผ่านหนึ่งกิโลไปก็เริ่มหร็อมแหร็ม ทำไมเขาวิ่งกันเร็วจัง เราก็หวดตามเขา ใจกระเจิดกระเจิง วิ่งไปได้สักหน่อยก็หมดแรง นักวิ่งเก่ง ๆ ก็วิ่งตามมาบอกให้ก้าวสั้น ๆ ค่อย ๆ ไป เหงื่อเค็ม ๆ เข้าตา ไม่มีน้ำให้ล้างหน้าระหว่างทาง เหงื่อเปียกจนถึงถุงเท้า เหนื่อยแทบขาดใจ

ลูก ๆ กับสามีชะเง้อคอรอที่เส้นชัยได้สักพักแล้ว ตอนนั้นสองสาววิ่งกันเป็นว่าเล่น พวกเขาก็ห่วงแต่ก็เชื่อว่าแม่คงมาถึงเส้นชัยแน่แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ ตอนนั้นฉันไม่รู้จักเพซเลย วิ่งแบบไร้แอพฯ อยู่บนลู่วิ่งก็เห็นหน้าจอแค่นั้น รู้แค่นั้น รู้แต่ว่าวิ่งสิบกิโลนี่มันไกลนะ ไกลมาก ๆ

เมื่อพาร่างอันระทดระทวยเข้าเส้นชัยแล้ว น้ำตาจะไหล ดีใจมาก ๆ กินอะไรแทบไม่ลงและก็ไม่มีอะไรเหลือให้กินด้วยเพราะเข้าเส้นช้ามาก ใบหน้าเปื้อนยิ้ม อย่าว่าแต่หน้าเลย ตับ ปอด กระเพาะยาวไปจนไส้ติ่งก็คงยิ้มไปกับฉัน มันซ่อนรอยดีใจไว้ไม่อยู่ กลับมาที่หอลูกก็หลับสลบไสล กลับถึงบ้านดอยก็กินสุกี้ฉลองเหรียญแรกกัน ปลื้มกับเหรียญวิ่งจนบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าจะมีเหรียญต่อ ๆ ไป อยากวิ่งมินิมาราธอนอีก อยากวิ่งให้เป็นธรรมชาติมากขึ้นซึ่งมีทางเดียวคือต้องซ้อม

ฉันป่วยหลังจากมินิแรกเกือบปี มีมินิที่สองหลังจากนั้นเป็นปี เป็นมินิฯแรกที่ได้วิ่งคู่กับสามีจนเข้าเส้นชัย นึกสนุกจนบอกสามีว่าอยากมีมินิมาราธอนสักร้อยสนาม และเป็นครั้งแรกที่ไปยืนใต้รั้วและชี้ขึ้นบนป้ายเพจคุณป๊อกว่า ' 42.195 Club ... เราจะไปมาราธอนด้วยกัน ' ใช่ ฉันฝันจะไปมาราธอน ฝันแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่รู้เลยว่าจะไปได้ยังไง ไม่เคยแม้แต่จะวิ่งฮาล์ฟมาราธอนด้วยซ้ำ แต่ก็ฝันไปแล้ว

ฝันใหญ่ไฟแรงในวัยทองไม่รู้มาจากไหนกันนะ วัยที่ร่างกายไม่ค่อยเป็นดั่งใจ สังขารร่วงโรยและเพิ่งมาเริ่มวิ่ง ลงสนามในวัยที่มีแต่เด็ก ๆ ดีหน่อยเขาก็เรียกพี่ สนิทขึ้นมาหน่อยก็เรียกคุณป้า ตีสนิทแบบญาติก็เรียกคุณยาย จนอยากร้องไห้ ไม่ต้องสนิทกันมากก็ได้ ต้องทำใจยอมรับนะว่า เป็นป้าก่อนได้มั้ย ยายน่ะเอาไว้ก่อน ได้เป็นแน่ ๆ แต่เชื่อว่าเขาคงดูหน้าเราแน่ถึงประทับตราให้เราแบบนั้น

แต่ยังไง ฉันก็ดีใจที่ยังวิ่งมาได้เรื่อย ๆ จนวันนี้ ยังฝันเหมือนเดิมว่าจะมีมินิมาราธอนสัก 100 สนาม แต่อาจจะผสมกับระยะอื่นบ้างก็ได้ แต่เอามินิฯและฮาล์ฟเป็นหลัก เพราะระยะฮาล์ฟฯเป็นระยะกำลังดี เหมาะสมกับการออกนอกบ้านไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดด้วย

แต่เช้าวันงานวิ่งครบรอบ ๕๐ ปีโฮงยาสารภีนั้น ฉันลืมยาดม ของสำคัญในการวิ่งที่ขาดไม่ได้เลย อีกอย่างคือฉันประมาทเกินไป คิดว่าวิ่งระยะนี้ ไปเรื่อย ๆ ไม่น่าจะมีอะไร แต่อากาศร้อนมาก ลมไม่กระดิก ทั้งที่วิ่งในเพซของตัวเอง ดูเด็ก ๆ วิ่งแซงป่ายซ้ายป่ายขวานำหน้าไป ไม่ตื่นเต้นตกใจอีกแล้ว ใครใคร่แซงแซง เราอยู่กับตัวเอง ไปในจังหวะของตัวเอง มันสบาย ไม่ต้องกดดันตัวเอง เพซนี้เป็นเพซที่เราวิ่งเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนสามีนำไปไกลจนไม่เห็นหลัง เราวิ่งคนละเพซแต่ไหนแต่ไร ทิ้งกันตั้งแต่ก้าวแรกหลังเสียงแตรปล่อยตัว รอเจอกันที่เส้นชัย

งานนี้มีน้ำให้เพียบ ทุกสองกิโล มีทั้งน้ำเย็นและน้ำธรรมดา ฉันกินน้ำเย็นไม่ค่อยได้ กินแล้วก็ปวดท้องจะวิ่งต่อไม่ไหว ดีใจที่มีน้ำไม่ใส่น้ำแข็งให้เลือกด้วย ฉันจิบน้ำทุกสองกิโล จะว่าจิบก็ไม่ใช่ เติมเข้าไปเกือบเต็มแก้วนั่นแหละ ที่เลอค่ามากคือจุดเช็คพอยต์ เราได้รับพระเครื่องแทนหนังยาง รู้สึกดีและอุ่นใจ แต่จุดที่สี่คือกิโลที่แปดนั้น กินน้ำแล้ว รู้สึกใจหวิว ๆ พอเข้ากิโลที่เก้า เหมือนตาพร่า อาการนี้ไม่มีมานาน เคยเจอหนัก ๆ เมื่อสองปีที่แล้ว ซ้อมอยู่ดี ๆ ก็วูบ ต้องหยุดเลย คิดว่าเป็นอาการวัยทอง นั่งดมยาดมก็ดีขึ้น เกิดวันนี้อีกก็เลยชะลอและค่อย ๆ ไปจนจบ เล่าให้สามีฟัง ก็งงเหมือนกันว่าเกิดขึ้นอีก เขาเองก็บอกว่า รู้สึกไม่ดีเหมือนกันอาจจะอากาศร้อนมาก

เราไปหาอะไรกินกันในงาน อาหารงานนี้อลังการมากเพราะมีคนมาร่วมช่วยโรงพยาบาล นำอาหารมาให้นักวิ่งกันเยอะ ตั้งแต่น้ำชา กาแฟ ชาเขียว เบเกอรี่ น้ำเงี้ยว ข้าวซอย ผัดไทย ข้าวหมูกระเทียม ขาดไม่ได้คือข้าวต้มหมู น้ำเต้าหู้ มีข้าวเหนียวสังขยาใส่กระทงใบตอง นี่ฉันยังสำรวจไม่หมดนะ ฉันกินข้าวต้ม ผัดไทยและข้าวหมูกระเทียม เป็นอาหารเช้าที่เจอพรรคพวก ตั้งวงกินมื้อเช้ากันในงาน

ฉันนั่งข้าง ๆ รุ่น 50 อัพ คนคุ้นหน้าคุ้นตากัน รอบนี้มีนักวิ่งรุ่น 50 อัพมากจริง ๆ เกือบห้าสิบคนแน่ะ เธอได้ที่สาม ทั้งที่หวังที่หนึ่ง เพราะเราต่างรู้ว่า งานนี้ขาแรงไม่มาสองคนคือ พี่จิ๋มกับพี่จิต สองคนนี้ขึ้นโพเดี้ยมรับถ้วยเวลาดีแทบทุกสนาม แต่เราสองคนก็ไม่รู้ว่า ใครได้ที่หนึ่งและสองของงาน พี่เขาพาดพิงถึงงานวิ่งที่ลำพูนที่ออแกไนเซอร์จัด ระยะฮาล์ฟมาราธอนมีน้ำให้กินเพียงสองจุด ปิดเส้นทางการวิ่งโดยไม่ขออนุญาตก่อน ทำให้นักวิ่งเป็นส่วนเกินของถนนและรบกวนการใช้รถใช้ถนนของคนอื่น เป็นงานวิ่งที่โดนตำหนิมาก ฉันได้แต่ฟังเงียบ ๆ เพราะแทบไม่มีงานไหนที่สมบูรณ์พร้อม

ถึงกระนั้น ผู้จัดงานงานวิ่งควรมีคุณธรรมด้วย ประสบการณ์การผิดพลาดหรือบกพร่องต้องแก้ไข เราไม่เรื่องมาก เรายังรู้สึกเลยว่า การเตรียมน้ำทุกสองกิโลเมตรนั้นจำเป็นมาก ไม่รวมถึงการดูแลทางการแพทย์ ซึ่งงานนี้มีหน่วยพยาบาลพร้อมมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นักวิ่งเองต้องฟังเสียงร่างกายให้เยอะ ๆ ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่า นักวิ่งจะฟังคำเตือนเหล่านี้หรือไม่ เพราะตัวเองก็เคยบุ่มบ่ามและดันทุรังมาแล้ว กว่าจะเข้าที่เข้าทางและเข้าใจก็ใช้เวลามาพอสมควร

ฉันถามพี่ว่า พี่วิ่งมินิฯจบเวลาเท่าไหร่ เธอว่าเธอไม่ได้ซ้อม ปกติ 58 นาทีนะ งานนี้ 1 ชั่วโมง 4 นาที เร่งไม่ได้เลย แล้วพี่ก็ถามเวลาวิ่งของฉัน ฉันก็ตอบไป พี่ก็ว่า ห่างกันไม่มากนะ แต่ฉันรู้ว่า เวลา 3-4 นาทีที่วิ่งห่างกันเนี่ย วิ่งตามอย่างไรก็ไม่มีทางทัน พูดง่าย ๆ คือไม่ต้องตามเลย ห่างกันเป็นกิโล ไม่เห็นหลังอยู่แล้ว ฉันรู้ว่า ฉันสปีดไม่ได้แล้ว พอแค่นั้น เคยฝันอยากได้ถ้วยบ้างนะระยะนี้แต่ไม่มีปัญญา และเวลาที่เหลือหลังจากนี้ก็คงไม่ได้เพราะวิ่งช้าลงมากกว่าเดิม

ด้วยวัยของฉัน จะสนใจเรื่อง DON'T มากกว่า DO

เพราะวัยหนุ่มสาว อาจจะนึกถึงเรื่อง PB : Personal Best หรือสถิติส่วนตัว อาจติดกับดักว่าฉันทำได้และจะต้องทำลายสถิติทุกสนาม อันนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ศักยภาพของคนเราไม่เหมือนกัน ต้นทุนชีวิตก็ไม่เหมือนกัน หวังว่าจะไม่มีใครเอาองุ่นเปรี้ยว ๆ มาให้ฉันกินสักกิโลนะคะ

แต่วัยเรา สนใจแต่เรื่องคำเตือน ระมัดระวัง ประมาณตัว ประเมินตน เท่าทันความคิดของตัวเอง ฉันเข้าใจตัวเองตอนที่อยากมีมาราธอนสักครั้งในชีวิต มันเป็นความห่ามระดับสิบ มันหนักแน่นอยู่ในใจว่าฉันจะทำให้ได้ มันเหมือนตอนสร้างบ้าน ต้องใช้ใจแรง ๆ ขณะที่มีเงินในมือแค่แสนเดียว ใจที่จะทำ ทำให้หาหนทางที่จะสร้าง ไม่คิดซ้ำ ไม่ทบทวน ไม่เคยคิดว่าทำไม่ได้ มันคล้าย ๆ กับตอนคิดจะลงมาราธอนแรกนั่นแหละ คำนวณเวลาในการซ้อมและใจพร้อมก็ซ้อม แม้จะรู้สึกท้อแท้ตอนซ้อมยาว ๆ ยาว ๆ บางทีถึงกับน้ำตาเล็ด ท้อแท้และอยากเลิกกลางคันเหมือนกัน มันไกลเกินไป ไหนจะต้องตื่นตีสองหน้าหนาวมาฝึกกินอาหารก่อนซ้อมตีสาม หนาวจนเหมือนจมูกหาย หนาวหู ปวดหัว มือเป็นเหน็บชา วิ่งจากฟ้ามืดจนเห็นรอยต่อของกลางคืนกับแสงเช้า วิ่งกันจนสว่างจึงเห็นเหงื่อ เหนื่อยแทบถอดใจ แต่ไม่ซ้อมก็ไปไม่ถึง

ฉันไม่มีทฤษฎีวิ่งดิบ ไม่มีทฤษฎีใจถึงก็ไปถึง มาราธอนไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่งั้นจะทรมานมาก ขนาดว่าซ้อม หลังกิโล 25 ฉันยังรู้สึกแย่ เวลาท้อ ใจฟุ้งซ่าน อยากจะกลับไปขายบิบที่เหลือหรือจะทิ้งงานวิ่งทั้งหมด ใจไม่ไหวแล้ว กว่าจะรวบรวมกำลังใจออกวิ่งต่อและเข้าที่เข้าทางก็เกือบแย่ น้ำตาปริ่มโยงไปถึงเรื่องชีวิตและการงาน มันก็แบบนี้แหละ จะมีช่วงที่หนักหนาสาหัส มองไปทางไหนก็มืดหม่น ทุกข์อยู่ข้างใน จะผ่านพ้นสภาวะนี้ไปได้อย่างไร เราเคยเจอภาวะคับขันตอนสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่ ๆ เส้นทางนี้ยากเหลือเกินเพราะมีกันสองคนสองแรง ทุนรอนก็น้อย ดีที่ใจเป็นหนึ่งเหมือนที่พ่อสอนไว้ รวมใจฝ่าความทุกข์ไปด้วยกัน กว่าจะคิดได้ว่า เรื่องทุกข์มีอยู่สองอย่าง คือเรื่องที่แก้ไขได้และเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เรื่องที่แก้ไขไม่ได้ จะทุกข์ไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะจริง ๆ แล้ว ไม่มีทางที่ไม่มีทาง ทุกเรื่องมีทางออก ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเพียงแต่ตอนนั้นเราคิดไม่ออกและทุกข์ไปล่วงหน้า ทำได้แต่ทำใจให้สงบแต่ก็ยังไม่มีความสุข เพราะอะไร ๆ ยังไม่คลี่คลาย ทำได้แค่รักษาใจให้สงบนิ่งได้ก่อน เหมือนกับตอนวิ่ง เวลาท้อก็มืดมนไปหมด กว่าจะสู่ภาวะสงบนิ่งได้และไปต่อ ไปเรื่อย ๆ ไปช้า ๆ ก็ถึงที่หมายเหมือนกัน มาราธอนของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก บางคนตั้งเป้าทำลายสถิติทุกครั้ง เราแค่ตอบตัวเองให้ได้ก็พอว่าต้องการอะไร

ฉันมีเป้าหมายวิ่งมาราธอนปีละครั้ง ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่านะ แต่เมื่อคิดก็ลงมือซ้อมเท่านั้น

งานเล็ก ๆ นี้ ทำให้มีโอกาสทบทวนตัวเองบ้าง และย้อนถามตัวเองอีกครั้งว่ายังสนุกกับการวิ่งอยู่หรือเปล่า



ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
7 ตุลาคม 2561













Create Date : 13 ตุลาคม 2561
Last Update : 13 ตุลาคม 2561 8:19:50 น.
Counter : 317 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com