ขุมทรัพย์จากการลดน้ำหนัก : บทเรียนที่ 3
บทเรียนที่ 3
ปล่อยเขาไป

แจกขุมทรัพย์กลุ่มถัดไปต่อเลยนะครับ! (บทเรียนที่ 1 อ่านได้ที่นี่Smiley, บทเรียนที่ 2 แจกสมบัติกลุ่มแรก อ่านได้ที่นี่Smiley)

สำหรับคนไม่ได้ลดน้ำหนัก : หลายคนมักไม่พ้นการถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือการถูกนินทา หวังว่าขุมทรัพย์กลุ่มนี้น่าจะช่วยสนับสนุนแนวคิดอะไรบางอย่างไม่มากก็น้อย

สำหรับคนลดน้ำหนักโดยวิธีปกติ : ถ้าโชคดีคือทุกคนรอบข้างเข้าใจ เป็นไปตามแผนการทั้งหมดอย่างราบรื่นก็ดีไป แต่ถ้าไม่ใช่ หวังว่าขุมทรัพย์กลุ่มนี้คงจะช่วยได้บ้าง

สำหรับคนลดน้ำหนักด้วยวิธีแปลกกว่าชาวบ้านเหมือนผม : หวังว่าขุมทรัพย์กลุ่มนี้จะมีประโยชน์นะครับ

พิเศษ! ประเด็นสำคัญ “คนลดน้ำหนัก VS พ่อแม่” อุปสรรคของคนลดน้ำหนักที่คาดไม่ถึง!!

ขุมทรัพย์อยู่ท้ายบท ข้ามไปเอาก่อนเลยก็ได้นะครับ!






ผมเคยอ่านเจอในหนังสือสักเล่ม บอกไว้ว่า “คำวิพากษ์วิจารณ์เป็นของที่มีราคาถูกที่สุดในโลก” เพราะสามารถหามันได้เกือบจะในทุกที่ทุกเวลา 
เสียงนกเสียงกาเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ 

แต่คุณเคยเห็นน้ำที่ค่อยๆสะสมจากทีละหยดทีละหยาด แล้วก็กลายเป็นปริมาณน้ำมหาศาลที่ท่วมหมู่บ้านได้ทั้งหมู่บ้านบ้างหรือเปล่าครับ? เคยเห็นขยะชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่สะสมไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จะพอกพูนถังขยะจนล้นทะลักออกมาเรี่ยราดบนพื้นหรือเปล่าครับ? 

การถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องเล็กน้อยที่สั่งสมจนเป็นเรื่องใหญ่ได้ขนาดนั้นเลยทีเดียว

หลังจากที่ผมเริ่มลดน้ำหนักได้ประมาณอาทิตย์กว่า ก็เริ่มเห็นผลแล้วนิดหน่อยว่ามันเริ่มจะลงแล้ว (ไม่ต้องแปลกใจครับ ตอนที่น้ำหนักยังเยอะๆ ถ้าทำอะไรถูกวิธี ช่วงแรกๆมันจะลงง่ายกว่าช่วงหลังๆมาก) ตอนนั้นจึงตัดสินใจประกาศต่อหน้าพ่อแม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่

ผลน่ะหรือครับ พ่อไม่ได้ว่าอะไรเป็นพิเศษ แต่แม่ส่ายหน้าลูกเดียว ดูเหมือนจะรับไม่ค่อยได้กับวิธีที่ผมใช้ ทั้งๆที่น้ำหนักมันเริ่มกระดิกลงแล้ว ท่านก็ยังปฏิเสธ 

แต่... นี่เป็นแค่เรื่องๆเดียวที่ผมจะไม่ยอมใครทั้งสิ้นแม้กระทั่งพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ผมยอมถูกตราหน้าว่าเป็นคนดื้อหรือเป็นลูกเนรคุณหรืออะไรก็แล้วแต่ ตราบใดที่ผมจะสามารถทำตามแผนต่อไปได้... ผมขอโทษ แต่ไม่นึกเสียใจที่ยังทำตามแผนต่อไป... เพราะมันคือเรื่องสุขภาพของตัวผมเอง ถ้ามันจะพลาด ผมก็ขอทดลองจนรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าทำพลาด ดีกว่ายอมแพ้เพราะแม่ไม่เห็นด้วย

หลังจากนั้น ผมก็โดนพูดถึงทั้งในแง่บวกบ้างแง่ลบบ้าง แน่นอนว่าแง่บวกย่อมต้องลื่นหูกว่าแง่ลบ ตอนผมไปสมัครงานที่บริษัทหนึ่ง คนๆนี้เคยเป็นคนรู้จักผม และเขาเห็นว่าผมน้ำหนักลงกว่าเมื่อสมัยก่อน เมื่อผมบอกวิธีลดน้ำหนักไป เขาก็ส่ายหน้าท่าเดียว แล้วไม่ว่าจะอธิบายอะไรก็เหมือนไม่คิดจะรับฟัง พร่ำบอกแต่ว่า “สมองของคนเราต้องการน้ำตาล (ดังนั้นเลยต้องกิน)” ซึ่ง... มันก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ สมองของคนเราต้องการน้ำตาลในการประมวลผล โดยเฉพาะเวลาที่ใช้ในการควบคุมตัวเองไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องกินอะไรที่มีน้ำตาลเยอะๆ กินข้าวเยอะๆ เพื่อจะได้มันมา  ...สุดท้าย ผมก็ไม่ได้เข้าทำงานที่นี่ (ไม่ใช่เพราะเรื่องการลดน้ำหนักหรอก ไม่งั้นมันคงจะไร้สาระมาก)

เมื่อผมเข้าที่ทำงานใหม่ (ตอนนี้ผมออกจากที่นี่มาแล้วด้วยเหตุผลเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวการลดน้ำหนัก) ช่วงแรกของการเข้าทำงาน น้ำหนักลงมาค้างอยู่ที่ 101 กิโลฯ ที่ทำงานใหม่นี้มักจะพูดถึงในแง่ลบกันซะเยอะ พอผมบอกว่า “ออกกำลังกายแบบ HIIT Cardio ซึ่งออกสั้นๆแต่หนักหน่วง” ก็เจอวิพากษ์วิจารณ์ว่า “แบบนี้เขาเรียกว่าหักโหมหรือเปล่า”... เอ่อ แต่นี่เป็นวิธีที่คนออก Cardio หลายคนใช้นะ ถ้าเสิร์ชหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ทหน่อยก็คงจะเข้าใจ บางคนก็บอกว่า “ทำแบบนี้แล้วมันจะผอมได้เหรอ”... เอ่อ แต่น้ำหนักผมก็ลงมาเยอะแล้วนะ ทั้งหมดนั้นผมเลือกจะทำเป็นหูทวนลม ปล่อยผ่านไป

แต่มันมีเรื่องที่กระตุ้นให้ระเบิดลูกใหญ่เกิดทำงานขึ้นมาอยู่หนึ่งครั้ง 

พี่คนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ผมหนัก... แบบต่อหน้าต่อตา อีกทั้งยังมีคนหลายคนนั่งล้อมโต๊ะ ณ ตรงนั้น พี่เขาย้ำว่า “ไม่เห็นมันจะได้ผลเลย” ผมเคยอธิบายไปแล้วใช่ไหมครับ สิ่งเล็กสิ่งน้อย เมื่อถูกสะสมรวมตัวกันได้ที่ มันก็สามารถมีปริมาณใหญ่จนเกิดเป็นการทำลายล้างหรือสร้างความเสียหายได้ อารมณ์ของมนุษย์ก็เช่นกันครับ แม้เป็นคำวิพากษ์วิจารณ์แง่ลบแบบเล็กๆน้อยๆ เมื่อสั่งสมได้ที่ก็กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ได้เหมือนกัน

ผมระเบิดอารมณ์ตรงนั้นเลยไหม?

ไม่ครับ ยังไม่ระเบิด ผมเก็บอาการเอาไว้ พยายามอดทนจนถึงขีดสุด ทั้งๆที่ในใจผมอยากจะลุกขึ้นยืน ถอดกางเกงโชว์เลยว่าผมลดน้ำหนักได้มากแค่ไหน เพราะตอนนั้นผมสวมกางเกงตัวเดิมที่ใช้ตอนยังอ้วน ดังนั้นถ้าผมถอดเข็มขัดปุ๊บ กางเกงมันจะหลุดลงมาเลยครับ เป็นข้อพิสูจน์ได้ดีแน่ๆ แต่มันคงอุบาทว์มาก นึกภาพกันออกไหม?

ผมโกรธ ขุ่นเคือง แต่เก็บอาการจนกระทั่งเลิกจากการทำงาน รู้ไหมครับ ในที่สุดผมก็อั้นแทบไม่ไหว น้ำตามันเริ่มไหล ใช่ครับ น้ำตาลูกผู้ชายดันไหลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่อารมณ์ตอนนั้นมันไม่ไหวแล้ว ผมพยายามยั้งเอาไว้แทบตายเพราะยังอยู่บนรถเมล์ 

พอกลับมาถึงบ้านเท่านั้นแหละ... ผมกินข้าวเย็นทั้งน้ำตาเลยครับ กินไปน้ำตาหลั่งไป ความโกรธเคืองและความคับแค้นมันคั่งอยู่ตรงอก วันนั้นข้าวไม่อร่อยเลยสักนิดครับ

ตามธรรมชาติของมนุษย์คือ เมื่อร้องไห้เราจะหมดแรงครับ (ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เป็นเหมือนกันหมด) เพราะเราใช้พลังงานเวลาร้องไห้ค่อนข้างเยอะ ดังนั้นผมจึงเข้านอนเร็วกว่าปกติ และสิ่งที่ผมทำในตอนเช้าคืออะไรรู้ไหมครับ?

นั่งสมาธิ แล้วก็แผ่เมตตาเป็นรายบุคคล
นึกถึงหน้าของทุกคนที่อยู่ ณ ที่ตรงนั้น ที่ที่ผมถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการลดน้ำหนัก แผ่ไปหนึ่งรอบ แผ่ไปสองรอบ แล้วตอนไปทำงาน ผมก็พยายามแผ่ (ในใจ) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความรู้ที่ได้จากหนังสือสร้างแรงบันดาลใจ หรือหนังสือธรรมะยุคใหม่ (ของท่าน ว.วิชิรเมธี, ทันตแพทย์สม สุจีรา ฯลฯ) มีประโยชน์ก็เมื่อตอนนี้แหละครับ รวมถึงการฝึกนั่งสมาธิจากที่ผ่านมาด้วย 

ของพวกนี้เมื่อตั้งใจจะเอามาใช้ให้มันเกิดประโยชน์ มันก็จะเกิดประโยชน์ครับ 

ผลลัพธ์คือใช้เวลาสามวัน ความโกรธและความขุ่นเคืองใดๆก็ลดน้อยลง ก่อนที่ผมจะมาได้ยินทีหลังว่า พี่คนที่วิจารณ์ผมนั้น เขาก็ถูกคนอื่นวิจารณ์ และลูกน้องก็เกลียดเขาเหมือนกัน เมื่อรู้แบบนี้ก็ยิ่งปล่อยความโกรธไปง่ายขึ้น เข้าข่ายว่า ถ้าต้องทำงานร่วมกันก็โอเค แต่เรื่องส่วนตัวเราอย่ามาเกี่ยวกันอีกต่อไป



หลังจากน้ำหนักผมลงเหลือ 76 กิโลฯ เพื่อนๆที่สวนดุสิตบอกว่าเอาตัวผม “คนอ้วนๆ” กลับคืนมา แต่ผมทำเป็นเฉย เพราะผมรู้ว่า “ผมทำเพื่อตัวผมเอง” ไม่ใช่ทำเพื่อใคร 

แล้วก็ญาติของพ่อผม ซึ่งถามว่า “เฮ้ย ทำยังไงถึงผอม” และเมื่อผมอธิบายไป เขาก็ส่ายหน้าอย่างเดียว เขาบอกว่า “ผมหักดิบ” แต่ผมอธิบายไปว่า ไม่ได้หักดิบนะ ผมค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ค่อยๆทำ ผมอยากจะอธิบายต่อไปอีกว่า ผมมีแผนสำรองอยู่เสมอ ถ้าไม่เวิร์ค ผมก็จะเปลี่ยนแผนมันทันที (แต่มันดันเวิร์ค)

ญาติฝ่ายพ่อคนนั้นเอาแต่ส่ายหน้าลูกเดียวครับ ผมจึงมีแต่ต้องปล่อยไป (และขออย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันโดยไม่จำเป็นอีกเลย)



ประเด็นพิเศษ : คนลดน้ำหนัก VS พ่อแม่

ผมเชื่อว่าคนลดน้ำหนักบางคนจะต้องเจออุปสรรคสำคัญซึ่งเป็นด่านที่ยากลำบากสุด นั่นคือพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ให้ความร่วมมือ เข้าใจแผนการของเรา และคอยจัดการสิ่งต่างๆสอดคล้องกับแผนการเรา นั่นก็ดีไปครับ แต่กับบางคนนั้นไม่ใช่

ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่ดีนะครับ แต่กับบางคน พ่อกับแม่จะเป็นคนเตรียมอาหารไว้ที่บ้าน และจะชอบแบบ “เอาไข่เจียวมั้ย เอานู่นมั้ย เอานี่ไหม กินให้หมดเลยนะ (กินไข่เจียวสามใบ?)” ซึ่งของบางอย่างอาจไม่สอดคล้องกับแผนการลดน้ำหนักของเรา แม้เราจะเคยบอกไปแล้วว่า “ไม่เอาอันนี้ มันไม่ได้เพราะ...” อะไรก็ว่าไป แต่วันดีคืนดีท่านก็อาจลืม และจัดของที่ไม่สอดคล้องกับแผนการเรามาอีก พ่อแม่ไม่ได้มีเจตนาร้ายนะครับ แต่บางครั้งพวกท่านก็ปฏิบัติอะไรสักอย่างมาจนกลายเป็นความเคยชิน

มีนักจิตวิทยาเคยบอกว่า “มนุษย์เป็นทาสของความเคยชิน” เมื่อเราทำอะไรบ่อยๆซ้ำๆย้ำๆ เราจะเคยชินกับมัน เช่น แปรงฟัน (แปรงได้โดยไม่ต้องนึกวิธีแปรง), อาบน้ำ (อาบได้โดยไม่ต้องนึกวิธีอาบน้ำ), กินข้าว (จับช้อนส้อมได้โดยไม่ต้องนึกวิธีใช้พวกมัน) พ่อกับแม่ที่จัดเตรียมของกินให้ลูกบ่อยๆ มักจะคุ้นเคยกับการเลี้ยงดูลูก ดังนั้นถ้าเรากินอะไรบ่อยๆ แล้ววันดีคืนดีเราต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่ ตอนแรกๆท่านอาจจะให้ความร่วมมือ แต่หลังๆท่านก็มีโอกาสลืมและเอาของที่เราจะเลิกกินมาให้อีก

และนักลดน้ำหนักบางคนก็ยอมแพ้ต่อความรู้สึกเห็นใจหรือสงสารพ่อแม่ จนยอมกินมันทั้งๆที่ไม่ควร...

มนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตอนเด็กมนุษย์เราจะอ่อนแอมาก พ่อกับแม่จึงต้องประคบประหงมตามสัญชาตญาณ สิ่งเหล่านั้นมันได้ถูกปลูกฝังเป็น Shortcut ไว้ในสมองของพวกท่านแล้ว ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจที่พ่อแม่บางคนจะบอกว่า “รู้สึกเหมือนว่าเมื่อวานลูกจะเพิ่งอยู่อนุบาลอยู่เลย” ทั้งๆที่ตอนนี้ลูกอยู่ม.ปลายแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พ่อแม่จะเห็นลูก “เป็นเด็กตลอดกาล” แม้จะแต่งงานมีลูกแล้วก็ตาม

คำแนะนำของผมคือ ขอให้เข้าใจพ่อแม่ แต่อย่าลืมแผนการของเรา และหาวิธีจะประนีประนอมกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าโดยที่ยังรักษาแผนการส่วนใหญ่ของเราได้อยู่


และนี่คือขุมทรัพย์ที่ผมได้เพิ่มมาครับ


ขุมทรัพย์ชิ้นที่หก : เข็มขัดสร้างความมั่นคง
ฝึกสร้างจิตใจที่แข็งแกร่ง ด้วยการซึมซับความรู้จากหนังสือหรือการปฏิบัติเอาไว้บ้าง

หนังสือให้แรงบันดาลใจ หนังสือธรรมะ การฝึกสมาธิโดยไม่สนใจเรื่องฌานหรือบรรลุอะไร การฝึกแผ่เมตตาทั้งเวอร์ชั่นยาวและเวอร์ชั่นสั้นๆ (“จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด” สั้นๆ) สิ่งเหล่านี้ถ้าอ่านบ่อยๆหรือฝึกบ่อยๆ มันจะเหมือนมีอาวุธติดตัวเอาไว้ เป็นการสร้างรากฐานแห่งความมั่นคง เราจะยังโกรธตามปกติ เราจะไม่หายโกรธง่ายๆ แต่เราจะค่อยๆเรียนรู้ที่จะปล่อยวางเมื่อเวลามาถึง แม้จะต้องใช้เวลานับเดือนนับปีก็ตาม ขอให้รู้ว่า มีคนมากมายที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้เขาจะทำอะไรสำเร็จแล้ว... อย่าลืม คำวิพากษ์วิจารณ์เป็นของที่มีราคาถูกที่สุดในโลก


ขุมทรัพย์ชิ้นที่เจ็ด : กระจกสะท้อนความรักตัวเอง
“จงเปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะรักตัวเอง เพราะเห็นคุณค่าตัวเอง อย่าเปลี่ยนเพื่อให้ใครรักใครชม” 

ตรงนี้อันตรายมากครับ ไม่ใช่แค่เรื่องลดน้ำหนัก แต่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในหลายๆเรื่อง การเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยมีคนอื่นเป็นที่ตั้งเป็นเหมือนดาบสองคม มันกระตุ้นแรงใจเราได้จริง แต่ก็อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดที่รุนแรงกว่าหากผลลัพธ์ไม่ได้เป็นอย่างที่ควรจะเป็น มันจะรู้สึกเหมือนการกระทำที่อุตส่าห์ทำมาเสียเปล่า

ถ้าผมเปลี่ยนตัวเองเพื่อจะให้เพื่อนชม ตอนที่เพื่อนผมบอกว่าเอาตัวผม “คนอ้วนๆ” กลับคืนมา ผมคงรู้สึกแย่มากๆ แต่ในเมื่อผมลดน้ำหนักเพื่อตัวผมเอง เพราะรักตัวเอง เพราะเห็นคุณค่าของตัวเอง เพราะต้องการจะเห็นตัวเองในทางที่ดีขึ้น ผมจึงสามารถปล่อยคำพูดพวกนั้นให้ผ่านหูไปได้

จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอะไรให้ท่องไว้อีกครั้งเลยครับ 

“จงเปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะรักตัวเอง เพราะเห็นคุณค่าตัวเอง อย่าเปลี่ยนเพื่อให้ใครรักใครชม”


ขุมทรัพย์ชิ้นที่แปด : ผ้าพันคอเสริมความหนักแน่น
พิจารณาแผนการการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราอย่างละเอียด และกล้าที่จะลองผิดลองถูกไปจนถึงที่สุด ถ้าจะผิดก็ขอให้รู้ว่าผิดด้วยตัวเอง (ดีกว่ามานั่งเสียใจทีหลังว่าไม่ได้ลองจนสุดทาง)

อย่างวิธีการลดน้ำหนัก ลองตรวจสอบดูว่าแผนของเราได้ผลจริงหรือไม่ เรามีแผนการที่แน่ชัด มีแผนสำรองแน่แล้วหรือไม่ และลองทำจนสำเร็จแล้วหรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ทั้งหมด คำวิจารณ์ก็เป็นแค่ลมปาก เมื่อเราได้ลองกับตัวเองจนรู้แน่ชัด และไม่ใช่แค่เราคนเดียว แต่คนในคอมมูนิตี้ที่ใช้วิธีลดน้ำหนักแบบเดียวกับเรา ก็สามารถลดน้ำหนักได้อย่างแข็งแรง มีสุขภาพที่ดีเหมือนกันแล้ว คำวิจารณ์ใดๆก็เป็นของไร้ความหมาย มันทำให้เราโกรธได้ แต่ไม่ใช่ของที่จะทำให้เราล้มเลิกเป้าหมาย ถ้าเราอดทนพอจะมองข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ก็ไม่มีประโยชน์จะไปทุ่มเถียงหรือทะเลาะอะไรกับใคร ทำตัวเราเองให้ดีที่สุดดีกว่า

หลังจากน้ำหนักผมลงไปถึง 76 กิโลฯ รู้ไหมครับว่าหลังจากนั้นเป็นยังไง? 
ทุกคนก็เงียบกันไปครับ
มันก็เท่านั้น

เช่นเดียวกัน ประเด็นเรื่อง “คนลดน้ำหนัก VS พ่อแม่” ก็สามารถใช้หลักการที่ว่านี้ได้เหมือนกัน ถ้าเรามั่นใจในแผนการของเราแล้ว หากพ่อแม่ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจแล้วแต่ลืมจนเอาของที่จะทำให้แผนการเราพัง ก็ต้องหาวิธีจัดการที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้แผนการลดน้ำหนักส่วนใหญ่ยังคงอยู่ (เช่น หาของกินเองนอกบ้านทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์จะกินข้าวบ้าน และยอมให้แค่วันอาทิตย์วันเดียวเท่านั้น จันทร์-เสาร์ เราจัดหาของกินเองหมด เป็นต้น)


ขุมทรัพย์ชิ้นที่แปด : ดินสอขีดเส้นคั่น
ในบรรดาคนที่วิจารณ์เรา ถ้าเรามีสติที่ดีพอ เราจะดูออกว่าใครเตือนเราด้วยความหวังดี และใครแค่วิพากษ์วิจารณ์เรา 

มีพี่หัวหน้าผมคนหนึ่ง ท่านรู้ว่าผมใช้วิธีไหนลดน้ำหนักและได้พูดเตือนผม ผมพยักหน้ารับ แต่ก็ยังทำตามแผนการของตัวเองต่อไป มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผมไม่ได้โกรธเคืองพี่เขา รู้ได้ว่าเขาเตือนด้วยความหวังดี ผมแค่ขอรับน้ำใจเขาไว้แล้วกัน แต่กับคนที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียวเลยนี่ ผมขอขีดเส้นคั่นกันอย่างชัดเจนเลย (ถ้าต้องทำงานร่วมกันก็เป็นอีกเรื่อง)


การถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นกำแพงด่านใหญ่ที่ผมคาดไม่ถึง แต่ก็รอดพ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าก็คงต้องเจอมันต่อไปเรื่อยๆอยู่ดีนั่นแหละ 

ก็ “คำวิพากษ์วิจารณ์มันเป็นของมีราคาถูกที่สุดในโลก” ไงครับ!

การลดน้ำหนักเป็นไปได้สวย น้ำหนักมาถึง 76 กิโลฯ ซึ่งก็สร้างความพอใจแก่ผมมาก ผมภูมิใจในตัวเองมาก แต่ชีวิตไม่ได้เหมือนหนัง หรือการ์ตูน หรือเกม 

เมื่อผมลดน้ำหนักได้ ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์มาได้ End Credit ก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาแต่อย่างใด ชีวิตผมยังคงดำเนินต่อไป

และแล้วความผิดพลาดก็เข้ามาเยือนผมอีกจนได้...
(ยังมีต่อ)





Create Date : 03 มกราคม 2558
Last Update : 3 มกราคม 2558 9:45:24 น.
Counter : 888 Pageviews.

2 comments
  
ได้ความรู้ดี
ฝากเว็บด้วยค่ะ ข้อผิดพลาด 1ข้อที่ทำให้...ลดน้ำหนัก ไม่ได้ผล...คุณต้องรู้ รายละอียด goo.gl/y6lHsc
โดย: มะนาว (สมาชิกหมายเลข 1994291 ) วันที่: 28 กันยายน 2558 เวลา:15:37:54 น.
  
ได้ความรู้ดีค่ะ

แจกฟรี pdf วิธีลดน้าหนัก หลังคลอด 20 กิโล //bit.ly/24mMDv4
โดย: ได้ความรู้ดีค่ะ (สมาชิกหมายเลข 2959468 ) วันที่: 5 มีนาคม 2559 เวลา:10:18:39 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]