แต่ละวันของพวกเราเดินกันยังกะสวนสนามคือด้วยความเป็นห่วงเตี่ยก็เลยเวียนเข้าเวียนออกดูกันตลอดเวลา ช่วงแรกๆ ของเตี่ยเรางดห้ามใครมาเยี่ยมเลยเพื่อนๆ เค้าจึงได้แต่มองนอกห้อง ไกลๆ เพื่อกันการติดเชื้ออันนี้สำคัญนะ มันเป็นผลดีกับผู้ป่วยและทุกครั้งก่อนเข้าห้องเตี่ยทุกคนต้องล้างมือด้วยน้ำยาทุกครั้งจนฝึกเป็นนิสัยต้องลามือก่อนเข้าห้อง การใส่ใจพวกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ แม่ก็เป็นคุณนายละเอียดอยู่แล้วเค้าก็จะเช็ดตัวเช้าเย็นไม่มีขาด
เตี่ยก่อนหน้าที่เคยพูดได้เสียงแจ้วๆ ตอนนี้ก็ไม่พูดเลยได้แต่แสดงออกท่าสีหน้าเท่านั้น พวกเราก็ให้เตี่ยได้ดูทีวีฟังเพลงต่างๆ เกี่ยวกับสมองเป็นระยะๆ ให้เค้าได้ฟื้นความจำ ซึ่งช่วงเดือนแรกเรารู้สึกได้เลยว่าเตี่ยจำใครไม่ได้เลย มองก็มองแบบสงสัยแต่คุ้นๆ เพราะเราเห็นหน้ากันบ่อยมากกว่า ทำให้พวกเราตั้งสมมุติฐานว่าเตี่ยน่าจะสูญเสียความจำเพราะการผ่าตัดสมองฝั่งขวา เหมือนความจำเค้ามาเป็นระยะๆ
พวกเราพาเตี่ยไปหาหมอตามนัดทุกครั้งซึ่งเราอยู่กับแม่สองคนการเคลื่อนย้ายเตี่ยมาโรงพยาบาลทุกครั้ง เราเลือกใช้บริการรถพยาบาลของโรงพยาบาลเพื่อความสะดวกในการขนย้าย ดีที่โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลบ้านมากนักไม่เกิน 20 กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายรอบละ 1,000 บาท ใช้บริการทุกอาทิตย์เลยเหอะ ดังนั้นในตอนยังไม่แก่เก็บตังค์กันไว้เยอะๆ นะค่าใช้จ่ายยามแก่สูงพอๆ กับวัยเด็กเลยทีเดียว
เตี่ยใช้เวลา 2 เดือนก็มาถึงวันที่ข่าวดีมายังเราอีกครั้ง วันที่หมอบอกว่าน่าจะเอาเหล็กที่คอออกได้แล้ว วันนั้นเป็นอีกวันที่ลุ้นมากๆ เพราะหมอกำชับไว้ว่าให้บอกหมอที่ถอดท่อเหล็กว่าให้อยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลก่อน ห้ามกลับทันทีซึ่งพวกเราก็ให้อยู่โรงพยาบาลจนกว่าจะแน่ใจ ซึ่งการถอดท่อเหล็กครั้งนี้ก็สำเร็จเตี่ยหายใจได้เป็นปกติไม่มีติดขัด แต่ยังคงใส่สายทางจมูก
เตี่ยถอดท่อเหล็กประมาณสิบโมงเห็นจะได้พวกเราขออยู่อาการจนเย็นเลยและค่อนข้างมั่นใจว่าหายได้เป็นปกติโดยหมอยังคงให้ใส่สายอาหารไว้ก่อน ส่วนแผลที่เอาท่อออกก็ต้องล้างแผลทำความสะอาดสามเวลากันเลยทีเดียว จนสุดท้ายแผลที่คอเตี่ยปิดสนิทเตี่ยก็เริ่มดีขึ้น พอแผลที่คอที่พวกเรากังวลถูกปิดลงความกังวลใจที่หนึ่งก็หมดไป อย่างน้อยๆ พวกเราก็มาประสบความสำเร็จขั้นที่ 1 แล้ว ก้าวต่อไปคือถอดสายอาหารเนี่ยแหละ
พวกเราเริ่มให้เตี่ยกินอาหารพวกน้ำทางปากก่อน ตามด้วยขนมนิ่มๆ ชิ้นเล็กๆ อันนี้แอบแม่ให้กินแม่จะว่าเสมอกลัวเตี่ยติดคอแล้วงานมาก แต่เราแอบสังเกตุว่าเตี่ยเค้ากลืนได้นะจึงเป็นสัญญาณที่ดีต่อมา เตี่ยชอบดึงสายอาหารออกประจำจนหนักๆ เข้าอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ซึ่งสายอาหารเนี่ยต้องให้หมอมาใส่เราไม่สามารถใส่เองได้ ทำให้หมอมาบ้านเราบ่อยมากสนิทกันไปโดยปริยาย ขาประจำ!!
จากการที่เตี่ยดึงสายบ่อยๆ มีวันหนึ่งสายหมดก็ทำเอาหมอวิ่งกันให้คึกหาสายมาให้ ซึ่งสายเนี่ยมันมีเบอร์นะไม่ใช่ซื้อสุ่มสี่สิ่มห้าต้องเอาสายที่หมอใส่ให้เนี่ยไปซื้อทุกครั้ง มีความแปลกใจมากที่สายพวกนี้ทางอนามัยไม่มีติดไว้เลยสักเส้น อันนี้สร้างความไม่เข้าใจอย่างยิ่งจริงๆ เพราะจากการสำรวจประชากรติดเตียงบริเวณนี้มีคนไข้เหมือนเตี่ยเกือบ 20 ราย แต่อนามัยไม่มีสายสแปรเลย อันนี้มีความงงมากจริงๆ และครั้งนั้นทำให้รู้ว่าต้องเช็คสต็อกของที่มีเป็นประจำอย่างให้ขาดเลยเด็ดขาด
เราเห็นคนป่วยที่เค้าติดเชื้อมาหลายเคสพวกอุปกรณ์พวกนี้สำคัญมากนะ อย่าเสียดายถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยน ถุงยางที่ต่อท่อฉี่กับอวัยวะเพศก็เช่นกันพวกเราเปลี่ยนวันเว้นวันเพราะจะได้ลดการหมักหมม การดูแลผู้ป่วยติดเตียงต้องดูอย่างใกล้ชิดและใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่าง กำลังใจก็สำคัญมากเช่นกันพอเตี่ยถอดทุกสิ่งอย่างออกได้ การออกไปสู่โลกภายนอกก็ทำได้ง่ายขึ้น ไว้จะมาเล่าตอนต่อไปให้ฟังนะคะ
สุดยอดคุณลูก สู้เพื่อคุณพ่อเลยนะคะ
ดีใจด้วยที่ไม่ต้องใส่สายจมูกFeed อาหาร..
สมัยคุณแม่เจ้าโว๊ยกะคุณตาเหม่ง ก็ดึงเป็นประจำคะ
เอาท่อเหล็กที่คอออก ก็ดีเหลือหลายล่ะ
สู้ๆต่อไปนะคะ..จะให้ช่วยอะไรก็บอกมาได้คะ