12 วัน 12 หนัง Star Trek : Day 11 - Star Trek 2009


นี่คือ "12 วัน 12 หนัง Star Trek" เป็นการเอาหนัง Star Trek กลับมาดูอีกรอบรวดเดียว 12 ภาค (ยกเว้น Insurrection กับ Nemesis ที่นับว่าเป็นการดูครั้งแรก) แล้วอัพบล็อกแบบ "1 วันต่อ 1 ภาค" หลายๆภาค เมื่อเอากลับมาดูอีกรอบ จะรู้สึกยังไงกันนะ?

อนึ่ง#1 ไม่นับ Star Trek Beyond ซึ่งยังอยู่ในโรงภาพยนตร์และมีเขียนเอาไว้แล้ว
อนึ่ง#2 คะแนนที่ให้เป็นแค่ความชอบส่วนตัว หาได้เป็นตัวกำหนดความคลาสสิคหรือความนิยมไม่




Star Trek (2009)


[เรื่องราวเป็นแบบไหน]

ในศตวรรษที่ 23 วันดีคืนดีก็มียานยักษ์ประหลาดโผล่มาทำลายยานยูเอสเอสสเคลวินและคืนนั้นเป็นคืนที่เจมส์ ที เคิร์กเกิดพอดี พ่อของเคิร์กช่วยชีวิตลูกเรือและแม่กับเคิร์กได้สำเร็จก่อนที่ตัวเองจะจบชีวิตลง 

20 ปีต่อมา (17 ปีที่เคิร์กเข้าสตาร์ฟลีท + 3 ปีหลังจากเข้าเรียนแล้ว) ทางสตาร์ฟลีทได้รับสัญญาณข้อความช่วยเหลือจากดาววัลแคน จึงส่งยานออกไปช่วยเหลือ หนึ่งในนั้นคือยูเอสเอสเอนเตอร์ไพรส์ ทว่าเมื่อไปถึงที่นั่น สิ่งที่รออยู่ก็คือยานขุดแร่ขนาดยักษ์ของกัปตันนีโร ชาวโรมูแลน ยานขุดแร่ของนีโรทำลายกองทัพของสตาร์ฟลีทย่อยยับ เหลือแต่เอนเตอร์ไพรส์ลำเดียว ลูกเรือยานเอนเตอร์ไพรส์จึงต้องร่วมมือกันหาทางหยุดยั้งแผนการของนีโรให้ได้



Smiley

[มันเป็นยังไง]

หลัง Nemesis เจ๊งสนั่น หนัง Star Trek ก็หายไปหลายปี จนกระทั่งปี 2009 เจ เจ อบลัมส์ได้พา Star Trek กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการรีบูท เล่าเรื่องย้อนไปในสมัยที่เคิร์กและสป็อกยังเป็นวัยรุ่น ไม่เพียงเท่านั้น มันยังเป็น "จักรวาลคู่ขนาน" ซึ่งถูกฉีกแยกออกมาจากจักรวาลของซีรีส์ Star Trek: The Original Series ทำให้เคิร์กกับสป็อกในหนังปี 2009 มีชะตากรรมที่แตกต่างจากภาคทีวีซีรีส์กับหนังภาค I-VI

แม้เทรกกี้จะบ่นๆเรื่องการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง รวมถึงโทนของหนัง Star Trek ที่เน้นแอ็กชั่นผจญภัยมากขึ้น แต่หนังเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จทั้งทางรายได้และคำวิจารณ์ถล่มทลายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถือว่าเป็นรายได้ที่สูงที่สุดของหนัง Star Trek ทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ!


Smiley

[รายได้]
257 ล้านเหรีฐสหรัฐ

Smiley

[คะแนนส่วนตัว]
8/10

Smiley

[ความเห็นของข้าพเจ้า]

เทรกกี้และนักวิจารณ์ส่วนใหญ่มักจัดอันดับให้ The Wrath of Khan เป็นที่สุดของหนัง Star Trek... ผมเข้าใจว่าทำไมหลายคนถึงเลือกแบบนั้น แต่ผมขอทำอะไรที่เทรกกี้และนักวิจารณ์จะต้องหาว่า "บ้าไปแล้ว" ผมขอเลือกภาค VI: The Undiscovered Country กับ Star Trek 2009 คู่กัน ใช่! บ้าไปแล้ว!

เจ เจ อบลัมส์ทำให้ Star Trek กลายเป็นหนังที่สนุก ตื่นเต้น และอลังการตั้งแต่ต้นยันจบ นอกจากจะชุบชีวิตหนัง Star Trek ให้กลับคืนสู่จอเงินอีกครั้ง เขายังเรียกแฟนๆหน้าใหม่ให้เข้ามาสนุกกับ Star Trek ได้ด้วย

แน่นอนว่าเทรกกี้หลายคนต้องด่า บอกว่าเป็น Star Trek เวอร์ชั่นสำหรับคนไอคิวต่ำบ้าง, Star Trek ไม่ใช่หนังแอ็กชั่นบ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลดอายุของตัวละครระดับตำนานไม่ว่าจะเป็นเคิร์กหรือสป็อกให้กลายเป็นเวอร์ชั่นหนุ่มทั้งหมด

แต่ไม่ว่าเทรกกี้จะด่ายังไง หนัง Star Trek ก็ฟื้นคืนชีพในแบบแม็กซิมั่มสปีด

ผมดูภาค 2009 มาหลายรอบมาก และฉากเปิดเรื่องของ 2009 มันคือฉากเปิดเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดในบรรดาทั้งหมด 13 ภาครวมถึง Star Trek Beyond ที่เพิ่งฉายในปี 2016 นี้ด้วย มันสมบูรณ์ทั้งงานด้านภาพ งานเพลง การตัดต่อ ฯลฯ ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งก็ยังสุดยอดอยู่ดี





สำหรับผม หลังจากที่นั่งดูหนัง Star Trek ติดต่อกันหลายภาค ตั้งแต่ The Motion Picture จนถึงภาครีบูท 2009 รวมแล้วทั้งหมด 11 ภาค ผมไม่รู้สึกว่าภาครีบูท 2009 เป็นอะไรที่นอกเหนือไปจาก Star Trek เลย โดยแก่นของมันแล้วภาค 2009 ยังเป็น Star Trek อยู่ เพียงแต่ถูกเล่าเรื่องด้วยสไตล์หนังยุคใหม่และเต็มไปด้วยโทนแอ็กชั่นผจญภัยที่ทุกคนจะสนุกด้วยกันได้ ไม่ใช่แค่กับเทรกกี้เพียงอย่างเดียว

ผมไม่ถือเป็นข้อเสีย ถือว่าเป็นข้อดีด้วยซ้ำ

มันยังมีความเป็น Star Trek ไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องการผจญภัยในอวกาศ, ไม่ใช่เพราะมีคาแร็กเตอร์ที่คนคุ้นหูอย่างเคิร์ก, สป็อก, อูฮาร่า ฯลฯ, ไม่ใช่เพราะเอนเตอร์ไพรส์ ไม่ใช่เพราะสตาร์ฟลีท ไม่ใช่เพราะวัลแคนหรือโรมูแลน 

แต่เป็นเพราะมันคือเรื่องของคาแร็กเตอร์สองตัวที่ถูกร้อยเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน เป็นเรื่องของมิตรภาพที่ไม่ได้เริ่มต้นอย่างสวยหรู ทว่ามันค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน




คนหนึ่งคือเจมส์ ที เคิร์กผู้เกรียนแตก และสป็อก ลูกครึ่งชาววัลแคนกับเทอร์ราน (มนุษย์โลก) สองตัวละครนี้ถือเป็นหนึ่งในหัวใจของจักรวาล Star Trek เช่นกัน อย่างน้อยก็สำหรับผม เคิร์กกับสป็อกเป็นเหมือนเหรียญสองด้าน คนหนึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์และการตัดสินใจด้วยไหวพริบ,สัญชาตญาณ ส่วนอีกคนเป็นเรื่องของตรรกะ ตัดสินใจโดยพยายามจะไม่ใช่อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง 

ความน่าทึ่งของ Star Trek 2009 คือ ซัพพล็อตของสองตัวละครนี้ถูกร้อยให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันจนแทบแยกไม่ออก มันไหลลื่นและลงตัวแบบสุดยอด!



ดูเหมือนว่า Star Trek 2009 จะเล่นประเด็นเรื่อง "โชคชะตา" เป็นหลัก แน่นอนว่ามันมีโชคชะตาที่อยู่เหนือการควบคุม กระนั้นก็ยังมีเส้นทางที่สามารถเลือกเดินได้ "การเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง" เป็นเหมือนแก่นหลักในซัพพล็อตของเคิร์กและสป็อก 

คนหนึ่งถูกโชคชะตาเล่นตลกให้ต้องสูญเสียพ่อ กลายเป็นเด็กเกกมะเหรกเกเร ทำตัวเหลวแหลกไปวันๆ 

อีกคนอยู่ในเส้นทางของตรรกะตามที่เผ่าพันธุ์วัลแคนเป็น 

แต่สุดท้ายคนหนึ่งก็เลือกจะเดินในเส้นทางที่จะเป็นกัปตันที่ยิ่งใหญ่เหมือนอย่างที่พ่อเขาเคยเป็น 

และอีกคนก็เลือกจะร่วมทีมกับสตาร์ฟลีท ออกเดินทางกับเหล่ามนุษย์หลากหลายเผ่าพันธุ์ มากกว่าจะอยู่แค่ในดาววัลแคนแล้วเข้ารับพิธีเพื่อกลายเป็นชาววัลแคนผู้สลัดทิ้งอารมณ์แบบเต็มตัว 

เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ดู Star Trek 2009 ผมจะรู้สึกฮึกเหิม มันกระตุ้นส่วนลึกของผมให้เกิดแรงบันดาลใจมากมาย 

ผมชอบที่ฮีโร่ไม่ได้มีความสมบูรณ์พร้อม มีเรื่องที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง มีคนยอมรับบ้างไม่มีคนยอมรับบ้าง แต่อุปสรรคต่างๆนานากลับปั้นคนๆหนึ่งให้กลายเป็นกัปตันระดับตำนานในอนาคตได้




มันมีอยู่ฉากหนึ่งที่ไม่ว่าดูกี่ครั้งก็กระตุ้นแรงบันดาลใจเสมอ

ในฉากไคลแม็กซ์ เคิร์กกับสป็อกจะต้องแยกกันปฏิบัติการ สป็อกคอมเมนต์แผนการของเคิร์กตามหลักการว่า "ตามการคำนวณแล้วมันบลาๆๆๆ" แต่เคิร์กกลับตอนสั้นๆว่า "สป็อก มันเวิร์ค"



ผมเป็นพวกที่กว่าจะได้ลงมือทำอะไรก็คิดเยอะไปต่างๆนานา กลัวนั่นกลัวนี่จนไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียเท่าไหร่ อารมณ์ประมาณว่า "ถ้าเกิดไม่เวิร์คล่ะ? ถ้าเกิดทำมาแล้วไม่ดีต้องอับอายแน่ๆ"

เคิร์กไม่ได้ถูกไปเสียทุกเรื่อง แต่เขาลงมือทำ แล้วก็แก้ไขจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะสำเร็จหรือผิดพลาด ดังนั้นคำว่า "มันเวิร์ค" อาจไม่ได้แปลว่ามันจะเวิร์คจริงๆเสมอไป แค่มันอาจจะหมายถึง "ข้อมูลน่ะมีมากพอแล้ว ลงๆมือทำไปก่อนเถอะ (เพราะถ้าไม่ยอมลงมือทำซะที โลกจะบึ้มก่อนน่ะสิ!)"

ผมเข้าใจอารมณ์แบบที่เคิร์กว่ามา เพราะหลังๆผมเริ่มตัดความกังวลออก แล้วลองลงมือเท่าที่จะทำได้ ถูกบ้างผิดบ้างค่อยว่ากันทีหลัง 

เช่น 

ผมไม่เคยวิ่งมาราธอนเลย แล้วเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมลง "วิ่งเทรล 10 กิโล" เป็นครั้งแรก แน่นอนว่าต้องกังวล แต่ผมก็ตั้งใจว่า "ลองทำไปเถอะ เดี๋ยวก็รู้ผลเอง" ก่อนหน้าจะลงวิ่ง ผมไม่ได้ฝึกซ้อมอะไรนอกจากออกกำลังกายแบบ cardio ตามปกติ 

ผลไม่ได้ออกมาสวยหรูตามคาด วิ่งไปเดินไปจนกระทั่งเข้าเส้นชัย แต่ผมถือว่าโอเคแล้ว และหลังจากนั้นทุกๆเสาร์ผมก็วิ่งในสวนให้ได้ 2 ชั่วโมง (ใกล้เคียงกับที่ไปวิ่งเทรลมา คือ 1.36 ชั่วโมง)

มันก็เท่านั้น ถ้าพลาดก็แค่ลงมือทำใหม่

แน่นอนว่าในสถานการณ์อย่าง Star Trek พลาดอาจหมายถึงความเป็นความตายในหลายๆฝ่าย แต่หลายๆครั้งผู้นำจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในชั่วพริบตา การชะลอเพื่อมานั่งวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนทั้งๆที่ดาวโลกกำลังจะบึ้ม อาจไม่ใช่เวลาที่ถูกต้องนัก

ฉะนั้นคำว่า "มันเวิร์ค" ที่พูดกับสป็อก เคิร์กอาจไม่แน่ใจว่ามันเวิร์คจริงๆ แค่บอกให้สป็อกเลิกคิดเยอะแล้วลงมือทำไปตามแผนเถอะ 

คำพูดของเคิร์กมันส่งมาถึงผมด้วยอย่างแน่นอน

เอาจริงๆแล้วการเขียนบล็อกอย่าง "12 วัน 12 หนัง Star Trek" ก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจจากตรงนั้น

ไม่รู้ว่าเขียนบล็อกแบบนี้แล้วเวิร์คหรือไม่เวิร์ค แต่คิดแผนมาระดับหนึ่งแล้วก็ลงมือทำไปเถอะ ไม่ต้องคิดเยอะอะไรอีกแล้ว!



พูดถึงตัวละครอื่นๆ

จริงอยู่ที่เคิร์กกับสป็อกค่อนข้างจะโดดเด่นนำตัวละครอื่น แต่ไม่ได้หมายความว่าตัวละครที่แฟนๆ Star Trek รู้จักจะไม่มีบทเด่นเสียเลยทีเดียว 

ทั้งแม็คคอย, อูฮาร่า, ซูลู, สก็อต ตัวละครเหล่านี้มีโมเมนต์ที่จะได้โชว์คาแร็กเตอร์ของตัวเองเท่าที่เวลาสองชั่วโมงจะทำได้ และเช่นเดียวกับเคิร์กกับสป็อก หลังจากที่ผมดูหนัง Star Trek ติดต่อกันในช่วงเวลาไม่กี่วัน ผมไม่รู้สึกเหมือนตัวละครตัวนี้จะแปลกแยกไปจากตัวละครภาคออริจินัลตั้งแต่ I-VI เลย 



ไม่ใช่แค่ความแข็งแรงด้านตัวละคร แต่จังหวะจะโคนของหนังก็ลื่นไหลแบบไม่มีสะดุด มุมกล้องสร้างอารมณ์ระดับเอพิคในแบบที่ผมไม่ค่อยได้เห็นในหนัง Star Trek นัก แถมเพลงประกอบ... แม้จะอึกทึกครึกโครมไปบ้าง แต่ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม



อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่า Star Trek 2009 ไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบ มันมีข้อเสียชัดเจน 

สิ่งที่ผมขัดใจใน Star Trek 2009 คงจะเป็นเรื่องใน "องก์สอง" ตั้งแต่ตอนที่เคิร์กทะเลาะกับสป็อกแล้วถูกอัปเปหิออกนอกยาน เรื่องราวในตอนนั้นเต็มไปด้วย "ความบังเอิญ" แบบสุดๆ บังเอิญเจอนั่น บังเอิญเจอนี่ ฉากแอ็กชั่นที่เคิร์กวิ่งหนีสัตว์ประหลาด หรือสก็อตไปติดอยู่ในแทงก์น้ำก็เหมือนใส่เข้ามาให้หนังมีแอ็กชั่นกันคนดูง่วง เอาจริงๆก็ไม่ค่อยมีความจำเป็นเท่าไหร่




ส่วนด้านตัวร้ายนีโร... คือยานถลุงแร่ของมันน่ะสุดยอด แต่คาแร็กเตอร์ของนีโรไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความเกรี้ยวกราด กลายเป็นโคคลั่งที่พุ่งเข้าชนอย่างเดียว ไม่ได้ถึงกับเป็นตัวร้ายที่ชวนให้ลืม จริงๆก็ค่อนข้างน่าจดจำอยู่ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นตัวร้ายที่ดีเด่อะไรมากอีกเช่นกัน



พูดถึงด้านปรัชญา ใช่ ยอมรับว่า Star Trek 2009 มีแง่มุมด้านปรัชญาที่ด้อยกว่าภาคก่อนๆ และปรัชญาก็คือส่วนหนึ่งของ Star Trek มาตลอด ในหนัง Star Trek ที่ผ่านมา จะมีการกล่าวอ้างถึงวรรณกรรมคลาสสิคหรืออะไรทำนองนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ประเด็นนี้คือส่วนที่ Star Trek 2009 จืดจางมาก

แต่ถ้ามองในแง่มุมของความเป็นหนังหนึ่งเรื่องล่ะ? ปรัชญาไม่ได้รับประกันในเรื่องการเป็นหนังที่ดี เช่น The Final Frontier ก็มีปรัชญาระดับยิ่งใหญ่ถึงขั้น "ตัวตนของพระเจ้า"  แต่มันก็ยังไม่ใช่หนังที่ดีไม่ใช่หรือ?

ในส่วนของ Star Trek 2009 มันไม่ได้อารมณ์ลึกซึ้ง มันไม่ได้มีปรัชญาอะไรยิ่งใหญ่ แต่มันคือเรื่องของตัวละคร เป็นเส้นทางของตัวละครที่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบของมันในตัว แม้แต่คนที่ไม่ใช่แฟน Star Trek ก็สามารถดูแล้วเข้าใจได้ง่าย ผมว่านี่ต่างหากคือสิ่งที่สำคัญ

เทรกกี้จะว่ายังไงก็ช่างแล้ว แต่สำหรับตัวผม การเดินทางครั้งนี้ มันเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดไปเลยจริงๆ!




Create Date : 05 สิงหาคม 2559
Last Update : 19 สิงหาคม 2559 5:21:19 น.
Counter : 2289 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog