Group Blog
All Blog
--- ห ล ว ง พ ะ เ ย า เ ม า เ ท่ น รั น 2 0 1 8 ---





















บั น ทึ ก เ ท ร ล ห ล ว ง พ ะ เ ย า

Luang Phayao Mountain Run 35 k 2018




::




เราทราบจากเพื่อน ๆ ว่า เทรลที่หลวงพะเยาสวยงามมากแต่โหดเป็นอันดับต้น ๆ ของรายการเทรลเลยก็ว่าได้ วิวที่เคยเห็นจากภาพก็ไม่เท่าไปสัมผัสด้วยตัวเอง




ตอนนั้นก็มีให้เราเลือกสมัครสามแห่งคือ สุโขทัยมาราธอน / หลวงพะเยาเทรล และ นาวิกโยธินมาราธอน แต่อยากไปเทรล 35 กิโลมากที่สุด วิ่งบนภูเขานี่น่าสนุก แต่ใครต่อใครก็เตือนแล้วว่าเส้นทางโหดสุด ๆ ผู้สมัครวิ่งเทรลสนามนี้ จำเป็นต้องมีคุณสมบัติและประสบการณ์การวิ่งมาก่อน นั่นคือนักวิ่งจะต้องผ่านเทรลมาราธอนอย่างน้อยสองสนาม หรือ 50 k หนึ่งสนามหรือมีประสบการณ์การเดินป่าที่จะต้องเขียนประสบการณ์การเดินป่าให้ทีมงานคัดเลือกว่าเหมาะสมจึงจะสมัครวิ่งได้


พูดง่าย ๆ คือ ไม่ใช่ที่สำหรับมือใหม่ที่จะมาลองเทรลที่นี่เป็นสนามแรกว่างั้นเถอะ เพราะมันไม่ใช่สนามทดลอง ไปหาประสบการณ์มาบ้าง พอให้รู้ข้อผิดพลาดและการเตรียมตัวบ้าง

การวิ่งเทรล ด อ ย ห น อ ก - ด อย ห ล ว ง นี้ ทั้งสูงทั้งชัน เมื่อสมัครล่วงหน้าไปแล้ว เตรียมตัวเตรียมใจและตั้งใจซ้อมอย่างสม่ำเสมอ เพราะเขาเตือนเราแล้วว่า เส้นทางไม่ธรรมดา จะอย่างไรก็ต้องเตรียมร่างกายจริงจังเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง




เย็นวันเสาร์ สี่โมงกว่า ๆ หลังจากรับบิบ (BIB) แล้ว รอฟังทีมงานและคุณหมอมาบรีฟเส้นทาง เตือนทุกอย่างบนดอย หากเจอนักวิ่งที่เกิดอุบัติเหตุ ฮีทสโตรกหรือต้องมีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ต้องทำอย่างไร เพราะเส้นทางนี้ ต้องรู้ตัวเอง รู้สภาพร่างกาย ไปไม่ได้อย่าฝืน ไม่มีใครช่วยเราลงไปได้เลย

ถ้าไม่ไหวก็ต้องขอออกจากแข่งขัน เซฟตัวเองไว้ก่อน เราจะต้องเดินกลับไป CP1 แรก ขออกจากการแข่งขันเพื่อเดินลงทางลัดไปสามกิโลกว่า ๆ จึงจะเจอรถอีแต๋นและช่วยเราส่งที่จุดปล่อยตัวได้ นักวิ่งภูเขาทุกคนต้องเตรียมอุปกรณ์ของตัวเองให้พร้อมทุกอย่างหากหลงป่า ทีมงานเคร่งครัดมาก อุปกรณ์ไม่ครบก็ไม่ได้วิ่ง ถึงเขาไม่เช็ค แต่เราก็ต้องรักตัวเอง จัดการให้เรียบร้อย นับเป็นครั้งแรกที่แบกเป้หนัก ๆ บนหลังพร้อมน้ำอีกลิตรครึ่ง ระหว่างทางไม่มีใครมาบริการน้ำ เราต้องวิ่งให้ถึงเช็คพ้อยต์แรก

เราผ่านอัลตร้าเทรลพาโนรามิกมาแล้ว ทำให้รู้ว่า เราต้องจัดการตัวเองทุกอย่าง ยิ่งเราวิ่งไม่เก่ง กว่าจะถึงจุดเช็คพ้อยต์ น้ำท่าอาจไม่พอเพียงหรือหากไม่มีก็ต้องรอให้ลูกหาบแบกขึ้นมาให้ใหม่ รอก้เสียเวลา ไม่มีน้ำก็ไปต่อไม่ได้ ขาดน้ำนี่วิ่งต่อไม่ไหวจริง ๆ

ประสบการณ์สอนว่าอย่าหวังน้ำบ่อหน้า เราเป็นผู้ใช้เส้นทางที่เขาจัด ควรรับผิดชอบชีวิตเราเอง ใช้สามัญสำนึกให้มาก ๆ มีหัวใจใฝ่ฟังเสียงของร่างกาย ตัดสินใจให้ขาดว่าจะไปต่อหรือจะหยุด คนอื่นไม่รู้อะไรกับเรา

การวิ่งครั้งนี้ บอกแค่ลูก ๆ ว่าพ่อแม่จะไปวิ่ง แต่ไม่ได้บอกแม่เพราะกลัวแม่ห่วง

สำหรับคนที่รักเราไม่ว่าเราจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร เขาก็รักเราเสมอต้นเสมอปลาย ห่วงใยเราเสมอ

สำหรับคนคอยซ้ำเติมหรือสมน้ำหน้าเวลาเราผิดพลาด ก็มีอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ต้องนำมาใส่ใจ ขอให้เราฟังเสียงหัวใจตัวเองและชัดเจน ลงมือทำในสิ่งที่เรารักและชอบก็พอ ให้ทุกอย่างอยู่ที่เราเป็นผู้กำหนด เราไม่ตายบนเส้นทางวิ่งก็ต้องตายแบบไหนแบบหนึ่ง ต่อให้เราระมัดระวังทุกอย่างแล้วก็ตาม




.




เช้าวันอาทิตย์ เราตื่นตีสามครึ่ง คิดว่าได้พักดี หลับดี แต่กังวลว่าจะยัดอุปกรณ์ทั้งหมดลงเป้ไปได้ยังไง

เช้านี้เรากินพิซว่าได้หนึ่งแผ่น เตรียมเจลไว้คนละสี่ซอง อุปกรณ์บังคับครบตามกำหนด พอเติมน้ำไปลิตรครึ่งรู้สึกหนัก ยิ่งต้องวิ่งแบกเป้ ปีนป่าย ตะกายขึ้นเขาลงเขาก็ทำใจไว้แล้วว่า ให้กระชับกับตัวมากที่สุด เราวิ่งแข่งกับเวลา ไม่ได้ไปเดินป่าเหมือนเดินชมพืชพันธุ์ดอกไม้หรือนกน้อยข้างทางบนดอยหลวงเชียงดาวหรือขึ้นภูกระดึง มันคนละแบบ คนละบรรยากาศ

เส้นทางของนักวิ่งภูเขาระยะ 35 k นั้น ปล่อยตัวหลังนักวิ่ง 55 k นักวิ่งขาแรงครึ่งชั่วโมง จุดปล่อยตัวไม่อลังการ ถึงเวลาก็วิ่งออกไปกันเลย ไม่มีเสียงแตรลม แต่ก็มีการจุดพลุตอนปล่อยตัวพอให้คึกคัก ที่ตลกกว่านั้น แทบไม่เห็นนักวิ่งอบอุ่นร่างกายกันเลย มัวแต่เข้าแถวให้เจ้าหน้าที่เช็คเป้และอุปกรณ์กันจนเลยเวลาไปสิบนาที

พวก 35 k ก็เข้าคิวต่อ เราไปโรงอาหารเช้าข้างบนที่ผู้จัดเตรียมไว้ให้นักวิ่ง แต่กินอะไรไม่ลงแล้ว หยิบข้าวเหนียวหมูทอดและข้าวเหนียวไก่ทอดไว้กินกลางทางคนละชุด เพราะบนนั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากน้ำที่จุดเช็คพ้อยต์เท่านั้น

ยิ่งใกล้เวลา ก็ตื่นเต้นนิดหน่อย รอวันนี้มานานแล้ว ถือเป็นงานแรกที่อยากมาวิ่งมาก ๆ ของปีนี้



ตีห้าครึ่งกับอีกสองนาที ออกจากจุดปล่อยตัวแล้วล่ะ ขวัญเอยขวัญมา ตั้งสติ มีสมาธิและขอให้วิ่งสนุก ๆ ก็พอ

เราสองคนก็วิ่งกันไปเงียบ ๆ ฟังเด็ก ๆ นักวิ่งเทรลคุยกัน งานนี้ฉันกับสามีน่าจะแก่สุด เทรลแบบนี้มีแต่หนุ่ม ๆ สาว ๆ มาวิ่ง ส่วนผู้ชายรุ่นเดียวกันที่เห็นก็มีอยู่คน เพราะเราเจอกันตลอดทาง

หนุ่ม ๆ สาว ๆ ขาชิลล์ วิ่งเพซเดียวกับเราก็เยอะ ทางขึ้นเขาช่วง 8 กิโลแรก เป็นทางชันขึ้นไปเรื่อย ๆ ( เหมือนตอนวิ่งช่วง 13 กิโลแรกที่เขาค้อ ) เราใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงพอดี หลังจากนี้ก็เริ่มเข้าป่าและไต่เส้นทางซึ่งเป็นทางวิ่งทางเดียวเลาะขึ้นไปเรื่อย ๆ ทางไม่กว้าง วิ่งได้ทีละคน หายใจรดต้นคอกันเลยทีเดียว เราก็บอกขาแรงว่า ใครจะไปก่อนให้บอก เบี่ยงตัวให้เขาอย่างเดียว


จากนั้น ทางเริ่มชันขึ้นจนเกือบ 80 องศา ไม้เท้าเริ่มเกะกะเพราะต้องปีนป่ายบางช่วงสลับทางวิ่ง ความที่ไม่ถนัดการใช้ไม้เท้า ทำให้เมื่อยไหล่มาก จะพับเก็บก็วุ่นวาย คล้องแขนไว้ วิ่งไปลากไม้เท้าไป หลายจุดต้องไต่หินขึ้นลงและไต่หินก้อนใหญ่ ๆ ซึ่งมีธารน้ำข้างล่าง มันสูงและชัน ฉันกลัวมาก เพราะระยะเท้าวางได้แค่ปลายเท้าและต้องก้าวขากว้าง ๆ เพื่อข้ามไปอีกฝั่ง จะไม่ไป เพื่อนนักวิ่งก็ต่อคิวรอข้าม ฉันนั่งยอง ๆ และเปิดทางให้คนอื่นไปเพราะไปไม่ได้ สามีก็ออกหน้าไปก่อนแล้ว แต่ก็มีเพื่อนนักวิ่งใจดี เขาบอกว่า ผมช่วยครับ พี่ส่งไม้เท้ามาและจับมือผมไว้ ไม่ต้องกลัว เขายันอีกฝั่งหนึ่งและรอรับเรา ผ่านด่านความกลัวอันแรกไป จากนั้นก็ตะลุยไต่เขาขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ ทางก็เริ่มชันขึ้นเรื่อย ๆ จากนี้คุณสามีก็ให้ฉันวิ่งนำหน้า เขาตามหลัง


ปกติฉันเป็นคนไม่ค่อยมีเหงื่อ แต่งานนี้เหงื่อไหลเป็นน้ำตกเลย รู้สึกอย่างนั้นตลอดเส้นทาง เราดื่มน้ำทุกสองกิโล (ปกติที่ซ้อมคือ ดื่มน้ำ 200-250 ซีซีทุกสองกิโล )แต่ช่วงกิโลที่ 8-15 ที่จะขึ้นถึงดอยหนอกนี้ หยุดดื่มน้ำกันบ่อยมาก เพื่อนนักวิ่งก็วิ่ง ๆ หยุด ๆ ผลัดกันแซงขึ้นไปอย่างสนุกสนาน เราต่างรู้แล้วว่า เทรลนี้ไม่มีมือใหม่ หลายคนตะกายตะนาวศรีมาแล้ว มีทั้งที่จบและไม่จบ จึงไม่มีใครบ่นโอดโอยเรื่องคิดผิดหรือไม่น่ามาเทรลนี้ แต่ฟังน้ำเสียงก็พอบอกได้ว่า เทรลนี้จำเป็นต้องมาลองให้ได้สักครั้ง

ฉันเป็นคนกลัวความสูงมาก ไต่สูงไปได้เรื่อย ๆ แต่ต้องไม่เห็นวิวข้างล่าง เพื่อนใกล้ชิดทั้งหลายรู้ดี เคยเห็นฉันปีนขึ้นบันไดที่พุกามแล้วขยับตัวไม่ได้ เหมือนจะเป็นลมตอนไต่บันไดไปดูพระอาทิตย์ตกดินบนวัดที่พุกาม ปีนขึ้นแต่มองข้างล่างไม่ได้ จะปีนลงก็ยืนขาสั่น ใจหวิว ๆ ลงจะไม่ได้อีก สมควรที่จะอยู่ข้างล่างรอ

แต่ดอยนี้ สองข้างทางเป็นป่าทึบ อุดมไปด้วยผึ้งและแมลง ผึ้งตอมล้อมหน้าล้อมหลังและเกาะแขนกินเหงื่อกินเกลือเค็ม ๆ บนร่างกายเรา เกาะแก้มตลอดทางที่ไต่ขึ้นไปจนถึงดอยหนอก เขาบอกว่าไม่ต้องไล่ ปล่อยมัน มันจะไม่ทำอะไรเรา ดูเหมือนจะจริงสำหรับคนส่วนใหญ่ ฉันโดนผึ้งกัดก้นและกัดกลางหัว แจ๊คพ็อตมาก ๆ เจ็บ ๆ คัน ๆ พอรำคาญแต่ไม่มีอาการแพ้ จึงไม่ต้องเอายาในเป้ออกมากิน ยาทุกอย่างเตรียมพร้อมหมด แต่โชคดีที่ไม่ได้ใช้

คิดถูกเรื่องเดียวคือ ใส่กางเกงขายาววิ่งเพราะเขาแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่าทากเยอะ เนื่องจากฝนตกมาก่อนหน้านี้ ปกติฉันชอบใส่กางเกงวิ่งขาสั้น มันคล่องตัว แต่ใครจะมาวิ่งเส้นทางนี้ ใส่ขายาวเถอะ หญ้าคาท่วมหัว แขนสองข้างโดนหญ้าเกี่ยวจนแสบไปทั้งสองแขน จะใส่ปลอกแขนก็ขี้เกียจหยิบออกมา โชคดีมือด้านหนาพอที่ทนกับการเกาะหินคม ๆ ได้

ช่วงที่ไต่เขาขึ้นไปไม่รู้จบ มองลิบ ๆ ขึ้นไปก็เห็นฟ้ารำไรผ่านต้นไม้ใบหญ้า แต่ไปไม่ถึงฟ้าเบื้องบนสักที อยากสูดอากาศเย็น ๆ บนภูเขาแล้ว

ในที่สุด เราก็ไต่จนถึงดอยหนอก ระยะ 15 กิโลแรก




CP1 เป็นจุดเช็คพ้อยต์และคัทออฟแรกของนักวิ่ง 55 k จะมาแจมเส้นทางร่วมกับเราเพื่อจะวิ่งลงเขาไปด้วยกันอีก 20 กิโลจนถึงพื้นราบ

เราใช้เวลาไปสี่ชั่วโมงครึ่งซึ่งอะเมซซิ่งมากและมั่นใจว่า งานนี้จะจบเพราะอีกยี่สิบกิโลเป็นทางลง เราดูแผนที่ที่ทำเป็นกราฟความชันที่ผู้จัดทำไว้ให้ เป็นดาวน์ฮิลล์แบบหัวปักหัวทิ่ม ล้มคว่ำคะมำหงาย เราก็เคยวิ่งหัวปักลงมาจากดอยเมี่ยงแล้ว ก็คิดว่าน่าจะทันนะเพราะทำเวลาช่วงต้นได้ดีเกินคาด

แต่การวิ่งยังไม่จบ ยังบอกอะไรไม่ได้ ทางที่เหลือจะเป็นอย่างไรไม่รู้เลย




จากจุดนี้ไป B1 ถามคนเช็คพ้อยต์ CP1 ว่า เริ่มทางลงหรือยัง เขาว่า ไปชิลล์ ๆ แล้วค่ะ

ที่ไหนได้ ยังปีนตะกายก่ายฟ้า ผาจูบที่เป็นเหว เกาะหินหาที่วางเท้า ไม่ต้องมองด้านขวาเลยเพราะวิวสวยประกอบกับเป็นผาหิน ยังต้องตะกายไต่หินเพื่อมาวิ่งขึ้นเขาต่อไปเรื่อย ๆ แต่เริ่มไปหายใจเอาอากาศบนดอยแล้ว ฉันเคยทำงานบนดอย รู้จักอากาศหนาว กลิ่นหมอกหน้าหนาวที่พัดผ่าน ฉันเคยชินกับบรรยากาศแบบนี้มากกว่าทะเลที่ไม่เคยรู้จัก แต่ทุกครั้งที่มาสูดอากาศบนดอยไม่ว่าที่ไหน ก็จะสดชื่น และวันนี้ฟ้าเปิด เห็นหมอกเรี่ยดอยหนอกซึ่งเป็นยอดดอยสูงเปี๊ยบ เห็นนักวิ่งกำลังโบกธงอยู่บนยอดและบางส่วนเริ่มไต่ลงมาแล้ว แค่มองยังหวาดเสียว

คิดเหรอว่าจะขึ้นไป โคตรจะน่ากลัว ชันจนแหงนคอตั้งบ่า ตะคริวขึ้นก็ตกลงมาไม่รอดแน่ ใช่... ฉันไม่คิดจะขึ้นไป ยืนไหว้พระตรงนี้ก็พอ

เรากำลังมุ่งหน้าไปต่อ ตั้งใจจะไปกินข้าวที่ B1 แต่เส้นทางนั้นไม่ชิลล์เหมือนเขาบอก ยังไต่เขาขึ้น ๆ ลง ๆ และมองไปยังเพื่อนขาแรงข้างหน้า เขาอยู่อีกดอยหนึ่งและกำลังไต่ขึ้นดอย เราจะต้องไปตรงนั้น นี่ยังต้องค่อย ๆ ลงและจะต้องไปไต่ขึ้นอีกหรือนี่

วิ่งแบบนี้อย่ามองไกล มองที่เท้าของตัวเองพอ เพราะมองไปอีกดอยมันจะท้อ คิดได้แล้ว ก็ค่อย ๆ ไป...

คิดถึงเส้นทางที่ดึงตัวขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนดอยหลวงเชียงดาว แต่นี่ขึ้นแล้วลงหุบแล้วยังต้องวิ่งต่อไปอีกดอย




ด อ ย ต่ อ ดอ ย . . .แ ล ะ ยั ง ต้ อ ง ต่ อ ไ ป อี ก ด อ ย




เริ่มกำหนดเวลาไม่ได้แล้วสิ เพราะเส้นทางเริ่มไม่ปกติ ยังวิ่งจากดอยหนึ่งไปอีกดอยหนึ่ง หยุดถ่ายรูปก็ไม่ได้ทำให้เสียเวลามากนัก ไหว้พระระหว่างทาง ฝากเนื้อฝากตัว ขอขมา ขอพรสิ่งศักดิ์บนยอดดอย ขอพระคุ้มครอง จะวิ่งอย่างระมัดระวังและขอแค่ลูกช้างกลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วยเถิด

คือเรามองทางเริ่มสาหัสขึ้นเรื่อย ๆ บางช่วงที่วิ่งเข้าป่าหญ้าสูง ก็แค่หญ้าบาด แต่ช่วงดิ่งจากดอยหนึ่งไปอีกดอยหนึ่งคือสองข้างเป็นเหว สมมติหน้ามืดกลิ้งลงไปนี่ ไม่อยากจะคิด เราก็นั่งต่อคิวถัดก้นกระดืบตัวลงไป รองเท้าเทรลไม่มีดอกเกาะพื้นนี่ก็เสี่ยงมาก เพราะสามารถไถลลื่นลงไปตาม ๆ กัน ช่วงก้าวขาลงต้องมือเราเท่านั้น ฝากชีวิตกับไม้เท้าไม่ได้ บางช่วงอุปกรณ์สี่ขาก็เป็นส่วนเกิน แต่เราก็ต้องห้อยข้อมือไว้ คนไม่เก่งมันก็ต้องมีตัวช่วยละนะ ดูพะรุงพะรัง พวกเก่ง ๆ นี่วิ่งตัวเปล่า แค่แบกเป้อย่างเดียว ที่พูดเพราะเห็นระหว่างทางมาตลอดว่า นักวิ่ง 55 k ไม่ใช้ไม้เท้าเลย

พอลงไปถึงพื้นล่างก็เตรียมจิกเท้าเร่งเวลา ดูน้ำในเป้เกือบจะเกลี้ยง จำต้องไปเติม B1 เพราะ CP1 นั้นไม่มีน้ำให้เติม

ดอยต่อดอยต่อดอย ทำไมไกลอย่างนี้ ไปไม่ถึง B1 สักที กว่าจะโผล่หัวไปตรงจุดนี้ หายเหนื่อยเลย ได้กินถั่วเขียวต้มน้ำขิงที่เขาร่ำลือกัน ถั่วเขียวต้มอร่อยสุดยอด ถอดเป้ออกจากไหล่ เติมน้ำใส่เป้เพิ่ม นั่งรับลม ควักข้าวเหนียวออกมากิน แต่จุกและเหนื่อยจนกินข้าวได้แค่คำเดียว ขอเติมน้ำขิงอีกครึ่งแก้ว เกรงใจนักวิ่งที่ตามมา กลัวไม่พอ

เพื่อนนักวิ่งที่นั่งกินข้าวข้าง ๆ กันผสมกาแฟซองที่พกมา เขย่ากับน้ำในขวด แบ่งเรากิน เหมือนได้ชีวิตใหม่เลย ยังนั่งคุยกันว่า เราน่าจะลงทันนะ

หารู้ไม่ว่า เส้นทางที่ไม่เคยพบเคยเห็นจะน่าสะพรึงขนาดนี้

ยิ่งตรงดอยสันหมูแม่ต้องนี่ ยืนใจหวิว ๆ ไม่ไปก็ไม่จบ ช่วงนี้ต้องนั่งลงค่อย ๆ ถัดก้นลงไป หวาดเสียวที่สุด ตกไปทางซ้ายก็ไปพะเยา ไปทางขวาก็ลำปาง คันดินกว้างสักเมตร ภาวนาว่าอย่ามาหน้ามืดตรงนี้นะ จะตะกายขึ้นมายากมาก หลับตาคิด ภาพก็ยังชัดอยู่ในใจ

เราห่วงแต่ทางขึ้นเขาที่ต้องพาตัวเองขึ้นไป แต่เราเพิ่งตระหนักความจริงวันนี้ว่า ทางลงเขานั้น ยากกว่า น่ากลัวมากกว่าและต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เผลอไม่ได้เลย สะดุดขณะทิ้งตัวหรือพลาดลงไปนี่คือกระแทกกับหิน แขนขาหักได้ ต้องมีสมาธิทุกก้าวที่วิ่ง

ทางป่าหญ้าสูงนั้น บางช่วงเป็นดินหนึบ ๆ บางช่วงมีหิน มีไม้ ตอโผล่ เอาไม้เท้าแหวกทางก็ต้องดูบนดูล่าง สังเกตริบบิ้นตลอดทาง เขาผูกถี่มาก กันหลงทาง และที่เราห่วงคือพวก 55 k ต้องวิ่งจนถึงเที่ยงคืนนี่ อันตรายสุด ๆ เราห่วงเพื่อนนักวิ่งคนหนึ่งที่ลง 55 k กว่าจะมาถึงจุดนี้น่าจะค่ำ ดูทางยากมาก


มีหลายกลุ่มที่มาวิ่งซ่อม เพราะครั้งที่แล้ว DNF กัน เขาว่าปีนี้ 35 k เปลี่ยนเส้นทาง โหดกว่าเดิม ลากเราไปขึ้นเขาจนครบทุกลูกบนดอยหนอกและดอยหลวง

จาก B1 ไป B2 ระยะ 8 กิโล แต่เราวิ่งกันสองชั่วโมงเพราะทางขึ้นลง ๆ จนท้อ

แต่เราก็มีเพื่อนร่วมทางตาม ๆ กันไป คิดว่าน่าจะทัน เพราะดูเวลาจากนี้อีก 12 กิโลจะถึงพื้นราบ เราเหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมง


ฉันก็เพิ่งประจักษ์กับตาตรงหน้าตอนนั้นว่า กิโลแรกกว่าจะลงไปได้ก็จะครึ่งชั่วโมงแล้ว เพราะทางดินร่วนและดิ่งลง ไม่มีเชือกให้ไต่โรยตัวเหมือนปีที่แล้วเพราะเขาเคยทำแล้วไม่เซฟ ทางลงดิ่งที่ว่าเป็นดินนิ่ม ๆ จะไถลก้นลง กางเกงมีขาดแน่ นั่งยอง ๆ จิกไม้เท้าก็จะหน้าทิ่ม น้ำตาจะไหล จะลงไปยังไง เห็นคุณสามีอยู่ลิบ ๆ โน่น เขาต้องรอฉันทุกจุดทุกระยะ ก็ดูเขาลงแล้วช่างง่าย มองไปข้างหลังน้องผู้ชายก็ลงไม่ได้เหมือนฉัน ทุลักทุเลตามกันลงมา

สักพัก นักวิ่ง 55 k วิ่งไถลลงให้เราดูหน้าตาเฉย สิบคนแรกที่ผ่านหน้านี่ มีหญิงสาว รูปร่างลีนและน่ารักมาก วิ่งค่ะ เธอวิ่งตัวปลิวเลย แต่พวกเรา 35 k มองตากันปริบ ๆ

กว่าจะผ่านแต่ละกิโลทางดิ่งที่ไม่ใช่ทางวิ่งนั้น กินเวลาเนิ่นนาน เราพยายามจะวิ่งให้ทันเวลาคัทออฟ

แต่ทางลงตามกราฟที่ผู้จัดให้ดูนั้น มันไม่ใช่ทางลงอย่างเดียว ยังขึ้น ๆ ลง ๆ จนส่ายหัวเลย จะโหดกับเราไปไหนเนี่ย ถึงไม่มีใครบ่นแต่ก็ยังอึ้งกับทาง 20 กิโลหลังจากดอยหนอกมาจนสิบกิโลสุดท้าย เราออกนำหน้ากลุ่มใหญ่ข้างหลังสักห้าร้อยเมตร ทุกโค้งที่เราจะออกป่า น้องก็ตะโกนถาม พี่เห็นถนนหรือยัง

คือเราลงมาถึงพื้นราบแล้ว โล่งอกโล่งใจเหมือนรอดตาย ยังเป็นทางดินในหมู่บ้าน เราเดิน ๆ วิ่ง ๆ เพื่อให้ทันเวลา ยังต้องผ่านลำธารอีกสี่เส้น ถึงกระนั้นก็ยังไม่เห็นถนนสักที

น้องข้างหลังตะโกนบอกมาอีกว่า เขาเพิ่มเวลาคัทออฟให้อีกครึ่งชั่วโมง น่าจะทันนะคะพี่

ต่างคนต่างให้กำลังใจกัน แต่จีพีเอสเราจับเวลาขาดเป็นช่วง ๆ เราพากันมาตามถนนแล้ว มาเจอพรรคพวกกลุ่มใหญ่ออกันอยู่ที่รถ แวะเข้าไปขอน้ำดื่ม โชคดีมีน้ำดื่มเย็น ๆ เพราะหิวน้ำจนคอแห้ง เช็คเวลาว่าตรงกันมั้ย น้องบอกว่า ตอนนี้พี่ไม่ทันคัทออฟแล้วครับ เลยเวลาแล้ว ฉันถึงกับเหวอเพราะตอนนี้ 32 กิโลแล้ว คิดว่าอีกสามกิโลจากนี้น่าจะทัน

เขาบอกต่อว่า จากตรงนี้อีก 7 กิโลจึงจะถึงเส้นชัย พี่จะได้ของที่ระลึกเป็นดอยหนอกแต่จะไม่บันทึกเป็นฟินิชเชอร์ !!


เราก็เอะใจ การ์มินบอกเราว่า เส้นทางถึงตรงนี้คือ 32 กิโลแล้ว วิ่งต่ออีก 7 กิโลนี่ใช้เวลาอีกชั่วโมงเลยนะ มองหน้ากัน จะไปต่อก็ได้แต่คงไม่เอาแล้วล่ะ ขอเซฟตัวดีกว่า เพราะฉันทั้งตกลงป่าหญ้าข้างทาง สามีลากขึ้นมา ไหล่ไม่หักก็บุญแล้ว แถมยังตกหินลงไปหลายอั้ก จุกน่าดู ทั้งที่ระวังตัวแล้ว เนื้อตัวตอนนี้ก็เขียวช้ำไปทั้งตัว แขนลาย แสบแผลหญ้าเกี่ยว หน้าดำจนแสบหน้าไปหมด แต่เตรียมใจว่าต้องเจอแบบนี้อยู่แล้ว ร่างกายอยู่ครบ ไม่แตกไม่หักก็โอเคแล้ว ตอนวิ่งนั้นคิดแค่ว่า ขอออกป่าและถึงพื้นราบอย่างปลอดภัยก็ดีใจสุด ๆ แล้ว


ไม่รู้ว่า เขาให้เราเป็น DQ หรือ DNF นะงานนี้

DQ คือโกง ไร้ศักดิ์ศรี น่าละอาย
แต่เราไม่ได้โกง
เราตัดสินใจออกจากการแข่งขันก่อนจะถึงเส้นชัย
ขาดสปิริตของนักวิ่ง ก็คงจะใช่
ก้มหน้ายอมรับความรู้สึกนี้ไป




ส่วน DNF คือวิ่งไม่จบ ถูกคัทออฟ ไม่ได้เป็นฟินิชเชอร์
ฟังดูเหมือนกันแต่ความรู้สึกไม่เหมือนกัน ดูมีสปิริตมากกว่า




ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ก็หมายความว่า งานเทรล 35 k หลวงพะเยาครั้งนี้ ฉันวิ่งไม่จบ ไม่ทันเวลาเป็นงานแรกตั้งแต่วิ่งมา

32 กิโล 11: 20 ชั่วโมง

หน้าจ๋อยเลย !!




แต่พอคิดว่า เรารอดชีวิตออกป่ามาได้อย่างปลอดภัยก็ดีใจที่สุด ยังไม่มีสติสตังค์คิดหาจุดบกพร่องเพื่อแก้มือ ปล่อยเวลาผ่านไปสักพัก ปล่อยให้เป็นเรื่องความพร้อมและอนาคตข้างหน้า เพียงแต่ตอนนี้ทำใจได้แล้ว ไม่เศร้าซึมกับภารกิจที่ทำไม่สำเร็จ

ฉันยกมือไหว้ขอขมาพระ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปทั่วสารทิศ ไหว้ตั้งแต่อยู่บนดอยจนลงดอยและก่อนกลับบ้าน ดีใจที่ปลอดภัย ความเหนื่อยนั้นได้พักสักวันก็เข้าที่เข้าทาง ยังไงก็ขอบคุณการซ้อมจริงจัง ขอบคุณการวิ่งโซนสองที่น่าเบื่อหน่ายเพราะมันยืดยาวและช้ามาก แต่ตั้งใจว่าจะวิ่งโซนสองต่อไปอีก จะพยายามวิ่งให้เร็วขึ้นในโซนสอง ยังไงก็คุ้มค่ากับการซ้อมมาโดยตลอด เพราะไม่งั้นคงบาดเจ็บ ออกป่ามาถึงพื้นราบไม่ได้แน่ ๆ ตะคริวขึ้นทั้งขาขึ้นและขาลงนี่ ลำบากสุด ๆ ใครก็ช่วยเราไม่ได้

ก า ร วิ่ ง ไ ม่ จ บ เ ป็ น ค ว า ม รู้ สึ ก ที่ ไ ม่ ชิ น หรอกนะ ไม่อยากเป็นแบบนั้น แต่นึกย้อนกลับไปเวลานั้น ฉันก็เต็มที่กับตัวเองแล้ว จะแก้ตัวว่าเอ้อระเหยกับการนั่งกินข้าวชมวิวนานไปหน่อยหรือมัวแต่ถ่ายรูปเลยไปไม่ทัน ก็จะเข้าข้างตัวเองเกินไป เพราะคนเก่ง ๆ เข้าเส้นชัยเก็ไม่น้อย แต่ฉันก็ยังภูมิใจมากกับการวิ่งเทรลวันนี้อยู่ดี เอาชนะความกลัวที่สูงตอนอยู่บนยอดเขา ฉันสามารถมองวิวสูงโดยรอบ เก็บเกี่ยวบรรยากาศข้างทาง และวิ่งสนุกมาก ๆ

แม้จะยังหลอน ๆ อยู่ว่า ผ่านมาได้ยังไง น่ากลัวชะมัดยาด แต่ดีใจที่สุดที่ได้วิ่ง ทางวิ่งสนุกมาก ๆ ได้ยิ้ม ได้ให้กำลังใจกับเพื่อนร่วมทาง หัวเราะกับความโหดของเส้นทางร่วมกับเพื่อนนักวิ่งคนอื่น สุขสุด ๆ ที่ได้วิ่งแหวกหญ้าไปตามสันเขา ลงทางดิ่งที่เป็นเหวสองข้าง ตั้งสติและลงไปจนได้ จะเสียใจอยู่นิดเดียวที่ทำให้สามีวิ่งไม่จบไปด้วย เพราะถ้าเขาไม่มาดูแลฉัน เขาก็วิ่งจบสบาย ๆ

ขอแสดงความยินดีกับนักวิ่งทุกคนที่ผ่านระยะเทรลมาราธอนทั้งสองระยะครั้งนี้นะคะ
สำหรับคนที่ไม่ผ่านเหมือนเรา ก็หวังจะได้เจอกันอีก
ขอให้สุขภาพแข็งแรงและมีความสุขทุกคนค่ะ




::

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
1 กรกฎาคม 2561












Create Date : 05 กรกฎาคม 2561
Last Update : 5 กรกฎาคม 2561 12:40:51 น.
Counter : 538 Pageviews.

1 comments
  
สวัสดีก่อนเลิกงานครับ
เล่ามองเห็นภาพเลยครับ พยายามต่อไปครับ ครั้งหน้ายังมีอีก
สู้ๆครับ
ส่วนผมเอง ก็ได้แค่ขี่จักรยานออกกำลังกายอยู่ในซอยของหมู่บ้านครับ

โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 5 กรกฎาคม 2561 เวลา:16:09:18 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com