Mission : Impossible ทั้งห้าภาค : ภาคที่ดีที่สุดคือ? (Spoiler)

(มีการเปิดเผยเนื้อหาของหนังชุดนี้ทั้ง 5 ภาค เหมาะสำหรับคนที่ดูแล้วหรือไม่แคร์การถูกสปอยล์)

Mission : Impossible เป็นหนังแนวสายลับที่น่าสนใจ เพราะแต่ละภาคจะมีสไตล์ในแบบของตัวเองเพราะเปลี่ยนผู้กำกับไปเรื่อยๆ บางครั้งจึงเปรียบเทียบได้ค่อนข้างยากเพราะสไตล์ค่อนข้างจะต่างกัน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ภาค 3 จนถึง Rogue Nation ซีรีส์นี้เหมือนจะพบเส้นทางของตัวมันเองแล้ว คือเริ่มจะมีโทนหรือสไตล์ที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น มีความต่อเนื่องทางด้านเนื้อหามากขึ้น 

ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ เป็นหนังเพียงไม่กี่ซีรีส์ที่ “ภาค 5 แล้วก็ยังเจ๋งอยู่”

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ซีรีส์นี้สนุกก็คือ “ตัวทอม ครูซ” เองนั่นแหละ 

ถึงแม้ว่าในอเมริกา ความนิยมในตัวทอม ครูซจะค่อนข้างด้อยลงไปเยอะเพราะเรื่องส่วนตัวทั้งหลาย (ลัทธิประหลาดที่ทอม ครูซอยู่ รวมถึงเรื่องปัญหาครอบครัวกับแคธี โฮมลส์กับลูก) แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ทอม ครูซเป็นนักแสดงที่ “ทุ่มเทกับงานทุกเรื่อง” ไม่มีเรื่องไหนที่เขาไม่ทุ่มเท ไม่ว่าจะออกมาดีหรือแย่เขาก็เล่นมันเต็มที่ ฉากสตันท์เขาก็กระตือรือร้นจะเล่นเองด้วย และในหนังชุด Mission : Impossible เหมือนจะมีโจทย์อยู่อย่างหนึ่งก็คือ “หาความท้าทายใหม่ๆให้ทอม ครูซได้เล่น”

นี่นับเป็นจุดแข็งของหนังทั้งห้าภาคจริงๆ




Mission : Impossible (1996)

+ อารมณ์แบบหนังสายลับระทึกขวัญมากกว่าจะเป็นหนังแอ็กชั่น
+ ฉากการจารกรรม “ไร้เสียง” ที่คลาสสิค
+ เพลงประกอบสุดเจ๋งจากแดนนี่ เอล์ฟแมน  



เห็นว่าแฟนทีวีซีรีส์ไม่ค่อยพอใจกับ M:I ภาคแรกมากนัก สาเหตุก็เพราะนอกจากจะเป็น “ทอม ครูซ วันแมนโชว์” แล้ว ยังทำให้จิม เฟล์ปส์ ตัวเอกจากภาคทีวีที่มีความยาวถึง 7 ซีซั่น กลายมาเป็นตัวร้ายประจำเรื่องเสียอย่างนั้น

ความรู้สึกไม่พอใจนี้ ผมพอจะเข้าใจนะ เพียงแต่... ผมไม่เคยดูทีวีซีรีส์มาก่อน จึงสามารถรับเรื่องนั้นได้อย่างสบาย อีกอย่าง ต่อให้ผมหาภาคทีวีซีรีส์มาดูแบบรวดเดียว 7 ซีซั่น ผมเชื่อว่าก็ยังรับได้สบายมาก เพราะซีรีส์สมัยนี้อย่าง Heroes, Lost, Game of Thrones มักจะมีการเปลี่ยนบทบาทไปมาระหว่างการเป็นคนดีคนเลวอยู่แล้ว 

แต่แน่นอน ถ้าสมมติว่าการเปลี่ยนจากตัวเอกที่เป็นคนดี กลายมาเป็นคนเลวอย่างไม่มีน้ำหนักหรือเหตุผลที่รับได้ ย่อมก็ต้องไม่ใช่เรื่องดี ในกรณีของจิม เฟล์ปส์ ผมเห็นด้วยว่ามันเป็นการเปลี่ยนบทบาทตัวละครที่ “เกินความจำเป็น” ไปหน่อย เหมือนแค่ต้องการจะให้หักมุมเท่านั้น

ไบรอัน เดอ พัลม่าเป็นผู้กำกับภาคแรกนี้ ผมชอบ The Untouchables ที่เขากำกับนะ มันเป็นหนังระทึกขวัญที่มีฉากเด็ดๆชวนให้หัวใจอยู่ ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกว่าฉาก “รถเข็นเด็กกับบันได” ยังเป็นฉากคลาสสิคอยู่เลย เพราะไบรอัน เดอ พัลม่าเป็นผู้กำกับ M:I ภาคแรกจึงเป็นอารมณ์แบบหนังสายลับระทึกขวัญมากกว่าจะเป็นหนังแอ็กชั่น

ตอนที่ผมดูในโรงครั้งแรก ผมค่อนข้างคาดหวังกับ M:I ภาคนี้พอสมควร เพราะตัวอย่างตัดต่อมาเหมือนหนังแอ็กชั่นโคตรเร้าใจ แต่ตัวหนังจริงๆกับแทบไม่ได้แอ็กชั่นอะไร ผิดหวังไหม ก็มีบ้าง แต่โดยรวมแล้วผมชอบมันนะ 

ผมชอบฉากไตเติ้ลของเรื่อง (ที่มีเพลงธีมประจำของ M:I)

ผมชอบฉากที่ภารกิจแรกของพวกตัวเอกล้มเหลว ลูกทีมทุกคนถูกไล่ฆ่าจนเหลืออีธาน ฮันท์ (ทอม ครูซ) กับแคลร์ 

ผมชอบฉากจารกรรมฐานข้อมูลในตึก CIA ซึ่งเป็นห้องที่มีกลไกตรวจจับซับซ้อน จนอีธานต้องจารกรรมด้วย “ความเงียบ” แบบสุดๆ ฉากนี้เล่นเอาผมแทบกลั้นหายใจตอนดูครั้งแรก นั่งลุ้นจนตูดเกร็งไปหมด 

ผมชอบฉากที่อีธานประมวลคำพูดของจิม เฟล์ปส์ ค่อยๆเรียงลำดับจนออกมาเป็นความจริงที่ว่า จิม เฟล์ปส์คือผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด 

ผมชอบที่อีธานวางแผนให้พวก CIA , จิม เฟล์ปส์ และผู้ค้าอาวุธมาอยู่ในรถไฟขบวนเดียวกัน 

ผมชอบฉากไคลแม็กซ์ที่สู้กันบนรถไฟความเร็วสูงโดยมีเฮลิคอปเตอร์บินไล่อยู่ข้างท้าย

จริงอยู่ที่บางรอบผมดูเรื่องนี้แล้วแทบจะสัปปะหงกด้วยความที่จังหวะของเรื่องถูกเล่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เหมือนกับหนังแอ็กชั่นสมัยนี้  แต่สไตล์การกำกับแนวระทึกขวัญของไบรอัน เดอ พัลม่า รวมถึงการตัดต่อและเพลงประกอบของแดนนี้ เอลฟ์แมน ได้ทำให้ M:I เป็นหนังสายลับระดับล็อกบัสเตอร์ที่หาไม่ค่อยได้แล้วในยุคนี้...

แต่ในบรรดาสิบกว่ารอบที่ผมนั่งดู บางรอบผมแทบหลับจริงๆนะ ฮ่าๆๆๆ!



Mission : Impossible II (2000)

+ ฉากเปิดเรื่องน่าสนใจดี
+ ฉากไคลแม็กซ์ก็บันเทิงดี...
+ เพลงประกอบ Turn a Look Around ของ Limp Bizkit คลาสสิค! (ใครข้องใจมาแหกปากร้องกับผมเลยมา! หึๆๆ!) 



“ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ภาคสายลับ”! นี่เป็นภาคเดียวในห้าภาคที่ผมยิ่งดูก็ยิ่งชอบน้อยลงเรื่อยๆ

ตอนดูในโรงหนังครั้งแรก ผมไปดูกับเพื่อนๆ ทุกคนออกมาและเห็นตรงกันว่า “ฉากมอเตอร์ไซค์ตอนท้ายเรื่องดีที่สุดแล้ว” ผมอยากจะชอบมันนะ ตอนนั้นผมเป็นแฟนของหนังจอห์น วูหลังจากได้กำกับหนังฮอลลีวู้ดแล้ว ผมนั่งดู Hard Target กับ Broken Arrow ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่บางทีผมอาจจะนั่งดูสองเรื่องนี้มากเกินไป ตอนดู Face / Off ผมถึงเริ่มเบื่อสไตล์จอห์น วู (ใช่ เอาปืนมาจ่อผมได้เลย ผมไม่ชอบ Face / Off หนังที่หลายๆคน รวมถึงเพื่อนของผม ดูแล้วชมกันแบบสุดๆ) และพอมาถึง M:I II มันก็มาถึงจุดอิ่มตัวของหนังจอห์น วูไปซะแล้ว

ผมชอบฉากเปิดเรื่องที่แม่งเจ๋งดี มีการหลอกว่าเป็นอีธาน ฮันท์ แต่สุดท้ายกลายเป็นผู้ร้ายที่สวมหน้ากากอีธาน ฮันท์ จะบอกว่าปฏิบัติการนี้ของตัวร้าย มี “ความเป็นทีม” ยิ่งกว่าของอีธาน ฮันท์เสียอีก

ผมชอบไอเดียเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง “วายร้าย (ไวรัส)” กับ “ฮีโร่ (ยาแก้)” เสียดายที่ประเด็นนี้ไม่ได้ถูกขุดขึ้นมาอย่างชัดเจน

ผมชอบฉากแอ็กชั่นมอเตอร์ไซค์ตอนท้ายเรื่อง

แต่ให้ตายเถอะ ผมไม่ชอบเรื่องที่อีธานกับตัวร้ายต่างมามะรุมมะตุ้มอยู่กับผู้หญิงคนเดียว ซึ่งผมไม่เห็นว่า "เธอมีเสน่ห์พอจะดึงดูดให้ชายฉกรรจ์สองคนมาต่อยตี" กันได้เลย ผมไม่เชื่อในความสัมพันธ์ระหว่างอีธานกับไนย่า ตอนแรกอีธานแค่มาขอเธอเข้าร่วมทีมเท่านั้น แต่ไปๆมาๆดันไปมีความสัมพันธ์ แล้วก็ส่งเธอกลับไปอยู่ในมือของฌอน แอมบรอส ตัวร้ายของเรื่องเพื่อจะได้ข้อมูลเรื่องไวรัสมา 

ผมไม่รู้เลยว่าอีธานเกิดมีใจอะไรให้กับไนย่าขนาดนั้น ถ้าสมมติว่าอีธานแค่เป็นห่วงในฐานะลูกทีมหรือผู้หญิงคนหนึ่ง และสำนึกผิดเรื่องส่งไนย่ากลับไปหามือตัวร้าย ผมอาจจะพอเข้าใจได้ แต่นี่คือ “อีธานตกหลุมรักไนย่า” เลย และ...อย่างที่บอก ผมไม่เชื่อในความสำพันธ์นี้ อีกทั้งความสัมพันธ์นี้ยังทำให้การดำเนินเรื่องของ M:I II น่าเบื่อในความเห็นผมด้วย

ที่สำคัญ อย่าลืมว่าหนังเรื่องนี้มีประเด็นที่น่าสนใจมากๆเรื่อง “วายร้าย” กับ “ฮีโร่” ไอ้ตรงนี้แหละที่น่าสนใจยิ่งกว่าเรื่องความรักระหว่างอีธานกับไนย่าซะอีก จะบอกว่าไนย่าเป็น “ฮีโร่?” ก็ไม่ชัดเจน จะบอกว่าแอมบรอสเป็นเหมือนไวรัส และอีธานเป็นเหมือนยาแก้? ก็ไม่ชัดเจน เรียกว่า “มีของดีอยู่ในมือ แต่กลับปาทิ้งไปซะได้” น่าเสียดาย... น่าเสียดาย...

พูดถึงฉากแอ็กชั่น พูดตามตรงนะ ยิ่งดูหลายรอบยิ่งรู้สึกเบื่อ จริงอยู่ที่มันยังมีอะไรเจ๋งๆอยู่บ้าง แต่มัน... บางฉากก็ขำๆ เช่นไอ้ลีลาการหมุนตัวยิง การเตะซัมเมอร์ซอลท์ แม้กระทั่งฉากมอเตอร์ไซค์ตอนท้ายก็ยังมีอะไรงี่เง่า เช่น ไอ้มอเตอร์ไซค์สองคันนั่นโผล่มาทำไม โผล่มาแล้วไม่ยิง โชว์ผาดโผนเล่น ให้อีธาน ฮันท์ยิงแล้วขโมยมอเตอร์ไซค์เล่น? งี่เง่าว่ะเอ็ง

แล้วผมจำได้ว่าหลังจากที่เดินออกมาจากโรง ผมกับเพื่อนแซวกันว่า “แม่งอย่างกับโฆษณาซัลซิล” คือทุกๆฉากสโลว์เราจะได้เห็นเส้นผมอันสลวยสวยเก๋พลิ้วสะบัดอย่างงดงาม! 

อ้อ ขอสารภาพอีกอย่าง เดี๋ยวนี้ทุกซีนที่เห็นนกพิราบบิน ผมอดขำไม่ได้แล้วว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ โคตรเชย!

แต่ก็อย่างว่า ฉากแอ็กชั่นของ M:I II ก็ยังพอจะมีอะไรบันเทิงอยู่บ้าง ฉากมอเตอร์ไซค์ตอนท้ายก็ยังถือว่าเป็นฉากแอ็กชั่นที่สร้างสรรค์ สรุปคือหักลบกลบหนี้แล้วก็ยังพอดูได้เพลินๆ


Mission : Impossible III (2006)

+ ฉากเปิดเรื่องโคตรเจ๋ง กดดันตั้งแต่เริ่ม
+ ฟิลลิป เซย์มัวร์ ฮอฟฟ์แมนคือผู้ร้ายที่ดีที่สุดในบรรดา 5 ภาค!
+ มีองก์สองที่แข็งแรงมาก! / ฉากสู้บนสะพานเจ๋งดี



“Alias เวอร์ชั่นผู้ชาย”... นิยามนี้ไม่ได้แปลว่าไม่ดี ผมว่ามันน่าสนใจมากนะ

ผู้กำกับ เจ.เจ.อับบลัมส์ตอนนั้นกำลังมาแรงเพราะซีรีส์ Alias ซีรีส์ทีวีที่พูดถึงชีวิตของสายลับสาวในแง่มุมที่ค่อนข้างจะดราม่าและสมจริง ดังนั้นถ้าเทียบกับ M:I II แล้ว M:I III ค่อนข้างจะมีโทนที่ดาร์คกว่า จริงจังกว่า เรียกว่าเอาแค่ฉากเปิดเรื่องก็บ่งบอกถึงความเป็นหนังภาคนี้ได้ดีแล้ว

ผมชอบฉากเปิดเรื่องที่ทอม ครูซตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเมียของเขา “จูเลีย” ถูกโอเวน ดาเวียน ตัวร้ายของเรื่องจับตัวและข่มขู่จะฆ่าเธอต่อหน้า

ผมชอบสไตล์ของฉากแอ็กชั่นที่ดูจริงจังกว่าสองภาคแรก

ผมชอบองก์สองของเรื่องที่ไล่ตั้งแต่การวางแผนลักพาตัวดาเวียน อารมณ์บีบคั้นบนเครื่องบิน ฉากต่อสู้บนสะพาน จนไปถึงตอนที่จูเลียถูกผู้ร้ายจับเป็นตัวประกันในขณะที่อีธานถูกหน่วยงานต้นสังกัดคุมตัว ทั้งๆที่แทบไม่มีเวลาจะไปช่วยเมียตัวเองแล้ว

ดาเวียนที่แสดงโดยฟิลลิป เซย์มัวร์ ฮอฟฟ์แมน นักแสดงมากความสามารถที่ล่วงลับไปแล้ว คือกุญแจสำคัญที่ทำให้อารมณ์ของ M:I III บีบคั้น ถ้าไม่มีตัวร้ายตัวนี้ M:I III ก็คงจะจืดชืดไปเยอะ ตอนที่อีธานลักพาตัวดาเวียนและสอบปากคำบนเครื่องบิน อีธานพยายามถามเรื่อง “แรบบิทฟุท” อาวุธร้ายกาจที่กำลังตามหาอยู่ แต่ดาเวียนกลับทำหน้าเฉยแล้วบอกว่า แกชื่ออะไร มีเมียหรือคนรักไหม ฉันจะเชือดเธอต่อหน้าแก อะไรทำนองนี้ (จำคำพูดไม่ได้ทั้งหมด) ทั้งสีหน้าและท่าทางการแสดงของฮอฟฟ์แมนทำให้ดาเวียน “เป็นผู้ร้ายที่น่ากลัวมาก”

มันมีผลมากในตอนท้ายๆ เพราะหลังจากที่ทีมของอีธานถูกบุกชิงตัวดาเวียน มันทำให้คนดูรู้สึกว่า “ชิบหายแล้วมั้ยล่ะ”

ใช่ ไอ้อารมณ์แบบนี้แหละที่ทำให้ M:I III มีความเข้มข้นขึ้นมากถึงมากที่สุด

แต่น่าเสียดาย M:I III ก็ยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์ องก์สองของภาคนี้แข็งแรงมากจนรู้สึกว่าองก์สามของเรื่องแผ่วไปเลย ฉากไคลแม็กซ์ค่อนข้างจะ “โอเค” แค่ดันไม่ลุ้นเหมือนช่วงกลางๆเรื่อง และตอนที่จูเลียหยิบปืนขึ้นมายิงตัวร้ายได้อย่างกับนางเอกหนังบู๊น่ะ ผมรู้สึกฮาๆแฮะ เธอเป็นพยาบาล แต่สามารถยิงปืนมือเดียวได้อย่างสบายๆเนี่ยนะ? มันสะเทือนเอาเรื่องนะเธอ!

เรื่องพล็อต ผมก็รู้สึกเฉยๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ หนังไม่ได้เฉลยว่า “แรบบิทฟุต” คืออะไร ตรงนี้ผมไม่ได้ติดใจเหมือนคนอื่นๆ ถือเป็นกิมมิคขำๆ เพราะประเด็นอยู่ที่เรื่องอีธาน ฮันท์กับเมียมากกว่า แต่...ก็นั่นแหละ ไม่ได้แย่ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ....

ที่เสียดายอีกเรื่อง คงจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของลูกทีม ภาคนี้พยายามจะให้ลูกทีมมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แต่มีเวลาให้สานสัมพันธ์กันได้ไม่มาก เพราะสุดท้ายมันไปอยู่ที่อีธานกับจูเลียหมด... น่าเสียดาย...

เอาเป็นว่า ผมชอบ M:I III ตรงที่อารมณ์บีบคั้นตอนกลางเรื่องและการแสดงของฮอฟฟ์แมน รวมถึงแอ็กชั่นที่ดูจริงจัง ดุดัน โอเค?



Mission : Impossible - Ghost Protocol (2011)

+ สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ
+ ความสัมพันธ์ของลูกทีมและบทบาทของแต่ละคน
+ มีมุกตลกอยู่เยอะ



โคตรหนุกเลยว่ะ

คือตอนดู M:I GP ครั้งแรก ผมรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยกับองก์สาม คือหลังจากฉากแอ็กชั่นในพายุทรายแล้ว รู้สึกจังหวะหนังแผ่วไปนิด 

แต่พอดูรอบหลังๆ รู้สึกว่าภาคนี้คือภาคที่ดูสนุกตั้งแต่ต้นจนจบของจริง!

ผมชอบลูกทีมของภาคนี้มากที่สุด แต่ละคนมี “ช่วงจังหวะที่เด่นๆ” ของตัวเอง ทั้งตัวละครของเจเรมี่ เรนเนอร์, ไซมอน เพ็กก์ แล้วก็พอลล่า แพตตัน มันเป็นภาคที่ “ทอม ครูซ วันแมนโชว์” น้อยที่สุดแล้ว! ลูกทีมแต่ละคนจะมีหน้าที่ของตัวเอง มีบทบาทต่อภารกิจในแบบของตัวเอง และฉากแอ็กชั่นที่ “เฉลี่ยกันได้โชว์” ...แน่นอนว่าทอม ครูซต้องเด่นสุด แต่ถ้าเทียบกับภาคอื่นๆ นี่ถือว่ามีการเฉลี่ยบทบาทของเพื่อนร่วมทีมที่ลงตัวสุดแล้ว

ผมชอบฉากตอนที่ปีนตึกดูไบ ผมชอบฉากที่เจรจาต่อรองกันเพื่อซื้อรหัสสำหรับจรวดนิวเคลียร์ ผมชอบฉากแอ็กชั่นในพายุทะเลทราย

ถ้าจะมีอะไรติดใจสำหรับภาคนี้ คงจะเป็น “ตัวร้าย” ของเรื่อง หรือก็คือเฮนดริคส์ ตัวร้ายของเรื่องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ เขาเป็นคนฉลาด ทำให้ภารกิจของอีธานกับลูกทีมกลายเป็นงานยากขึ้น แต่... ผมรู้สึกว่าทำไมตัวละครตัวนี้มันถึงได้ “เก่งเกินจริง” ซะเหลือเกิน แถมตอนท้ายดันสู้กับอีธานได้เกือบจะสูสีซะงั้น... มันเหมือนกับเฮนดริคส์เป็นหนึ่งในทีม IMF มากกว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์เสียอีก เรียกว่าเป็น “ตัวร้ายที่ไม่น่าเชื่ออย่างรุนแรง” 

แล้วผมก็ไม่ค่อยชอบแผนการของเฮนดริคส์สักเท่าไหร่ เอ่อ อะไรนะ? ยิงจรวดนิวเคลียร์เพื่อ...จะทำให้โลก “รีเซ็ท” ใหม่อีกรอบ? เพื่อจะสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมาจากซากทำลายล้าง? อะไรวะ... มัน... แปลกๆว่ะ... มันโคตรจะการ์ตูนเลย!

ผู้กำกับ M:I GP คือแบรด เบิร์ด ผู้ที่มีผลงาน “ด้านการ์ตูน” เด่นๆอย่าง Iron Giant, Ratatouille, The Incredibles จริงๆเขาทำฉากแอ็กชั่นในหนังคนแสดงเรื่องนี้ได้ค่อนข้างดี มีคนบอกว่าฉากแอ็กชั่นของ M:I GP  ค่อนข้างมีโทนที่ “เบา” กว่าภาคอื่นๆ ซึ่งผมก็เห็นด้วย แต่ถ้าจะมีอะไรที่ตะขิดตะขวง มันก็คือไอ้เรื่องของตัวร้ายนั่นแหละ 

โดยรวม ผม “บันเทิง” กับ M:I GP มากนะ โดยเฉพาะรอบหลังๆที่รู้สึกว่าองก์สามก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าองก์สองของเรื่องสักเท่าไหร่ และถึงโทนของฉากแอ็กชั่นจะเบากว่าภาคแรกกับภาคสาม แต่ก็ยังดูได้หลายรอบกว่าภาคสองที่เน้นเรื่องสไตล์ซะเยอะเกินพอดีแน่ๆ



Mission : Impossible – Rogue Nation (2015)

+ ฉากบู๊โคตรมันกำลังดี ไม่หนักไปไม่เบาไป
+ ตัวละครหญิงที่ดีกว่าทุกๆภาค
+ วิธีจัดการตัวร้ายสะใจมาก!



ฟู่... M:I RN มันบันเทิงมาก บันเทิงไม่แพ้ M:I GP เลยทีเดียว

ผู้กำกับภาคนี้คือ คริสโตเฟอร์ แมคควารี่ (ชื่ออ่านโคตรยาก ถ้าอ่านผิดก็ขออภัยครับ) ผู้กำกับ Jack Reacher ซึ่งผม “ค่อนข้างจะโอเค” ไม่ได้ถึงกับประทับใจอะไร ก็สนุกดี ดังนั้นพอได้ยินว่ามากำกับ M:I RN จึงค่อนข้างเป็นห่วง

แต่พูดได้ดูจริง ความเป็นห่วงก็หายไปในทันที 

ผมชอบที่ M:I RN เหมือนเอาข้อดีจากหนังทุกๆภาคมารวมกัน 

ผมฉากไตเติ้ลที่ให้อารมณ์แบบเดียวกับของภาคแรก

ผมชอบที่ตัวละครหญิงชื่อ “อิลซ่า เฟาส์” มีบทบาทสำคัญคล้ายกับไนย่าในภาคสอง แต่น่าสนใจกว่ากันเยอะ 



ผมชอบที่หนังมีจังหวะของฉากแอ็กชั่นเหมือนภาคสามกับ M:I GP แต่โทนไม่ได้จริงจังไป แล้วก็ไม่ได้เบาไป โดยเฉพาะฉากไล่ล่ามอเตอร์ไซค์ที่ผมต้องซู้ดปากด้วยความมัน  

ผมชอบที่มันมีฉากหลอกล่อตัวร้ายให้เข้ามาติดกับเหมือนกับภาคแรก โดยเฉพาะฉากใช้กระจกขังผู้ร้ายแล้วเพลงธีมก็ดังขึ้น รู้สึกสะใจจนอยากจะร้อง “เจ๋งว่ะ” ออกมาดังๆ อารมณ์ของฉากนั้นสมบูรณ์มาก ทั้งจังหวะที่พวกลูกทีมยกกระจกขึ้นมากันผู้ร้ายรอบด้าน แล้วก็จังหวะเพลงประกอบที่ลงตัวพอดี

ถ้าเทียบกับ M:I GP จังหวะการเดินเรื่องของ M:I RN ค่อนข้างจะช้ากว่าหน่อย แต่ไม่ถึงกับอืดเหมือนภาคแรก โดยรวมแล้วถือว่าโอเค

แต่ผมคาใจ M:I RN อยู่สองเรื่อง

หนึ่ง เรื่องลูกทีม ภาคที่แล้วลูกทีมมีบทบาทสำคัญมาก แต่ละคนจะได้โชว์ของในฉากแอ็กชั่นในแบบของตัวเองอย่างที่ว่าไปแล้ว แต่ภาคนี้... ฉากแอ็กชั่นที่โดดเด่นยังคงเป็นของทอม ครูซเหมือนเดิม เหมือนจะกลับมาเป็น “ทอม ครูซ วันแมนโชว์” แบบกลายๆ เจเรมี่ เรนเนอร์มีบทบาทสำคัญในภารกิจน้อยกว่าภาคก่อนๆ (แต่ก็ยังมีบทบาทสำหรับการดำเนินเรื่องอยู่) ส่วนใหญ่จะเป็นไซมอน เพ็กก์กับรีเบกก้า เฟอร์กุสันที่แสดงเป็นอิลซ่า เฟาส์ รายหลังน่ะโอเค แต่ไซมอน เพกก์นี่ ผมรู้สึกว่ามันขัดๆแบบแปลกๆพิกล ถึงส่วนใหญ่จะฮาๆอยู่เหมือนเดิม (แต่นั่นแหละ ที่มันทำให้รู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยคลิ๊กเท่าไหร่)

สอง ตัวร้ายที่ชื่อ “เลน” ... ผมคิดว่าตัวร้ายเหมือนจะดีกว่าของ M:I GP แต่ผมไม่ค่อยชอบการแสดงเท่าไหร่ อารมณ์มันเหมือนกับตัวร้ายของ Jupiter Ascending ไม่ค่อยชอบวิธีการทำเสียงแปลกๆ การแสดงที่พยายามจะให้ดูนิ่งแต่แอบร้ายโรคจิตอะไรทำนองนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่ามันยังไง แต่... มันไม่โดนแฮะ คนที่แสดงเป็น “เลน” เคยแสดงใน Prometheus มาก่อน ในบทของลูกทีมที่ทำหัวพังค์... และผมก็ไม่ชอบบทของไอ้หมอนั่นเหมือนกัน... 

บางทีถ้าเลือกนักแสดงที่ดีกว่านี้มาเป็นตัวร้าย M:I RN อาจจะสมบูรณ์แบบกว่านี้ก็ได้นะ


สรุป M:I ทั้งห้าภาค... ภาคไหนดีที่สุด?

ตอบยากว่ะ ตอบยากจริงๆ เอาเป็นว่า "ชอบภาคไหนมากที่สุด" อาจจะง่ายกว่า 

ผมเกลียดภาคสองที่สุดแน่ๆ ส่วนภาคสามคืออยู่ลำดับรองบ๊วยแน่ๆ

แต่ภาคแรก, M:I GP และ M:I RN ผมเลือกไม่ถูก มันมีจุดเด่นและจุดด้อยที่ต่างกัน

ภาคแรกผมชอบที่อารมณ์แบบหนังสายลับระทึกขวัญ การตัดต่อ เพลง บรรยากาศของมัน 

M:I GP ผมชอบฉากที่มันสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ และความสัมพันธ์กับบทบาทของลูกทีม

M:I RN ผมชอบที่ฉากแอ็กชั่นซึ่งเจ๋งและเร้าใจกว่าทุกๆภาค (ใช่ แม้แต่กับภาคสองที่กำกับโดยจอห์น วู เจ้าพ่อหนังแอ็กชั่นฮ่องกงก็ตาม) ชอบตัวละครหญิงที่มีบทบาทน่าสนใจกว่าทุกๆภาค แล้วก็ชอบวิธี “จัดการกับตัวร้าย” มากกว่าทุกๆภาค

ตกลงแล้ว... ให้ตายเถอะ ตัดสินใจยากว่ะ ตอนนี้ขอแบบนี้ก่อนแล้วกัน

(แกะรหัสกันเอาเอง) M:I RN = M:I GP > M:I > M:I III > M:I II 

ตามนี้!  




Create Date : 31 กรกฎาคม 2558
Last Update : 31 กรกฎาคม 2558 20:56:44 น.
Counter : 9562 Pageviews.

2 comments
  
โดยส่วนตัว ผมชอบภาคสามมากที่สุด เพราะ เป็นภาคแรกที่ได้ดูและลุ้นทั้งเรื่อง ตั้งแต่ฉากเปิดตัวจนจบ ภาคนี้มีความกดดันดีเหมือนกำลังดูเจสัน บอร์นบวกกับ เทคเค่น ฉากแอ็คชั่นก็สนุกมันใช้ได้ (ชอบฉากถล่มสะพานมาก) เนื้อเรื่องไม่ได้ซับซ้อนแต่ก็มีหักมุมนิดหน่อย
รองมา ก็ต้องภาค 4,5 สองภาคนี้ชอบพอกัน ลูกทีมใหม่ของอีธานเก่งกันโดดเด่นในแต่ละด้าน มีการวางแผนที่ต้องอาศัยการร่วมมือเป็นทีม มีมุขตลกแทรกมาให้ฮาเป็นช่วงๆ (โดยเฉพาะภาคสี่) ภาคห้า จะมีความจริงจังมากกว่าภาคสี่ แต่ฉากแอ็คชั่นกับฉากเสี่ยงตายยังทำได้ดีอยู่
รองมา คือ ภาคสอง ผกก.จอห์น วูู (Face/Off,Broken Arrow) เน้นความมันสไตล์เอเซีย อีธาน กระโดดเตะเป็นกังฟู มีปืนพกสองกระบอก ยังกะ พระเอกเรื่อง โหด เลว ดี แต่จุดเด่นของภาคนี้คือฉากแอ็คชั่นที่ดุดัน และฉากซิ่งมอเตอร์ไซค์ตอนท้ายเรื่องก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว (ที่ทำให้หนังดร็อปก็เพราะ นางเอก นี่แหละ ) เนื้อเรื่องก็ปานกลาง เหมือนหนังแอ็คชั่นทั่วๆไป แต่ต้องยอมรับว่าภาคนี้สร้างเอกลักษณ์ให้คนจดจำอีธาน ฮันท์ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น ทรงผม เดินมาท่ามกลางไฟ กับนกพิราบ ฉากพระเอกปีนเขาสุดหวาดเสียวตอนต้นเรื่อง ฉากแว้นมอเตอร์ไซค์ หรือ การปาแว่นตาใส่กล้อง ... บอกตรง ภาคนี้พี่แกเฟี้ยวมาก
...สุดท้าย ภาคแรก ภาคนี้ไม่มีฉากแอ็คชั่น แต่เนื้อเรื่อง บท นี่ดีสุดๆ กดดันดี ลุ้นและคอยเชียร์พระเอกให้ทำภารกิจให้สำเร็จ มีการชิงไหวชิงพริบ การหักหลัง ซ้อนแผน เหนือชั้นมากสำหรับภาคนี้ ไคล์แมกซ์ คงเป็นฉากที่อีธานห้อยตัวลงมาจากเพดานห้องในตึก CIA เพื่อฉกชิงของ คือ ลุ้นมาก บรรยากาศชวนให้ลุ้น
โดย: Trong IP: 1.46.38.9 วันที่: 27 มีนาคม 2560 เวลา:16:54:35 น.
  
ชอบภาค 2 นะ แล้วก็ไม่ได้คิดว่านางเอกภาคสองแย่อะไรขนาดนั้นด้วย
โดย: kawapapo IP: 203.131.214.205 วันที่: 23 กรกฎาคม 2560 เวลา:17:49:16 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog