-'@'-Journey Of Love-'@'- เมื่อหัวใจเดินทาง
Welcome to USANA
Welcome to My Home...
مصر ท่องดินแดนไอยคุปต์
Türkiye 1 ประเทศ 2 ทวีป
ตามรอยบาท พระศาสดา
My Trip...My Pic
คลังเก็บรูป
Namtip Apartment, Kabinburi
โปรดระวัง!!! Romance Scam Email
Japan Trip 2024
พฤศจิกายน 2567
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
25 พฤศจิกายน 2567
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (12)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (13)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (12)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (11)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (10)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (9)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (8)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (7)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (6)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (5)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (4)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (3)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (2)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (1)
ทริปเดินขาลาก ญี่ปุ่น โอซาก้า - โตเกียว 14 วัน (12)
ไปไหนก็ได้ขอแค่ให้มีรถสาธารณะไปถึง (6)
วันนี้ตื่นสายเพราะโปรแกรมเที่ยวอยู่แค่ในเกียวโต ตื่นมาก็จัดการเก็บของคัดแยกเพื่อจะได้ส่งกระเป๋าใบใหญ่ไปโตเกียว แล้วเหลือแค่นอนโอซาก้า 2 คืน กับ โกเท็มบะ 2 คืน ใส่กระเป๋าขนาด 20 นิ้วสบายๆ พอจัดกระเป๋าเรียบร้อยยกลงมาข้างล่างเจอคุณคุโบะกำลังทำความสะอาดพอดี เลยเขียนใบส่งกระเป๋าเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ด้วย แล้วให้เราไปส่งที่ Family Mart ใกล้กับ Fresco ที่ไปเมื่อวาน
ตอนส่งกระเป๋าก็แค่วัดขนาด กว้าง ลึก สูง ไม่มีการชั่งน้ำหนัก พนักงานก็จะถามแค่ต้องการให้ส่งถึงที่หมายวันไหน ช่วงเวลาอะไร ของในกระเป๋าเป็นอะไร คิดตังค์ แตะบัตร ติ๊ดจ่าย จบ ได้ใบต้นฉบับส่งกระเป๋าคืน ราคาบริการรวม 2,530 เยน เน้นสะดวกสบาย 'Hands-Free Travel' service
กลับถึงที่พักก็เตรียมตัวไป TOEI Kyoto Studio Park แต่กว่าจะออกจากห้องพักก็เกือบ 10 โมงแล้ว นั่งรถบัสไปลงสถานีเกียวโต ชานชลาหมายเลข 31 32 33 แล้วขึ้นรถไฟสาย Sagano เส้นทางที่ไป Arashiyama แต่ลงที่สถานี Uzumasa จากนั้นก็เดินตามป้ายบอกทางมาเรื่อยๆ ทางเข้าจะมี 2 ทาง แต่ทางที่มาจากสถานีอุซุมาสะเป็นประตูเข้าด้านหลัง เข้าไปที่เคาน์เตอร์โชว์ตั๋วที่ซื้อไว้ ค่าตั๋ว 2,400 เยน ซึ่งตั๋วที่ซื้อมาเป็นแค่ตั๋วผ่านประตูเข้าชมทั่วไปเท่านั้น ยังไม่รวมค่าเข้าโซนกิจกรรมต่างๆ ที่จะมีราคาแยกเป็นชิ้นๆ
NICHIRIN SWORD N’ GO! (400 เยน)
3D Maze The Ninja Fort (500 เยน)
Ninja Mystery House (600 เยน)
Haunted House (600 เยน)
ถ้าซื้อตั๋วแบบ Combo รวมค่าเข้าดูโชว์ หรือกิจกรรม ราคา 3,500 เยน
จากนั้นก็เดินเข้าไป ทางเดินข้างโรงถ่ายหนัง Cinema Road ตลอดทางเดินไม่มีนักท่องเที่ยวผ่านเลย จนถึงโซนที่เป็นบ้านร้านค้าแบบโบราณ เรียกว่า Edo Town ซึ่งมีแค่ถนนตรงๆ ระยะทางสั้นๆ มีบ้านเรือนอยู่ไม่กี่หลังเดินวนถ่ายรูปแป๊บเดียวก็หมดแล้ว
เลี้ยวออกจากโซนเมืองเก่า ก็จะเป็นส่วนของกิจกรรมอย่าง โรงฝึกฟันดาบสำหรับเด็กน้อย ร้านเช่าชุดนินจา ชุดซามูไร ยูกาตะหรือกิโมโน โรงฝึกปาดาว (ชูริเคน) ของนินจาสายอิกะ (Iga Style) บ้านนินจา เข้าบ้านไปแล้วทะลุประตูกล ไต่กำแพง เดินตัวเอียง หาทางออก
เดินเลยไปก็จะเป็นหุ่นยนต์ตัวใหญ่ยักษ์ที่ยื่นมือออกมาให้คนได้เข้าไปถ่ายรูป กับตัวละครจากเรื่อง
Evangelion
พอเดินถึงลานกลาง พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กน้อยเต็มลานเลย คิวต่อเข้าแต่ละโซนยาวมาก แถมแดดจัดฟ้าสวยอีก จะหาร้านอาหารนั่งหลบแดดก็ไม่มีที่นั่งอีก เลยทำได้แค่กดตู้น้ำแล้วเล็งเก้าอี้หน้าร้านใครลุกวิ่งเข้าไปเสียบต่อทันที
สมัยก่อนมาเที่ยวที่นี่จะเป็นฉากบ้านโบราณ แล้วก็มีถ่ายละครย้อนยุคให้แอบส่องการแสดงห่างๆ พอเดินได้บรรยากาศเก่า แต่นักท่องเที่ยวก็จะไม่ได้เยอะมาก ได้ดูการแสดงนินจา กับเข้าบ้านนินจาก็สนุกแล้ว
แต่ตอนนี้กิจกรรมเยอะมาก และเป็นอีเวนต์แบบฤดูกาล ใครที่คิดจะพาเด็กมาด้วยต้องวางแผนเวลาให้ดีด้วย ไม่งั้นซื้อตั๋วแบบ Combo มาแต่เข้าได้ไม่คุ้มค่าตั๋ว ร้านอาหารในนี้ค่อนข้างน้อยมาก มีร้านราเมง ร้านอุด้ง แล้วก็ที่โซน Padios แต่ที่นั่งก็น้อยมาก
มีป้ายโฆษณาอีกไม่กี่ปี ที่เกียวโตจะมี USJ ด้วย แต่ไม่ใช่ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ นะ แต่ชื่อ Uzumasa Studio Japan ตอนนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณ 2027
ในเมื่อเข้าเล่นอะไรไม่ได้ หาที่นั่งทานข้าวก็ไม่ได้ สรุปเดินออกทางประตูหลักไปขึ้นรถราง Randen ที่สถานี Uzumasa Koryuji นั่งยาวสุดสายที่สถานี Shijo Omiya เพื่อต่อรถบัสกลับที่พักก่อน หิว เหนื่อย ร้อน รอช่วงบ่ายสามค่อยออกไปตะลอนใหม่อีกรอบ
ตรงนี้คือ Ruin of Rajomon อยู่ในซอยเล็กๆ ใกล้กับป้ายรถบัสฝั่งตรงข้ามกับที่พัก พื้นที่ในอดีตเคยเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ปัจจุบันเหลือ เสาหิน 1 ต้น เป็นสัญลักษณ์ ในแผ่นป้ายอธิบายว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นประตูหลักที่จะเข้าสู่เมืองหลวงเฮอันเคียว (เกียวโต) แต่ถูกภัยธรรมชาติจากพายุฝนทำให้พังลงในปี 816 และไม่ได้สร้างขึ้นใหม่ เชื่อกันว่ารูปแกะสลักไม้ คือ คุชามงเท็น และแผ่นหินรูปยักษ์ (โอนิ) เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เกียวโต มีตำนานและเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องลึกลับเกี่ยวกับผีปีศาจ เป็นที่ศพไร้ญาติหรือเด็กทารกถูกนำมาทิ้ง และที่หลบซ่อนของเหล่าโจร คล้ายว่าเคยผ่านตามาจากนิยาย หรือหนังเมื่อสมัยเด็กๆ ทางเคเบิ้ลทีวีช่องหนึ่งเคยเอามาฉายเมื่อ 2 ปีก่อนมั้ง
ได้ฤกษ์ก้าวขาออกจากบ้านพักตอนบ่าย 3 โมงตรง ก็ข้ามถนนมาขึ้นรถบัสเพื่อไปวัดคิโยมิซึ ซึ่งอยู่ทางภูเขาฝั่งตะวันออกของเมืองเกียวโต นั่งรถบัสสาย 202 ยาวจนถึงป้าย Kiyomizumichi แล้วเดินข้ามถนน เข้าสู่เส้นทางวัดแรงกายอีกรอบ เดินชิดขอบถนนขึ้นไปเรื่อยๆ โปรดอย่าถามว่าเดินไกลแค่ไหน แค่ให้รู้ว่า “โปรดส่งใครมารับฉันที อยู่ตรงนี้มันเหนื่อยเกินไป” จากป้ายรถบัสถึงจุดจอดรถบัสนักท่องเที่ยวแค่ 400 เมตร แล้วค่อยเริ่มนับ 1 ใหม่ เดินอีก 300 เมตรก็ถึงประตูวัดแล้ว ไม่ได้ไกลเลย แต่เป็นทางขึ้นเนินตลอดแถมอากาศร้อนมาก
ในที่สุดก็ถึงบันไดขึ้นสู่ประตูนิโอะ Nio Mon ที่สูงถึง 14 เมตร เส้นแบ่งเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ นักท่องเที่ยวยืนถ่ายรูปเต็มพื้นที่ ก่อนจะเดินขึ้นบันได ให้มองไปทางซ้ายมือ จะมีศาลเจ้าเล็กๆ เรียกว่า Kubi Furi Jizo ด้านขวามือมีพระหินขนาดกลาง 1 องค์ ใส่หมวกสีแดง เชื่อกันว่า ให้อธิษฐานแล้วหมุนเฉพาะส่วนคอของพระให้ครบ 360 องศาจะสมความปรารถนา แต่ก่อนจะอธิษฐานก็ต้องทำบุญก่อนนะ หากขอพรเรื่องความรักกับใครสักคน และหันศีรษะของรูปปั้นไปในทิศทางที่บุคคลนั้นอยู่ คุณจะโชคดี (ถ้าคนที่อยากจะเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้มาด้วยกัน อาจจะต้องใช้เข็มทิศช่วย จะได้เล็งเป้าถูก) เดินขึ้นบันไดไปหน่อยจะเป็นอาคารไม้ สมัยก่อนคือ โรงพักม้า
ที่ประตูนิโอะ จะมีทวารบาลซ้ายขวา ด้านขวาจะอ้าปาก ออกเสียง “อา” ซึ่งหมายถึง “การเริ่มต้น" ด้านซ้ายจะห่อปาก ออกเสียง “อุน” หมายถึง “สิ้นสุด” ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของสรรพสิ่ง
เดินอ้อมทางประตูนิโอะเข้าไปข้างหลังเลี้ยวออกขวามือจะเป็นอาคารไซมง Sai Mon หรือประตูทิศตะวันตก เนื่องจากเข้าใจว่าแดนพุทธบริสุทธิ์อยู่ทางทิศตะวันตก การมองพระอาทิตย์ทางทิศตะวันตกด้วยใจที่สงบจึงเป็นสิ่งสำคัญในการมองพิจารณาถึงแก่นแท้ของจิตใจมนุษย์ อีกอย่างเวลาที่นั่งมองพระอาทิตย์ตกคนเรามักจะนึกทบทวนถึงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ก่อนจะผ่านเข้าด้านในวิหารไม้ด้านหน้าประตูโทโดโรคิ Todoroki mon จะมีบ่อน้ำมังกร แต่เรียกว่า บ่อนกฮูก อ่านไม่ผิด “บ่อ นก ฮูก” ตั้งชื่อตามนกฮูกที่มุมหินใต้อ่างแต่มองไม่เห็น สาเหตุที่เรียกนกฮูก เพราะคำพ้องเสียงนกฮูกในภาษาญี่ปุ่น คือ ฟุคุโระ Fukuro
Fu หมายถึง “ไม่” Kuro หมายถึง “ปัญหา” เมื่อเอามารวมกัน ก็คือ “ไม่มีปัญหา ปราศจากความลำบาก” ซึ่งนกฮูกจะเป็นสัญลักษณ์ของความสุข แต่ถ้าเป็นความเชื่อของยุโรป นกฮูกจะเป็นสัญลักษณ์ของความฉลาด (นกฮูกถือตำรา กับไม้เรียว)
ก่อนจะเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องทำร่างกายให้สะอาดก่อน
1. ตักน้ำในบ่อขึ้นมา 1 ขัน สามารถตักน้ำได้แค่ครั้งเดียวแล้วต้องใช้น้ำจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
2. ถือกระบวยด้วยมือขวา รดน้ำลงมือซ้าย จากนั้นก็สลับมาถือมือซ้าย รดน้ำลงมือขวา
3. จากนั้นเทน้ำลงมือซ้ายประคองน้ำเข้าปาก อมน้ำ บ้วนออกมา อย่ากลืนลงไปนะ แล้วอย่าเอากระบวยยกขึ้นดื่มโดยตรง บางคนอาจจะเอาแค่น้ำมาแตะที่ริมฝีปากพอเป็นพิธี (เพราะบางทีไปช่วงหน้าหนาว อมน้ำเข้าไปนี่จี๊ดขึ้นสมองเลย) หลังจากบ้วนน้ำออกมาแล้วให้ปิดปากนิ่งๆ
4. รดน้ำลงมือซ้ายอีกครั้ง
5. จากนั้นก็ยกกระบวยขึ้นตั้งตรง เพื่อเป็นการให้น้ำที่เหลือล้างกระบวยจนหมด เสร็จแล้ววางลง
ไปเข้าคิวที่ห้องจำหน่ายตั๋ว ค่าตั๋ว 500 เยน จากนั้นก็เดินตามกันเข้าไปด้านใน ก่อนจะเข้าสู่วิหารไม้ จะมีจุดทดสอบพละกำลังด้วยการยกเกี๊ยะเหล็ก และไม้เท้าเหล็กของเบงเค Benkei ซึ่งเป็นพระนักรบที่มีชีวิตในช่วงปลายสมัยเฮอัน ตอนแรกก็บวชเป็นพระ จากนั้นก็ขึ้นเข้าไปบำเพ็ญพรต ต่อมากลายเป็นนักรบนอกกฎหมาย สุดท้ายมาเป็นผู้ติดตามของมินาโมโตะ โยชิสึเนะ (เคยได้ยินชื่อของเบงเคครั้งแรกจาก การ์ตูนเรื่องโคนัน ตอน คดีฆาตกรรมสมาคมศิษย์เก่าโคโกโร่ ตายในขณะที่ยืนตัวแข็งทื่อ)
เกี๊ยะเหล็ก กับ ไม้เท้าเหล็กอันเล็ก ยกได้ไม่มีปัญหา เกี๊ยะเหล็กหนักข้างละ 12 กก. ไม้เท้าเหล็กอันเล็ก หนัก 14 กก. แต่ไม้เท้าเหล็กอันใหญ่คาดว่านะหนักประมาณ 90 กก. เทคนิคในการยกไม้เท้าอันใหญ่คือ ต้องจับตรงเสาที่ใกล้กับฐานไม้ด้วยสองมือ แล้วจะยกขึ้น แต่ก็ต้องใช้แรงเยอะเหมือนกัน ตามตำนานว่า ถ้าผู้ใดสามารถยกไม้เท้าเหล็กแท่งนี้ขึ้นได้ ก็จะประสบความสำเร็จ
จบฐานทดสอบกำลังก็เดินเข้าในวิหารหลัก เรียกว่า ฮงโด Hondo ภายในวิหารประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ แต่ถ้านับจริงก็จะมี 11 พักตร์ 42 มือ เท่านั้น เรียกว่า แคนนอนเรอิโจ Cannon คือ เจ้าแม่กวนอิม Reijo หมายถึง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เวลาไหว้เจ้าแม่กวนอิมหรือพระพุทธรูปก็ยกมือไหว้ปกติ ไม่ต้องปรบมือเหมือนไหว้ศาลเจ้าชินโต
และอีกหนึ่งจุดของสายมู คือ ไดโคคุเทน Daikokuten คนไทยเรียก พระดำ เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ซึ่งญี่ปุ่นจะมี 7 เทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือ ชิฉิ ฟุคุจิน shichi fukujin
1. เทพเอบิซุ Ebisu มือขวาถือเบ็ดตกปลา มือซ้ายถือปลากะพง
2. เทพบิชามง Bishamon มือข้างขวาจะถืออาวุธ มือซ้ายถือเจดีย์อันเล็กๆ ถ้าตรงกับความเชื่อไทย ก็คือ ท้าวเวสสุวรรณผู้ปกปักษ์ทิศเหนือ
3. เทพเบนเทน Benten หรือ เบนไซเทน เทพเจ้าองค์เดียวที่เป็นผู้หญิง ถือ บิวะ (พิณญี่ปุ่น ถ้าเป็นจีนก็จะเรียก ผีผา)
4. เทพไดโคคุ Daikoku มือขวาถือค้อน และมือซ้ายแบกถุงข้าวสาร (บางแห่งบอกว่าเป็นถุงสมบัติ) ใบหน้ายิ้มแย้ม ยืนอยู่บนฟ่อนข้าว
5. เทพฟุกุโระคุจู Fukurokuju หนวดยาว หน้าผากสูง หน้าตาใจดี หนึ่งในเทพมงคล 3 ประการของจีน ฮก ลก ซิ่ว นั่นเอง โดย ท่านเทพองค์นี้ก็คือ ท่าน ซิ่ว
6. เทพจูโรจิน Juuroujin ร่างเล็กเตี้ย แต่ศีรษะใหญ่ และมักถือไม้เท้ายาวที่มีสมุดเล่มเล็กๆห้อยไว้ด้วย
7. เทพโฮเทอิ Hotei ร่างอ้วน พุงใหญ่ ใบหน้ายิ้มแย้มหรือหัวเราะ มือขวาถือพัด มือซ้ายแบกถุงใบใหญ่พาดบ่าเอาไว้ คนไทยจะเรียก พระสังกัจจายน์
วิธีการบูชาคือ เดินไปที่เคาน์เตอร์ เลือกขนาดที่ต้องการบูชา แล้วชำระเงิน จบได้เทพเจ้ากลับบ้าน!!!!
เดินออกจากวิหารไม้ทางด้านหลังก็จะเป็นลานเล็ก มีบันไดทางขึ้นอยู่ด้านซ้ายมือ ด้านบนคือศาลเจ้า จิชู Jishu Jinja แต่ตอนที่ไปปิดบริการแล้ว เป็นอีกหนึ่งจุดสายมู โดยเฉพาะเรื่องความรัก ข้างบนมีหินเสี่ยงทายที่ให้หลับตาเดินจากหินจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง ระยะทาง 18 เมตร โดยไม่หยุด และต้องเชื่อมั่นในตนเอง อย่าฟังเสียงบอกของคนรอบข้างถึงจะสมหวังในความรักในเร็วๆ นี้ และมีจุดให้เขียนคำอธิษฐานใส่กระดาษแล้วนำไปลอยในอ่างที่จัดไว้
มองไปด้านล่างจะเห็นคิวยาวๆๆๆๆ ของคนที่มารอดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีทางเลือก 2 ทาง คือ ลงบันได หรือ เดินอ้อมเขาไปเรื่อยๆ จนถึงข้างล่าง ซึ่งถ้าเดินอ้อมเขาก็จะเจอทางขึ้นเขา ด้านบนจะเป็นเจดีย์ขนาดกลาง สูง 3 ชั้น เรียกว่า โคยาซุโนะโท Koyasu no To 子安の塔 (Ko = เด็ก / Yasu = ง่าย / To = เจดีย์) สายมูเรื่องการขอบุตร การตั้งครรภ์ ต้องเข้า ถ้าผู้หญิงตั้งครรภ์แล้วสามารถเดินมาขอพรถึงที่นี่ได้ แสดงว่า ร่างกายแข็งแรงมาก รับรองคลอดสะดวกปลอดภัยแน่ ส่วนเราเน้นเงินทองและสุขภาพ มีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้ สุขภาพดีจะไปไหนก็สะดวก
น้ำตกโอโตวะ
Otowa no Taki
น้ำตกนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามสาย ซึ่งแต่ละสายมีความหมายและสรรพคุณที่แตกต่างกันไป (หันหน้าเข้าน้ำตก) เลือกรองน้ำมาดื่ม 1 สาย แต่ถ้าโลภมาก ดื่มสามสาย ก็จะอิ่มๆ หน่อย
สายที่หนึ่ง (ซ้าย)
: เชื่อว่ามีสรรพคุณในการเสริมความสำเร็จทางการศึกษาและการงาน ให้ผู้ดื่มมีความรู้ความสามารถ และประสบความสำเร็จในชีวิต
สายที่สอง (กลาง)
: เชื่อว่ามีสรรพคุณในความรัก ความโชคดีในชีวิต
สายที่สาม (ขวา)
: เชื่อว่ามีสรรพคุณในการเสริมอายุยืน ให้ผู้ดื่มมีอายุยืนยาว และสุขภาพดีตลอดชีวิต
ขอโชคลาภครบทุกจุดแล้วก็เดินออกจากวัดได้ จากหน้าวัดประมาณ 200 เมตร ทางซ้ายมือจะมีทางเดินเล็ก มีป้ายบอกทาง เขียนว่า นิเนงซากะ Ninenzaka ถนนโบราณที่ทอดยาวลงจากภูเขา ซึ่งถนนแถบนี้จะมีชื่อ อิฉิเนงซากะ Ichinenzaka เนินเขาปีแรก นิเนงซากะ Ninenzaka เนินเขาปีที่สอง และ ซันเนงซากะ Sannensaka เนินเขาปีที่สาม
คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยนึกถึงถนน อิฉิเนงซากะ เพราะเป็นถนนแคบสั้นแค่ 85 เมตร สองข้างทางเป็นบ้านเก่ากับร้านอาหาร กับของที่ระลึกนิดหน่อย เวลาเดินผ่านก็จะใช้เสียงเบาๆ ส่วนนิเนงซากะ ก็จะเห็นโฆษณาบ่อย เวลาถ่ายรูปลงจากเนินไปจะเป็นอาคารเก่าๆ สวยๆ ทอดตัวยาว และมีเจดีย์สูง 5 ชั้น เรียกว่าเจดีย์ยาซากะ Yasaka no To ซึ่งเป็นเจดีย์ที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน เจดีย์ยาซากะสร้างตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเทนมุ ช่วง ค.ศ. 678 พังแล้วก็บูรณะหลายครั้ง ที่เห็นอยู่สร้างใหม่เมื่อปี 1440 อยู่ในเขตของวัดโฮะคัน Hokanji ชื่อเจดีย์นี้จะเหมือนชื่อศาลเจ้ายาซากะที่อยู่ต้นถนนกิออน แต่ไม่ได้เกี่ยวกัน
สองข้างก็จะขายของที่ระลึก ขนมหวานชื่อดัง ร้านน้ำหอม สตาร์บัค ร้านอาหาร โรงน้ำชาที่มีประวัติเกี่ยวพันไปถึงฮิเดโยชิ โทโยโทมิ และสวนญี่ปุ่นที่ออกแบบมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 7 และมีทางเดินเล็กๆ แยกเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์เรียวเซน
Ryozen Museum เก็บรักษาวัตถุอันล้ำค่าที่เกี่ยวข้องกับเรียวมะ ซากาโมโตะ, ชินทาโร นากาโอกะ และซามูไรอื่นๆ ช่วงการปฏิวัติและการเปลี่ยนผ่านจากสมัยเอโดะสู่สมัยเมจิ ด้วยอิทธิพลของอุดมการณ์จักรวรรดินิยม เขาจึงเริ่มวางแผนต่อต้านรัฐบาลโชกุนโทกุงาวะเพื่อขอคืนอำนาจให้กับจักรพรรดิ โชกุนคนสุดท้าย คือ โทกุงาวะ โยชิโนบุ (1837–1913) เป็นโชกุนลำดับที่ 15 ของตระกูลโทกุงาวะ และปกครองญี่ปุ่นรวม 268 ปี ก่อนจะลาออกและคืนอำนาจในปี 1868 ระหว่างนี้ยังช่วยทำให้การฟื้นฟูอำนาจครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนผ่านที่ค่อนข้างจำใจสันติ ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าชายในปี 1902 และเสียชีวิตปี 1913 ถ้าไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นก็อาศัยเข้าไปยืนๆ มองๆ เพราะยังไม่มีระบบไกด์ภาษาอังกฤษให้
สิ้นสุดถนนนิเนงซากะ ทางออกจะเป็นโรงแรม Park Hyatt Kyoto โรงแรมอลังการมาก เดินออกมาจะเป็นถนนใหญ่ฝั่งตรงข้ามเป็นเนินเขาด้านบนเป็นวัดเรียวเซน มีเจ้าแม่กวนอิมสีขาวองค์ใหญ่ เลยลากสังขารขึ้นไปดู แล้วก็ที่สำคัญ “ห้องน้ำ” ถึงวัดจะปิดแล้ว แต่ห้องน้ำยังเปิดให้บริการอยู่
เสร็จธุระถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกก็เดินลงเขา เดินเลี้ยวเข้าถนน nene no michi ไปเรื่อยๆ จนมาเจอสวนมุโรยามะ ทางค่อนข้างมืด แต่ก็มีไฟสีส้มส่องเป็นระยะ ได้บรรยากาศสุดๆ ระหว่างที่เดินก็จะมีคนลากรถเข็นบริการนักท่องเที่ยวผ่านมาให้พออุ่นใจว่า “เดินไม่ผิดทาง” ถ้ามาช่วงซากุระบาน คงสวยมากทีเดียว มีป้ายบอกทางไปศาลเจ้ายาซากะ แต่ถึงไม่บอกก็มองเห็นแสงไฟประดับศาลเจ้าโดดเด่นมาแต่ไกล เข้าไปในบริเวณศาลเจ้ากำลังเตรียมจัดงาน คันนาเมะไซ โฮชูกุไซ kanname-sai-houshuku-sai วันที่จักรพรรดิทรงถวายเมล็ดพืชใหม่แก่เทพเจ้า งานจะเริ่มวันที่ 17 ตุลาคม มีร้านรวงมาตั้งขายของสไตล์งานวัด แต่ยังไม่เยอะมาก ส่วนใหญ่จะมาเตรียมสถานที่ เดินออกมาด้านหน้าวัดประตูตะวันตก ก็จะเป็นต้นถนนกิออน ถ้าเดินตรงจากทางออกไปจนสุดจะเป็นสะพานชิโจ Shijo Ohashi ข้ามแม่น้ำคาโมะ Kamo River และสถานี Gion Shijo แต่เป็นรถไฟใต้ดินของ Keihan
ย่านนี้ต้องมาตอนค่ำถึงจะเริ่มทำงาน ก็เดินตามกลุ่มนักท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ เพราะถ้าเป็นทัวร์ยุโรปมักจะเดินไปที่กิออนคอร์นเนอร์ Gion Corner เพื่อชมการศิลปะการแสดงแบบโบราณของญี่ปุ่น ค่าตั๋วเข้าชมไม่แพง แต่รอบเวลาไม่ได้ ไว้มาแก้ตัวใหม่
เดินวนจนครบรอบ สรุปต้องย้อนกลับมาขึ้นรถบัสที่ใกล้วัดยาซากะ หาร้านอาหารทานไม่ได้ แหล่งพึ่งพิงสุดท้ายคือ อาหารกล่องหน้าบ้านพัก อิ่มครบ จบ นอน
สิ้นสุดการเดินวันนี้ที่ 50,000 ก้าว (1 เมตรประมาณ 4 ก้าว)
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2567
Last Update : 2 ธันวาคม 2567 13:28:59 น.
0 comments
Counter : 212 Pageviews.
Share
Tweet
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ
,
คุณnewyorknurse
,
คุณนายแว่นขยันเที่ยว
,
คุณดอยสะเก็ด
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
Poonchayapich-N
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
Welcome to My Home...L'Amour De Ma Vie
Webmaster - BlogGang
[Add Poonchayapich-N's blog to your web]
Bloggang.com