หลังจากชมสุสานอีก 3 แห่ง ที่ไม่ให้ถ่ายรูป เดินไปเดินมาก็ออกมาด้านนอกของหุบเขากษัตริย์แล้วค่ะ ต่อไปก็จะไปวิหารของพระนางฮัตเซปซุส (Temple of Hatshepsut) ที่อยู่ด้านเหนือของ Rammesseum และเลยสุสานขุนนาง (Tombs of the Nobles) ขึ้นไปทางเหนือ ราว 500 เมตร คราวนี้ได้ใช้บริการของแท๊กซี่ที่จอดเป็นแถวอยู่ด้านนอก มาถึงแล้วก็ซื้อบัตรผ่านด้านในด้วยค่ะ คนละ 25 L.E.
วิหารพระนางฮัตเซปสุต (Temple of Hatshepsut) เป็นสุสานที่ขุดเจาะเข้าไปในภูเขา ... สถานที่เก็บพระศพของฟาโรห์หญิงพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ
ทั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงวิหารแห่งความทรงจำ เพื่่อเป็นเกียรติแก่พระนางฮัตเซปสุตเท่านั้น แต่ยังหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ของอียิปต์ ... ออกแบบและสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 1450 ปีก่อนคริสตกาล โดย เซเนมุท (Senenmut)
ซึ่งเป็น เสนาบดีคู่พระทัย และเชื่อกันว่าเป็นชู้รักของพระนางด้วย
วิหารมีลักษณะคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมกรีกโบราณ ในอีก 1,000 ปีต่อมา การก่อสร้างใช้เวลา ถึง 15 ปี กว่า จะแล้วเสร็จ ....ตั้งอยู่ที่เมืองเดียร์อัล-บาฮารี (Deir Al- Bahari) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของสุสานทางด้านเหนือ และเป็นส่วนหนึ่งของธีบันเนโครโพลิส
วิหารมีชื่อในภาษาอียิปต์โบราณว่า "Djeser Djeseru" หมายถึง "most splendid of all" (สุดยอดความงดงามของทั้งมวล) บางข้อมูลก็ให้ความหมายว่า "Holy of Holiest" (ศักดิ์สิทธิ์ของที่สุด)
วิหารพระนางฮัตเซปสุต มีสถาปัตยกรรมที่สมกับความงดงาม ด้วยระเบียงที่สร้างซ้อนกันเป็นชั้นที่กว้างใหญ่ถึง 3 ระดับ มีเสาค้ำเรียงเป็นแนวตลอดจากพื้นทะเลทราย ยืนตระหง่านอยู่ด้านหน้าของผาหินปูนอันน่าทึ่ง
ระหว่างชั้นเชื่อมด้วยทางเดินลาดสูงขึ้นไปสู่วิหาร มีความยาว 100 ฟิต ในสมัยโบราณเรียงรายด้วยสฟิงซ์ ปัจจุบันเห็นแต่รูปสลักเทพฮอรัส (Horus) ที่ยังคงสภาพดี อยู่ทางด้านซ้ายของทางเดิน ทางด้านขวาเสียหายเกือบหมด
แต่ละชั้นมีแถวของเสา ชั้นละ 24 ต้น เสาใหญ่ทึ่ค้ำระหว่างชั้น ประกอบด้วยเสาทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีภาพแกะสลักที่ประนีตและสลับซับซ้อน เปรียบเสมือนเอกสารภาพบันทึกชีวประวัติของพระนาง ชั้นแรกบันทึกการเดินทางเพื่อการค้าเป็นครั้งแรกที่เคยมีมา โดยเฉพาะการเดินทางหลายครั้งหลายคราของพระนาง และเจ้าหน้าที่ระดับสูง Pa-nashy ที่ไปยังดินแดนของ Punt ระหว่าง 1482 - 1479 ปีก่อนคริสตกาล
ด้านหลังของชั้นกลางเป็นภาพสลักนูนต่ำระบายสี จะพบห้องบูชาเทพี Hathor และห้องบูชาเทพ Anubis ภาพแกะสลักชั้นนี้ แสดงเรื่องราวของพระนางตั้งแต่ประสูติ วัยเด็ก การสถาปนาเป็นราชินี ภาระกิจของพระนาง จนถึงสิ้นพระชนม์
รูปสลักลอยพระนางฮัตเซปสุตที่มีหนวดเครา บนอาคารชั้นบน
อาคารชั้นบนประกอบด้วยห้องบูชาเทพและเทพี สุสานของพระนางขุดลึกเข้าไปด้านหลังของวิหากอีกชั้นหนึ่งอยู่บริเวณในสุด ไม่ได้เปิดให้เข้าชม
ภาพสลักพระนางฮัตเซปสุตบนหัวเสา
ห้องบูชาเทพและเทพี
หลังการสิ้นพระชนม์ ภาพแกะสลักเหล่านี้ก็ถูกทำลายเกือบหมดสิ้น ด้วยฟาโรห์ Tีuthmosis III พยายามลบชื่อและความทรงจำที่เกี่ยวกับพระนางออกทั้งหมด
ภาพลงสี ฟาโรห์ Tuthmosis III บูชาเทพฮอรัส
พระนางฮัตเซปสุต (1508 - 1458 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นพระราชธิดาองค์เดียวของฟาโรห์ Tuthmosis I กับพระราชินีอาโมซิส ...เป็นฟาโรห์หญิงที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดกว่า 20 ปี (1489 - 1469 ปีก่อนคริสตกาล) .. โดยความเป็นจริงแล้ว เนื่องจาก พระสวามี Tuthmosis II เป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ อำนาจบริหารจึงตกอยู่ในมือของพระนางที่ได้ฝึกฝนการบริหารราชการแผ่นดินกับพระบิดามาก่อนแล้ว
ฟาโรห์ Tีuthmosis II สิ้นพระชนม์หลังครองราชย์ได้ 15 ปี เนื่องจากพระองค์มีแต่พระธิดา และผู้สืบราชวงค์ Tuthmosis III ที่เกิดจากชายารอง ยังทรงพระเยาว์นัก พระนางฮัตเซปสุตจึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทน หลังจากปกครองอียิปต์ได้หลายปี พระนางจึงตัดสินพระทัยเป็นฟาโรห์ปกครองอียิปต์ในที่สุด
พระนางพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนเอง โดยสวมมงกุฎและกระโปรงสั้นแบบกษัตริย์ พร้อมด้วยเคราปลอม .. มิใช่การหลอกลวงประชาชนให้คิดว่าพระนางเป็นบุรุษ แต่เพราะไม่เคยมีสถานะของฟาโรห์หญิงมาก่อน จึงเป็นวิธีการที่ยืนยันอำนาจของพระนาง นอกจากนั้นพระนางยังประกาศพระองค์เป็นธิดา ผู้เป็นที่รักของสุริยเทพอามอน (รา) เพื่อสร้างความชอบธรรมในการครองบัลลังก์
พระนางทรงสร้าง Djeser-djeseru (Holiest of holy places, หรือ holy of holiest) ซึ่งอุทิศแก่เทพอามอน และเพื่อทำพิธีกรรมเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ พร้อมทั้งตั้งเสาหินโอปิลิกซ์ที่ทำจากหินแกรนิตสีแดง 2 ต้น ที่วิหารเทพอามอนที่คาร์นัค (ปัจจุบันเหลือเพียง 1 ต้น) ที่แกะสลักเรื่องราวของพระนาง ... ในปีที่ 9 ของการครองราชย์ พระนางยังเดินทางเพื่อการค้ายังดินแดนของ Punt (มีแนวโน้มว่าจะเป็นเอธิโอเปีย เอริเทรีย์ หรือทางเหนือของโซมาเลียในปัจจุบัน) เรือกลับมาพร้อมกับทองคำ งาช้าง และต้นไม้หอม (มีภาพแกะสลักที่กำแพงห้องวิหาร)
พระนางประสบความสำเร็จจากการเป็นราชินีไปเป็นฟาโรห์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสามารถในการหาผู้สนับสนุนทีี่มีอิทธิพล ซึ่งรวมถึงพระบิดา Tuthmosis I และเสนาบดีคู่หทัย Senenmut ผู้เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบวิหารพระนางนั่นเอง
พระนางให้ความสนใจกับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ มากกว่าที่จะเอาชนะดินแดนใหม่ ๆ ทรงสร้างวิหาร ฟิ้นฟูอนุสรณ์สถานต่าง ๆ ทั่วทั้งอียิปต์และนูเบีย ส่งผลให้อียิปต์เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยมหาศาล และนำพาประเทศไปสู่ความสงบ จนได้รับการยกย่องให้อยู่ในฐานันดรศักดิ์ "ฟาโรห์หญิง" (The Female Faraoh) องค์แรกและองค์เดียวของปฐพีอียิปต์โบราณ
พระนางสิ้นพระชนม์ ใน 1458 ปีก่อนคริสตกาล หลังการสิ้นพระชนม์ของพระนาง Tuthmosis III ลบคำจารึก และพยายามขจัดความทรงจำของพระนางออกไป หลักฐานและบันทึกเกี่ยวกับพระนางถูกทำลายจนแทบไม่มีอะไรเหลือ
วันนี้ทั้งวันเราอยู่ที่หุบเขากษัตริย์ ตอนกลับไปยังตัวเมืองลุกซอร์ทางฝั่งตะวันออก ก็กลับโดยเรือท้องถิ่นเหมือนเที่ยวมา บล๊อคหน้า ก็ยังอยู่ที่ลุกซอร์อีกวัน เพื่อไปวิหารคาร์นัคค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย และ
https://www.biography.com/people/king-tut-9512446
https://www.ancient-egypt-online.com/temple-of-hatshepsut.html
https://www.biography.com/people/hatshepsut-9331094
https://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000075019
https://sites.google.com/site/arc213rsu/brryay-raywicha/egypt/egypt25