น้ำ .... เรื่องราวเริ่มต้นจากน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งในทะเลทราย ในพื้นที่ที่มี
ฝนตกเฉลี่ยอยู่ที่ 6 นิ้วต่อปี ชาวนาบาเทียนมีความสามารถควบคุมปริมาณน้ำฝน และแหล่งน้ำ
ถึงขีดสูงสุด จนมีแหล่งน้ำดื่มที่คาดว่ามีขนาดใหญ่ พอสำหรับ คน 100,000 คน
(ขณะที่มีประชากรเพียง 20,000 คน) ...การเพาะปลูกก็มีวิธีการพิเศษ วิธีหนึ่งคือ ขุดพื้นดิน
ให้เป็นร่องน้ำตื้น ๆ และปลูกต้นไม้ผลแต่ละต้น ระหว่างกลางร่องน้ำก่อนถึงฤดูฝน ซึ่งอาจมี
ฝนตกเพียง 1 2 ครั้งเท่านั้น พื้นดินบริเวณลานปลูกต้นไม้ จะแห้งแตกระแหง ...เมื่อฝนตก
น้ำฝนทั้งหมดที่ไหลผ่านร่องน้ำ ก็จะผ่านไปยังต้นไม้ผล และซึมลงไปในดินที่แตกระแหง
ซึ่งจะรับน้ำไว้ต่อไป
ประตูน้ำ และร่องน้ำ ที่เห็นได้ตลอด Al Siq
ร่องน้ำทั้ง 2 ด้านที่ Al Siq (ร่องน้ำทางด้านใต้ขุดเป็นร่องจะปิดด้วยหินทรายหรือหินปูนเพื่อกัน
น้ำระเหยและการปนเปื้อน ทางด้านเหนือทำด้วยดินเผา เป็นท่อที่เชื่อมต่อกัน) เป็นทางรับน้ำ
ที่ไหลมาจาก Ain Musa (Spring of Moses น้ำพุของโมเสส) ห่างจากเมืองไป 2 - 3 กม.
ทางตะวันออก แม้จะได้น้ำจากหลายทาง แต่ Ain Musa ก็เป็นแหล่งน้ำหลักที่ส่งน้ำผ่าน
เส้นทางน้ำวาดิมูซา (Wadi Musu Stream of Moses) ไปยังอ่างเก็บน้ำที่อยู่รอบ ๆ เมือง
แต่เดิมเส้นทางน้ำวาดิ มูซานี้ ก็ผ่านไปยัง Al Siq โดยตรง ...แต่ชาวนาบาเทียน หันเหเส้นทางน้ำบ้าง
เพื่อกันไม่ให้น้ำท่วมตัวเมือง
ความสำเร็จของวิศวกรรมอย่างน่าอัศจรรย์นี้ เป็นการจัดการที่ซับซ้อน ผ่านช่องทางน้ำ สระน้ำ
และถังน้ำ (อ่างเก็บน้ำ) ที่กักน้ำและส่งผ่านเข้ามาในเมือง นักโบราณคดีคาดว่าระบบส่งน้ำนี้
สามารถส่งน้ำจากแหล่งน้ำได้ราว 12 ล้านแกลลอนต่อวัน ...จากการค้นพบท่อส่งน้ำดินเผา 2 ท่อ
ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบส่งน้ำ แต่ละท่อมีความยาว 16 นิ้ว มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 นิ้ว และเชื่อม
กับระบบส่งน้ำโดยมีข้อต่อรูปคล้ายระฆังและก๊อกน้ำ ซึ่งเป็นวิธีการที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน
ทำให้ทราบว่าชาวนาบาเทียนมีความสามารถจัดการระบบชลประทาน ที่นำไปสู่ความรุ่งเรือง
ในทะเลทราย เหมือนกับการสร้างโอเอซิสเทียมขึ้นมา
เมื่อนครเปตราร้างผู้คน ทั้งร่องน้ำที่กั้นน้ำ ก็ไม่มีผู้ใดบำรุงรักษา ทำให้เกิดน้ำท่วมผ่าน
Al Siq เข้ามา และทำลายภาพแกะสลักเกือบทั้งหมดและท้ายที่สุด โคลนเลนก็ได้ทับถม
Al Siq เรื่อยมา จนสูงกว่า 6 ฟุต ปัจจุบันมีการขุดโคลนเลนออกไปจากเส้นทาง
พร้อมทั้งบูรณะซ่อมแซมระบบชลประทานโบราณด้วย
กองคาราวานและการค้า ในการอพยพเข้ามาของชาวเผ่านาบาเทียนก็ถูกชนเผ่าอื่น ๆ ต่อต้าน
แต่ก็สู้ไม่ได้ จึงต้องยกทรัพย์สิน ที่ดิน และอูฐเป็นของกำนัล และเมื่อเข้ามายึดครองดินแดน
แถบนี้แล้ว ก็พบว่านครเปตราตั้งอยู่บนจุดตัดของเส้นทางการค้าอยู่ 2 เส้นทาง เส้นหนึ่งทอดยาว
ไปทางตะวันตกจากเอเชีย ..ส่วนอีกเส้นไปทางเหนือจากทางตอนใต้ของอาระเบีย
ชาวนาบาเทียนเป็นนักธุรกิจที่ชาญฉลาด เมื่อพบว่านครเปตราเป็นสถานที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ที่มีทั้งน้ำ
และสถานที่พักที่ปลอดภัย สำหรับพ่อค้าและกองคาราวาน (ประมาณว่ามีอูฐมากเป็นหลายร้อย
หรือเป็น 1,000 ตัว เดินเรียงรายกันยาวถึง 5 ไมล์) ใช้เส้นทางผ่านนี้ ขนสินค้านานาชนิดจาก
เมืองเมกกะ ขึ้นไปจนถึงฝั่งทะเลตะวันออกของทะเลเมดิเตอเรเนียน และจากดามัสกัสไป
จรดทะเลแดง จึงเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับบริการ ทั้งยังเก็บภาษีสินค้าที่ผ่านทางทะเลแดง
เข้ามาในเขตพื้นที่ของตนเองอีกด้วย
ภาพแกะสลักของคาราวาน ที่ Al Siq เป็นภาพอูฐ 5 ตัว และเจ้าของอูฐ มีขนาดเท่าของจริง
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเส้นทางค้าขาย ที่ทำให้ชาวนาบาเทียนมั่งคั่งและมีอิทธิพลขึ้น ...
ปัจจุบันภาพสึกกร่อนไปมาก เหลือเพียงร่องรอยบางของรอยเท้าอูฐ และส่วนล่างของคนขี่อูฐ
นครเปตรากลายเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ จนทำให้นักเดินทางชาวกรีกมักนำเรื่องความ
มั่งคั่งมาเล่า ..ตามบันทึกของสตราโบ นักภูมิศาสตร์ชาวกรีกได้อธิบายไว้ว่า เมืองเปตราเป็น
ตลาดซื้อ-ขายสินค้า ที่สำคัญที่สุดของโลกตะวันออก ยาง ไม้หอม กำยาน ทองแดง เหล็ก
เครื่องปั้นดินเผา รูปปั้น โลหะมีค่า งาช้าง ปะการัง เกลือเครื่องเทศของชาวอาหรับ ผ้าย้อมของ
ชาวฟินิเซียน และทาส ล้วนถูกลำเลียงผ่านเมืองเปตรา ไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและชาวเปอร์เซีย
ชาวนาบาเทียนจึงมีฐานะดีขึ้น จากการควบคุมการค้าเครื่องหอมของอาระเบียในช่วงเวลา 100 ปี
ก่อนคริสตกาล และได้ใช้ความมั่งคั่งนี้สร้างอารยธรรมของตนเอง คือ นครเปตราที่น่าทึ่ง
(นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า ความมั่งคั่งของชาวนาบาเทียน หมายถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวก
สบายอย่างยิ่ง)
ก่อนที่โรมันมีชัยชนะ และครอบครองอาณาจักรนาบาเทียน..ชาวนาบาเทียนได้ควบคุมบริเวณ
กว้างใหญ่ไพศาลของของตะวันออกกลาง จากอิสราเอลในปัจจุบันและจอร์แดนไปถึง
คาบสมทรอาระเบียตอนเหนือ ทุกวันนี้ก็ยังพบวัตถุพยานถึงเครือข่าย การจัดการน้ำที่เป็น
นวัตกรรมใหม่ ทั้งการกักเก็บ การขนส่ง และระบบชลประทานในพื้นที่ที่เคยเป็นที่ครอบครอง
ของชาวนาบาเทียนเหล่านี้
นครเปตรา นครแห่งศิลา
นครเปตรา หลังจากมีฐานะดีขึ้นจนสามารถสร้างอายธรรมของตนเองขึ้นมาได้ ตลอด 3 ศตวรรษ
ต่อมา ชาวนาบาเทียนจึงได้ขุด แกะสลักเข้าไปในภูเขาเพื่อสร้างวิหาร หลุมฝังศพ ถนนหนทาง
โดยผสมผสานอารยธรรมทั้งของตนเอง กับแรงบันดาลใจจากอารยธรรมอัสซีเรียอียิปต์ กรีก และโรมัน
ปัจจุบันจากประตูทางเข้านครเปตรา ผ่านทางเดินกรวด จะพบกับภูมิทัศน์ของโดมหินสีขาว
และหน้าผา และ Djinn Blocks ที่ปรากฏขึ้นราง ๆ เรียกว่า Bab as-Siq (Gate of the Siq - ประตู
ทางเข้า Al Siq) เมื่อเดินผ่าน Al Siq จะเห็นร่องน้ำที่ขุดขึ้นไปตลอดทาง
Bab as-Siq และ Djinn Blocks
Djinn Blocks มาจากภาษาอารบิก หมายถึง จิตวิญญาณ (spirit) เป็นสถานที่เกี่ยวกับพิธีกรรม
ในงานศพ สร้างใน ศต.1 พบราว ๆ 28 แห่งในเปตราและอาณาบริเวณ
Obelisk Tomb และ Triclinium
เมื่อผ่าน Al Siq เข้าไปไม่ไกล จะพบอนุสรณ์สถานแรกของชาวนาบาเทียน แกะสลักในช่วงเวลา
ที่ต่างกัน คือ Obelisk Tomb สร้างใน ศต.1 .. (ตามรูปจะอยู่ด้านบน) มีเสาโอบิลิกซ์ทรงปิรามิด 4 เสา
เหมือนเป็นยามเฝ้าทางเข้าไปในสุสาน ..ที่อยู่ต่ำกว่าคือ Triclinium (คศ. 28-75) เป็นห้องโถงเดี่ยว
มีเก้าอี้หิน 3 ด้านของกำแพง ใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงเพื่อบูชาเทพ และเป็นเกียรติ์แก่บรรพบุรุษ
Al Siq เดิมเป็นเส้นทางสำหรับขบวนแห่ทางศาสนา เพื่อนำผู้ตายไปยังนครเปตรา
การขุดค้นได้พบภาพแกะสลักของคาราวานอูฐ และ niches เป็นจำนวนมาก
Niches - ซอกที่แกะสลักเข้าไปในหิน เป็นรูปบูชาเพื่ออุทิศแก่เทพเจ้า โดยเฉพาะเทพ Al-Uzza
เทพธิดาแห่งน้ำ
นครเปตราเจริญถึงขีดสูงสุดในช่วง 50 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง คศ. 70 ในช่วงเวลานี้ ปกครอง
ด้วยกษัตริย์นามอารีตัสที่ 4 (Aretas IV) ผู้ที่ชาวกรีกยกย่องว่าเป็นฟิโลเดมอส ซึ่งแปลว่า
"ผู้รักประชาชน" ด้วยความมั่งคั่งของเปตรา ความเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกล และชัยภูมิอันยากแก่การพิชิต
จึงทำให้เมืองมีโอกาสเจริญเติบโตได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องกลัวศัตรูจากภายนอก ...
ใน ศต. ที่ 1 ก็เริ่มสร้างมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์เอล-คาซเนท์ (Al-Khazneh) หรือ Treasury
นักท่องเที่ยวปัจจุบัน เมื่อเริ่มจะผ่านพ้นทางคดเคี้ยวของ Al Siq มักจะตื่นตลึงกับแสงเงาที่
งดงามมาก ที่ผ่านมาที่ Al Siq และแล้วเงาแสงสีชมพูของมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์เอล-คาซเนท์
(Al Khazneh) จะค่อย ๆ ปรากฎแก่สายตา
แสงอาทิตย์ที่มากระทบด้านหน้าของ Al Khazneh ทำให้อาคารด้านหน้าเปลี่ยนสีไปในแต่ละช่วงเวลา
ตอนเช้าจะเป็นสีลูกพีช บ่ายเป็นสีหลาบแวววาว .. ยามเย็นเป็นสีแดงทับทิม
Al Khazneh กว้าง 28 ม. สูง 39 ม. สร้างในต้นศต.ที่ 1 ช่วงการปกครองของ Aretas IV
กษัตริย์ที่ปกครองเปตรา ราว 9 ปี ก่อนคริสตกาล จนถึงปี คศ. 40 โครงสร้างที่สูงอลังการเป็น
จุดเริ่มต้นของวิหารทั้งปวง แกะสลักและตัดตรงเข้าไปในภูเขาหินทรายหลากสี
(แดง ขาว ชมพู) ทั้งลูก
Al Khazneh เป็นสถานที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดในเปตรา แม้จะตัดเข้าไปในภูเขา และตั้งอยู่ในหุบเขา
ที่มีลม ฝน และพายุทราย อีกทั้งเผชิญการบุกรุกของชาวเบดูอินในระยะต่อมา ที่พยายามทำลาย
ส่วนบน เพราะเข้าใจว่าเป็นที่เก็บขุมทรัพย์สมัยฟาโรห์อียิปต์ ..อันเป็นที่มาของคำว่า Al Khazneh
ในภาษาอารบิก หรือ The Treasury - ขุมทรัพย์ นั่นเอง
ภายใน Al Khazneh ประกอบด้วย 3 ห้อง คือ ห้องโถงใหญ่ตรงกลาง ห้องเล็กทางด้านซ้ายและ
ขวา และมีห้องที่ต้องลงบันไดไปอีก (ไม่ได้ลงไปดูค่ะว่า มีหลายห้องหรือไม่ หรือมีขนาดเท่าไร)
ภายหลังได้มีการขุดพบทางเข้าหลุมฝังศพที่หน้าวิหารแห่งนี้ .. ทำให้นักประวัติศาสตร์และนัก
โบราณคดีลงความเห็นตรงกันว่า การสร้าง Al Khazneh ขึ้นมา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับ
ผู้ปกครองเมือง ใช้เป็นสถานที่ทำพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นสุสานของราชวงศ์นาบาเทียน
Al Khazneh มีรูปแบบที่โดดเด่นในลักษณะของ Hellenistic style (Hellenistic หมายถึงการแผ่ขยาย
ของอิทธิพลกรีก ซึ่งเป็นการเผยแพร่หลังการสวรรคตของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มาหาราช)
ออกแบบโดยได้รับอิทธิพลของศิลปหลายชาติด้วยกัน เช่น อียิปต์ กรีก และนาบาเทียน
ลานกว้างหน้า Al Khazneh .. มีอูฐแท๊กซี่ รอบริการนักท่องเที่ยว
สุสานที่เพตราเป็นสถาปัตยกรรมที่มีทั้งความสง่างามและศักดิ์สิทธิ์ หลายสุสานสูงขึ้นไปหลาย
ร้อยฟุต บางสุสานก็เป็นเพียงชั้นหินระดับพื้น การขุดแกะสลักสุสานมีการออกแบบ และลง
รายละเอียดบนพิมพ์เขียวไว้ล่วงหน้า เริ่มงานด้วยการแกะสลักขอบ หรือแนวที่ยื่นออกมาจาก
หน้าผา จากนั้นจึงไล่งานลงมาเรื่อย ๆ จนถึงชั้นพื้นดินด้านล่าง.. ด้านหน้าของแต่ละสุสานบ่งบอก
ลักษณะเฉพาะของตนเอง เห็นได้จากความแตกต่างของบัวประดับเชิงชายคา และเสาค้ำที่ยิ่งใหญ่
สง่างามที่มีการแกะสลักอย่างประณีต
เลย Al Khazneh ไป เป็น Outer Siq - (ทางเข้าด้านนอก) ที่เรียกว่า Street of Facades
เรียงรายด้วยสุสานหลายชั้นลดหลั่นกันไป ทางซ้ายเป็นสุสานทีี่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
มีด้านบนเป็น nefesh (แท่งหินที่มีรูปทรงแบบโอบิลิกซ์ มักหมายถึงดอกไม้/การผลิดอก)
หรือมงกุฎ ทางขวาบางสุสานสึกกร่อนและเสียหายมาก เนื่องจากจมอยู่ในโคลนเลนหลัง
น้ำท่วมมาเป็นเวลานาน หน้าผาบางส่วนมีหลุมศพขนาดเล็กหลายหลุม เป็นหลุมของ
ผู้ที่มีฐานะธรรมดา
สุสานด้านซ้ายอยู่เหนือสุสานขวาขึ้นไป เหมือนเป็นภาพที่ทับซ้อนกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่เป็น
"มาตรฐาน" ของเปตรา
Lower Siq มีลักษณะเป็นแอ่งใหญ่ เป็นกลางเมืองนครเปตรา ซึ่งสถานที่ประกอบพิธีกรรม จะมอง
เห็นหลุมศพรอบด้าน
จาก Street of Facades จะมีบันไดหินขึ้นไปถึง High Place of Sacrifice ณ ที่นี้ บนลานหินของ
ชาวนาบาเทียน (Nabatean Quarry) เป็นที่ตั้งเสา Obelisks 2 ต้น ซึ่งอุทิศแก่เทพ Dushana
และ al-Kuzza ..Dushana คือ เทพแห่งพละกำลัง และ al-Kuzza คือเทพธิดาแห่งน้ำ
และความอุดมสมบูรณ์
ชาวเบดูอินพร้อมม้าและลาคู่ใจสู่ High Place
บน High Place of Sacrifice สามารถมองเห็นทัศนียภาพและหุบเขาเบื้องล่าง ไปไกลถึง 200 เมตร
(เห็นไกลถึงวาดิ มูซา) บริเวณนี้ประกอบด้วยลานสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีม้านั่ง แท่นบูชาอยู่ทางทิศตะวันออก
เพื่อวางสัตว์ที่ประกอบพิธีกรรม ทางซ้ายเป็นที่ประกอบพิธีกรรม มีอ่างสลักเพื่อรับเลือด และอ่างสำหรับ
การทำให้บริสุทธิ์
นั่งชมทัศนียภาพเบื้องล่างและไกลโพ้น ตากับหลานอยู่กันคนละโขดหิน
จากตรงนี้จะมีทางลง ผ่าน Street of Facades อีกครั้ง แล้วก็ถึง Petra theatre หรือ
Roman theatre (โรงละครเปตรา หรือโรงละครโรมัน) ภายใต้การปกครองของโรมัน
เรื่องราวของ "ชาวนาบาเทียนและนครเปตรา" ช่วงแรกต้องตัดแค่นี้ คือ จริง ๆ ก็เขียนไปเรื่อย ๆ
พอถึงขั้นหนึ่ง ก็ save ไม่ได้ มีคำเตือนขึ้นมาว่า เนื้อหายาวเกินไป ต้องแก้ไข ตัดโน่นตัดนี่
อะไรก็แล้ว ก็ยัง save ไม่ได้ ก็ขอแบ่งเป็น 2 ตอนค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย และ
https://www.art-and-archaeology.com/jordan/petra/siq/si01.html
https://www.lonelyplanet.com/jordan/the-ancient-city/attractions/qasr-al-bint/a/poi-sig/1446308/1332397