Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
หมายเหตุ : คุยกันก่อน
[ฟัง-คิด-ถาม-เขียน]
อ่านมา แล้ว ตัดแปะ
พูดถึงหนังสือที่อ่าน
ดูหนัง แล้ว เล่าใหม่
เล่าเรื่องตลกขำขำ
ทำนองดนตรี กับ จังหวะชีวิต
ภาพ-เล่า-เรื่อง
The Plin, :-p Theater
เรื่อย ๆ เปื่อย ๆ
-{ ส า ร บั ญ }-
<<
เมษายน 2551
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
8 เมษายน 2551
เวียดนาม (19) : อุโมงค์กู๋จี (Địa đạo Củ Chi)
All Blogs
เสียงไก่ขันยามเช้า
เดินเล่น ชมเมือง ภูเก็ต
ซ้อนท้าย จักรยานยนต์
พระพุทธบารมีสยามบุรีพิทักษ์
ผานางคอย (ผาพระ) วัดเขาศาลา จังหวัดสุรินทร์
รอยพระพุทธบาท ที่ วัดเขาศาลาฯ อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์
แมววัด
เวียดนาม (20) : โฮจิมินห์ซิตี้วันสุดท้าย
เวียดนาม (19) : อุโมงค์กู๋จี (Địa đạo Củ Chi)
เวียดนาม (18) : War Remnants Museum - โฮจิมินห์ซิตี้
เวียดนาม (17) : พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจาม เมืองดานัง
เวียดนาม (16) : ฮอยอัน (Hội An)
เวียดนาม (15) : สุสานจักรพรรดิไคดิงห์ (Khải Định)
เวียดนาม (14) : พระราชวังต้องห้าม
พระเจดีย์มุตาว
เวียดนาม (13) : เจดีย์เทียนมู และ รถ Austin คันนั้น
เวียดนาม (12) : แม่น้ำหอม
เวียดนาม (11) : หุ่นกระบอกน้ำ
เวียดนาม (10) : สะพานเทฮุก วัดหง๊อกเซิน และ ทะเลสาบคืนดาบ
เวียดนาม (9) : พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ที่ฮานอย
เวียดนาม (8) : Chua Mot Cot - เจดีย์เสาเดี่ยว
เวียดนาม (7) : สุสานโฮจิมินห์ และ ทำเนียบประธานาธิบดี
เวียดนาม (6) : Văn Miếu - วัดในศาสนาขงจื้อ และ Quốc Tử Giám - มหาวิทยาลัยโบราณ
เวียดนาม (5) : The Kissing Cocks Island(s) ในอ่าวฮาลอง
เวียดนาม (4) : Thiên Cung Grotto - ถ้ำพระราชวังสวรรค์
พรุ่งนี้หวยออก วันนี้เลยมาใบ้หวย
เวียดนาม (3) : ล่องเรือที่อ่าวฮาลอง
เวียดนาม (2) : ระหว่างทางไปอ่าวฮาลอง
เวียดนาม (1) : รอ "เธอ" ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
เททองหล่อพระ
รูปถ่ายเผยโฉม
เซ็งโว้ยยย.. ก็เลย.. หาอะไรทำแก้เซ็ง
[สุญญตา คือ ความว่าง] - [ตถตา คือ เช่นนั้นเอง]
หกผีอัปรีย์
"เจ้าผึ้งน้อย" กับ "ดอกตะขบ" (VDO พร้อมเรื่องประกอบ)
คำถามช่วยชีวิต
Diary ของ "น้องปั๋ม" I'm a Happy Pug. ค่ะ
อย่า แอบ มอง หนู -- อย่า ดู สิ คุณ
เสาอินทขีล : เสาแห่งปฏิญญาฟ้าเวียงพิงค์ : ความนัยของความร่มเย็น
ต้นยางใหญ่
กระจก ฉัน แมลง
Carica papaya
บริจาค
Artocarpus heterophyllus
อนาคตประเทศไทย
เทวดา นางฟ้า
ดอกไม้ริมทาง
ขอฃวดหน่อยคร๊าบ
ขอ "น้องปั๋ม" อ่านหนังสือบ้างสิคะ
เล่นซ่อนแอบ
แจกัน กับ วันเหงา ๆ
มองหน้าหาเรื่อง (เหรอไงวะ?)
หน้าบ้าน
เมฆดำ
"ควาย" เพื่อนบ้าน
หมดไปอีกวัน
พระอาทิตย์ และ พระจันทร์ (วันแรม 1 ค่ำ)
"มด" ที่ป้ายรถ
ศรีลังกา (14) : แล้วเราก็กลับมาโคลอมโบอีกครั้ง (เพื่อกลับประเทศไทย)
ศรีลังกา (13) : วัตดูวา
ศรีลังกา (12) : วันนี้วันพระ
ศรีลังกา (11) : The Bridge on the River Kwai !!
ศรีลังกา (10) : Nuwara Eliya และ Ceylon Tea
ศรีลังกา (9) : สวนพฤกษชาติ (Royal Botanical Garden, Peradeniya)
ศรีลังกา (8) : นมัสการพระเขี้ยวแก้ว
ศรีลังกา (7) : สีคิริยา เมืองปราการลอยฟ้า
ศรีลังกา (6) : ดัมบุลลา วัดถ้ำบนภูเขา
ศรีลังกา (5) : "ป่าต้นบุนนาค" "Pink Quartz Mountain" และ พระภิกษุนักอนุรักษ์
ศรีลังกา (4) : อนุราธปุระ นครหลวงแห่งแรกของศรีลังกา
ศรีลังกา (3) : ระหว่างทางไป อนุราธปุระ
ศรีลังกา (2) : เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราก็ไปถวายพระพุทธรูปกัน
ศรีลังกา (1) : แล้วเราก็ไปกรุงโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา
เวียดนาม (19) : อุโมงค์กู๋จี (Địa đạo Củ Chi)
[ภาพ-เล่า-เรื่อง]
[อ่าน ท่องเที่ยว เวียดนาม ตอนอื่น ๆ]
<<
ตอนที่แล้ว
ตอนต่อไป
>>
หลังจากแวะเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สงคราม
(War Remnants Museum)
กันแล้ว พวกเราก็เดินทางไปโรงแรมที่พักกัน ระหว่างทาง คุณไกด์ก็ได้แจ้งว่า เนื่องจากในวันรุ่งขึ้น พวกเราจะไป
อุโมงค์กู๋จี
ถ้าใครพิจารณาตัวเองแล้วคิดว่าไม่พร้อม ก็ขอให้ถอนตัวเสีย แล้วถ้าหากว่าไม่อยากนอนเล่นในโรงแรม ก็จะพาไปเที่ยวที่อื่นก่อน
ตอนแรก ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่า คุณไกด์พูดเล่นหรือพูดจริง เพราะ พอไม่เห็นมีใครประกาศถอนตัว คุณไกด์ก็ชี้ไปที่พวกเราสองสามคน แล้วบอกว่า
"คนนี้ไม่ผ่าน"
(ไม่ได้ชี้ที่ข้าพเจ้านะ)
เรื่องของเรื่องคือ คณะเราส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ แล้วมีพวกเราบางคนที่ไม่สบาย และบางคนที่เดินมาก ๆ ไม่ค่อยไหว เพราะเดี๋ยวก็จะ เหนื่อยบ้าง ปวดหัวเข่าบ้าง
แต่คนที่คุณไกด์ชี้ไป ไม่ใช่ทั้งคนที่ไม่สบาย
(ซึ่งตอนนั้นค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว)
และ คนที่สูงอายุมาก ๆ
คืนนี้พวกเราพักผ่อนเอาแรงกันที่
First Hotel
ในกรุงโฮจิมินห์ซิตี้ เตรียมพร้อมเข้าสู่
สมรภูมิรบ
ต่อไป
(ดูเหมือนว่า คุณไกด์จะชอบใช้คำว่า เข้าสู่สมรภูมิรบ มากกว่า แวะไปเที่ยว)
ในช่วงสาย ๆ ของวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2550 พวกเราก็มาถึงตำบลกู๋จี ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 70 กิโลเมตร
ณ ตำบลนี้มีเรื่องราวเล่าขาน ถึงตำนานการต่อสู้ของชาวบ้าน โดยร่วมกับ เวียดกง สามารถต้านทานกองกำลังสหรัฐอเมริกาที่มีแสนยานุภาพสูงกว่าหลายเท่าได้
ไม่เพียงตั้งรับเท่านั้น แต่ยังสามารถโจมตี สร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้อย่างมากอีกด้วย
และยุทธวิธีหนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมากคือ
การขุดอุโมงค์ หลบซ่อนอยู่ใต้ดิน
พอซื้อบัตรผ่านแล้ว พวกเราเข้าห้องชมวีดีโอ ดูเหมือนว่าวีดีโอจะเก่ามาก ภาพยังเป็นขาวดำอยู่เลย เนื้อหาเกี่ยวกับวีรบุรุษและวีรสตรีสงครามแห่งตำบลกู๋จี มีหลายภาษาด้วยกัน
วีดีโอที่พวกเราชมกันนั้นเป็นภาษาไทย ที่พากย์โดยสาวชาวเวียดนาม ด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด และอารมณ์ที่โกรธแค้น ต่อสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามารุกรานประเทศอันเป็นที่รักยิ่งของเธอ
ฟังแล้วก็นั่งคิดว่า วีดีโอที่พากษ์เป็นภาษาอังกฤษให้นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันดูนั้น จะมีเนื้อความและอารมณ์ในแบบเดียวกันหรือไม่
ชาวบ้านในแต่ละหมู่บ้านจะขุดอุโมงค์ และหลบภัยอยู่ใต้พื้นดิน
ซึ่งอันที่จริงแล้ว อุโมงค์ที่สร้างขึ้นนี้ ไม่ได้มีแต่เฉพาะที่ตำบลกู๋จีเท่านั้น หลายหมู่บ้านในหลายตำบลได้สร้างอุโมงค์ใต้ดินขึ้น ในเวลาต่อมา อุโมงค์เหล่านี้ก็เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายที่ซับซ้อน
เนื่องจากเครือข่ายอุโมงค์เหล่านี้ หนาแน่น ซับซ้อนมากที่สุดที่กู๋จี จึงรู้จักกันในชื่อว่า อุโมงค์กู๋จี
อุโมงค์เหล่านี้ ไม่ได้เพิ่งจะสร้างมาเพื่อตั้งรับกับกองกำลังอเมริกัน
หากแต่ค่อย ๆ สร้างขึ้นทีละน้อย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) แล้ว
โดยชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ขุดอุโมงค์ เพื่อกำบังการโจมตีตั้งแต่สมัยที่ยังสู้กับฝรั่งเศส
(ก่อนการรุกรานของอเมริกันเสียอีก)
เมื่อสร้างอุโมงค์เล็ก ๆ ขึ้นหลายจุด ก็มีการขุดเพื่อเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน จนในปี พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965)
เครือข่ายอุโมงค์นี้มีความยาวมากกว่า 200 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกไปถึงชายแดนกัมพูชา และทางตะวันออกไปจนถึงโฮจิมินห์ซิตี้เลยทีเดียว
ในปัจจุบัน ชั้นดินที่ขุดอุโมงค์หลายแห่ง ได้ยุบตัวลงแล้ว ทั้งจากธรรมชาติ และจากการทำลายด้วยวิธีการต่าง ๆ ของฝ่ายอเมริกัน
อุโมงค์แต่ละจุดจะสร้างลึกลงไป 2-3 ชั้น ไม่ได้ลึกจากผิวดินมากนัก
(ประมาณ 10-15 เมตร)
เชื่อมต่อกับอุโมงค์จุดอื่น ๆ เป็นเครือข่าย สามาถไปมาหากันได้ มีกับดักกันผู้บุกรุก
อุโมงค์แต่ละจุดจะมีระบบระบายอากาศด้วย
จากภาพข้างบนจะเห็นเป็นลักษณะท่อเล็ก ๆ เชื่อมจากห้องไปที่ผิวดิน
อุโมงค์บางช่วงใหญ่พอจะจัดเก็บเสบียงอาหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ มีห้องพยาบาล มีห้องนอน ห้องครัว หรือแม้แต่ห้องฉายหนัง และยังมีทางเชื่อมไปแหล่งน้ำใต้ดินอีกด้วย
(ภาพจาก
BBC News
)
แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว อุโมงค์จะไม่ได้มีความกว้างมากนัก เวลาเคลื่อนตัวผ่าน จะต้องโก้งโค้ง หรือ คลานเป็นส่วนใหญ่
และอันที่จริงแล้ว ชีวิตภายในอุโมงค์ใต้ดินนั้น ก็ไม่ได้สะดวกสบายนัก
แต่เพราะการรุกรานของข้าศึก บรรดาชาวบ้าน และ กลุ่มเวียดกง ต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อรับกับสภาพที่ยากลำบากแบบนี้
ห้องดูวีดีโออยู่ในอาคารละแวกเดียวกับห้องขายบัตรผ่านประตู ซึ่งถ้าจะไปชมดูอุโมงค์ที่ว่า พวกเราต้องเดินออกจากอาคารนี้ก่อน ซึ่งทางผ่านเข้าไปนั้น มีลักษณะคล้ายอุโมงค์ขนาดใหญ่อยู่เหมือนกัน
ตอนแรกพวกเราเดินเข้ามาก็ไม่เห็นอะไร นอกจากหลุมหลบภัย กับพื้นที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้
ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ก็แสดงให้เห็นว่า พื้นดินที่พวกเรายืนอยู่นั้น มีอุโมงค์อยู่ข้างใต้ โดยแผ่นประตูที่ปิดทางเข้านั้น กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
นอกจากนี้ ปากทางเข้ายังค่อนข้างเล็กอีกด้วย จึงมีแต่คนที่ค่อนข้างผอมเท่านั้นจึงจะลอดผ่านเข้าไปได้ พวกเราจึงลองให้สมาชิกในคณะท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้สูงอายุ และค่อนข้างผอม ลองลงไปยืนที่ปากอุโมงค์ดู
ทีนี้ ข้าพเจ้าพอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมคุณไกด์ถึงบอกว่า "คนนี้ไม่ผ่าน" เพราะผู้คนในยุคปัจจุบันรูปร่างค่อนข้างใหญ่โต แม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนรูปร่างอ้วนก็ตาม
ถ้ามองลงไปจะเห็นว่า มีช่องทางเข้าไปข้างในอีก ซึ่งมีขนาดเล็กมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
รูปร่างอันใหญ่โตของทหารอเมริกันคงไม่สามารถลอดผ่านลงไปได้
พวกเราค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ ก็เห็นร่องรอยของปากทางเข้าอุโมงค์ และ กับดักเป็นระยะ
เนื่องจากต้องขุดอุโมงค์ลงไปในชั้นดิน จึงมีเศษดินจำนวนมากขึ้นมาอยู่บนพื้น และอาจเป็นที่สังเกตุของศัตรูได้ พวกเขาก็มีวิธีจัดการกับเศษดินเหล่านี้หลายอย่าง เช่น เอาไปไว้ในนาข้าว เอาไปทิ้งในแม่น้ำ ถมพื้นที่ที่ถูกระเบิด แต่ที่น่าสนใจคือ
เอามากองไว้ ให้ดูคล้ายจอมปลวก โดยมักจะทำไว้ใกล้ ๆ บริเวณที่จะเป็นช่องทางระบายอากาศ
(เช่น ที่เห็นในมุมขวาล่างของรูป)
ทหารอเมริกันรบอยู่นาน โดยไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว กลุ่มกองกำลังเวียดกง และ ชาวบ้าน หลบอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินนี่เอง
อุโมงค์มีความแข็งแรงพอสมควร ที่รถถังจะวิ่งผ่านไปได้โดยชั้นดินไม่ยุบลง เมื่อใดก็ตาม ที่กองทัพอเมริกันเผลอ บรรดาเวียดกงก็ออกจากอุโมงค์ที่หลบซ่อน เพื่อจู่โจมโดยไม่ให้ทันได้ตั้งตัว
เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ก็หลบลงอุโมงค์ใต้ดินอีก
การสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็นแบบนี้ ทำให้อเมริกาสูญเสียไปมากเช่นกัน แม้ว่าแสนยานุภาพจะสูงกว่า
(แต่ข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า ยุทธวิธีหลบซ่อนใต้ดินแบบนี้ คงจะใช้ไม่ได้แล้วในปัจจุบัน)
ทีนี้ มาลองเข้าไปในอุโมงค์กันบ้าง ซึ่ง
อุโมงค์บางส่วนได้มีการปรับปรุง โดยเสริมให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ปรับให้มีความกว้างมากขึ้น
เพียงพอให้นักท่องเที่ยวในปัจจุบันสามารถลอดผ่านเข้าไปได้สะดวกขึ้น
เราให้เกียรติสุภาพสตรีก่อน ก็เลยให้มารดาข้าพเจ้าลงไปก่อน
ต่อด้วยคุณน้าสองคนนี้ แล้วข้าพเจ้าก็ค่อยตามลงไปบ้าง
ภายในอุโมงค์มืดมาก ต้องใช้มือคลำไปตลอดทาง พอดีว่าข้าพเจ้าถ่ายภาพโดยใช้ flash จึงเห็นเป็นแบบนี้
และแม้ว่าจะมีการขยายอุโมงค์แล้วก็ตาม พวกเราก็ยังต้องนั่งยอง ๆ แล้วค่อย ๆ ขยับเดินตาม ๆ กันไป ทีละคนเท่านั้น
(ลองนึกถึงเป็ด ข้าพเจ้าคิดว่า ท่าทางการเดินในตอนนั้น ก็คล้าย ๆ กันกับเป็ดอยู่)
ถึงทางออกเสียที ดีที่ว่าไม่มีใครเป็นลม เพราะคงช่วยเหลือกันค่อนข้างจะลำบาก
มีเจ้าหน้าที่ คอยดูแลความปลอดภัย เดิน
(มุด / คลาน)
ตามหลังมาด้วย
ความลับไม่มีในโลก ดังนั้น ในที่สุดฝ่ายทหารอเมริกันก็รู้ว่า มีเครือข่ายอุโมงค์ซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน
ซึ่งทางกองทัพอเมริกันก็คิดหาวิธีการต่าง ๆ ในการทำลายเครือข่ายอุโมงค์ รวมถึง ชาวบ้าน และ เวียดกงที่ซ่อนอยู่ภายในอุโมงค์เหล่านี้ เช่น การปั้มน้ำลงไป เพื่อทำลายระบบอุโมงค์ แต่ก็ไม่สำเร็จ ด้วยเพราะอุโมงค์มีการเชื่อมต่อกันอย่างซับซ้อนและกว้างขวางเกินไป ซึ่งจะต้องใช้น้ำปริมาณมหาศาลมากจึงจะทำให้น้ำท่วมได้หมด
มีการทิ้งระเบิด เช่น
B-52
ลงในพื้นที่บริเวณนี้ แรงระเบิดทำให้เกิดเป็นหลุมเป็นบ่อเต็มไปหมด
ซึ่งก็จะทำลายอุโมงค์ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น และดินที่ถล่ม ยุบลงไปบริเวณรอบนั้น ก็จะปิดทางเชื่อมติดต่อกับอุโมงค์ส่วนที่เหลือ
ทำให้ทหารอเมริกันไม่สามารถไล่ตามฝ่ายเวียดกงได้ทัน
(เพราะมุดหนีไปอยู่ที่บริเวณอื่นแล้ว)
นอกจากนี้ วัตถุระเบิดที่ถูกใช้ในบางครั้งก็ไม่ระเบิดอีกด้วย ซึ่งก็จะถูกฝ่ายเวียดกงยึดทำลาย แล้วดัดแปลงเอาดินปืนไปใช้ทำอาวุธ เพื่อต่อสู้กับฝ่ายอเมริกัน
อย่างเช่น รถถัง M41 คันนี้ ก็ถูกทำลายโดยระเบิดที่ถูกฝ่ายเวียดกงทำขึ้น
อาวุธของฝ่ายอเมริกันนั้น กะจะฆ่าเวียดกงให้ตาย หายไปจากแผ่นดินเลยทีเดียว ทีนี้มาดูกับดักที่ใช้โดยฝ่ายเวียดกงกันบ้าง
ซึ่งดู ๆ แล้ว กับดักเหล่านี้
อานุภาพไม่ร้ายแรงอันใดเลย อย่างมากสุดก็คงทำให้ทหารผู้โชคร้ายไม่สามารถเดินต่อได้เท่านั้น
คุณไกด์อธิบายว่า ถ้าฆ่าทหารอเมริกันให้ตายไปเลย ศพทหารผู้โชคร้ายก็อาจถูกเก็บไปให้พ้น ๆ จากการรับรู้ของทหารนายอื่น ๆ อย่างมาก ก็อาจจะได้รับการบอกกล่าวว่า กำลังรักษาตัวอยู่ในสถานพยาบาล ไม่ต้องเป็นห่วง
ทหารก็จะไม่เสียขวัญ
แต่การไม่ฆ่าให้ตายนั้น เป็นกลอุบายทางจิตวิทยาของฝ่ายเวียดกง เนื่องจากทหารอเมริกันที่มารบส่วนใหญ่ไม่ได้อยากมารบในที่ต่างแดนให้ลำบากอยู่แล้ว
ถ้าหากทำให้ทหารหนึ่งคนบาดเจ็บ เดินต่อไม่ได้ เพื่อน ๆ ทหารก็ต้องพาทหารผู้โชคร้ายคนนั้นกลับเข้าค่ายทหาร การที่ทหารคนหนึ่งติดกับดัก ร้องด้วยความเจ็บปวด ย่อมส่งผลทางจิตวิทยา บั่นทอนขวัญกำลังใจในการรบของทหารนายอื่น ๆ ทำให้ไม่อยากจะรบอีกต่อไป
ซึ่งในที่สุดแล้ว เวียดกง ก็เป็นฝ่ายชนะ
สมรภูมิรบที่ตำบลกู๋จีนี้ ทางรัฐบาลเวียดนามอนุรักษ์ไว้เพื่อสดุดีวีรกรรมการสู้รบ ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา
และ ยังพัฒนาขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย
อันที่จริงมีสนามยิงปืน โดยใช้ไรเฟิลอัตโนมัติ AK-47 แต่พวกเราไม่ได้แวะไปใช้บริการ
References
Địa đạo Củ Chi - CU CHI TUNNEL
Cu Chi: The underground war จาก BBC News
Visit the Vietcong's World: Americans Welcome
Củ Chi tunnels ใน Wikipedia
<<
ตอนที่แล้ว
ตอนต่อไป
>>
[อ่าน ท่องเที่ยว เวียดนาม ตอนอื่น ๆ]
[ภาพ-เล่า-เรื่อง]
Create Date : 08 เมษายน 2551
Last Update : 7 กรกฎาคม 2551 22:12:24 น.
5 comments
Counter : 6561 Pageviews.
Share
Tweet
ทึ่งกับชาวเวียดนามมากๆเลยค่ะ นี่แหละถึงรบชนะชาติมหาอำนาจอย่างอเมริกาได้ นับถือจริงๆ
เคยอ่านเรื่องเป็นตอนๆ จากหนังสือบางกอก แหม เก่าซ้า อิอิ ติดใจมากเลยค่ะ ดีจังที่มีคนเอามาให้ดูของจริง ไว้ว่างๆ จะแวะไปดูเรื่องเก่าๆ ที่เขียนไว้นะคะ ขอบคุณมาก บล๊อคสาระเยอะมากค่ะ ชอบๆๆๆ
โดย:
grippini
วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:3:10:54 น.
ผมสนใจประวัติศาสตร์เวียตนามด้านการรบมากเลยครับ
ถ้ามรโอกาสอยากไปเยือนสักครั้งหนึ่ง
โดย:
กระต่ายไม่ขูดมะพร้าว
วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:8:28:15 น.
ผมสนใจเรื่องการขุดอุโมงค์มากเลยนะครับ
ผมมีสมมติฐานส่วนตัวว่า การขุดอุโมงค์แบบนี้ อาจจะเป็นภูมิปัญญาของทางเอเชียก็ได้ ทางตะวันตกถึงคิดไม่ถึง
จำได้ว่า ตอนเรียนชั้นประถม ไทยกับพม่าก็ขุดอุโมงค์ แล้วมาเจอกันใต้ดิน รบกันใต้ดิน แต่ในนั้นบอกว่า เดินได้ทั้งกองทัพ แสดงว่า ต้องขุดอุโมงลึกและใหญ่มาก ทำให้รบกันได้
เรื่องขอมดำดิน ผมว่า ก็อาจจะเป็นเรื่องการขุดอุโมงค์
ที่น่าสนใจคือ บริเวณกู๋จี ถ้าเทียบแผนที่ดูแล้ว น่าจะอยู่ในเขตอาณาจักรจามปา โบราณ อาณาจักรนี้ กับ เขมร มีวัฒนธรรมใกล้กัน
ผมยังเคยสงสัยเลยว่า คำว่า ขอม เนี่ย อาจจะเป็นการเรียกรวม ๆ ระหว่าง เขมร กับ จาม ก็ได้ (อันนี้มั่วเอง แต่เหมือนจะเคยมีหนังสือ เขียนอะไรทำนองนี้ ถ้าหา reference ได้ จะมาบอกอีกที)
โดย:
Plin, :-p
วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:10:39:10 น.
แวะมาทักทายและเก็บภาพสวยๆ จากคุนหมิงเมืองไทย ที่ จ.เลยมาฝากครับ
คลิกที่ภาพได้เลยนะคร้าบบบบบ
ในอุโมงค์น่าอึดอัดจังครับ
โดย:
มิสเตอร์ฮอง
วันที่: 9 เมษายน 2551 เวลา:22:42:50 น.
ทึ่งมากค่ะ กับอุโมงค์ น่าสนใจมากทีเดียว
เห็นแล้วตื่นเต้นด้วยค่ะ อยากเข้าไปดูบ้างจังเลย
เห็นโครงสร้างแล้วทึ่งนะ
เพราะว่าเคยเจอแต่ในหนังสือการ์ตูน โดราเอมอน
คิดว่ามีแบบนี้แต่ในการ์ตูนเสียอีก
แต่ทางเวียดนามก็ฉลาดนะ ใช้จิตวิทยาเข้าช่วย เรื่องกับดัก ไม่ฆ่าให้ตาย แต่ทรมาน ให้บั่นทอนตัดกำลังใจทหารอเมริกัน
เห็นด้วยกับคุณplin นะ ที่บางอย่างที่เป็นภูมิปัญญาของคนเอเชีย แต่พวกตะวันตกก็ไม่อาจคาดถึง
โดย:
เเสงตะวัน
วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:1:11:09 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
Plin, :-p
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [
?
]
Tweets by @paul_lin
บันทึก ท่องเที่ยว เวียดนาม
e-mail :
rethinker@hotmail.com
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add Plin, :-p's blog to your web]
Links
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
Project Gutenberg
New England Journal of Medicine
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
เคยอ่านเรื่องเป็นตอนๆ จากหนังสือบางกอก แหม เก่าซ้า อิอิ ติดใจมากเลยค่ะ ดีจังที่มีคนเอามาให้ดูของจริง ไว้ว่างๆ จะแวะไปดูเรื่องเก่าๆ ที่เขียนไว้นะคะ ขอบคุณมาก บล๊อคสาระเยอะมากค่ะ ชอบๆๆๆ