#### รีวิวหนัง The Shape of Water - แม้ต่าง แต่ไม่ต่าง ####
สวัสดีค่ะ
วันนี้มารีวิวหนังเรื่องแรกของปี (เหมือนจะเป็นนิมิตหมายอันดี รีวิวหนังสือแต่ต้นปีเลย จะทำได้สักกี่เรื่องนี่ปีนี้ 555) กับหนังที่เข้าชิงรางวัลออสการ์หลายรางวัลนะคะ
ผู้กำกับ
Guillermo del Toro
เขียนบทโดย
Guillermo del Toro
Vanessa Taylor
นักแสดง
Sally Hawkins เป็น Elisa Esposito
Michael Shannon เป็น Richard Strickland
Richard Jenkins เป็น Giles
Octavia Spencer เป็น Zelda Fuller
Michael Stuhlbarg เป็น Dr. Robert Hoffstetler
Doug Jones เป็น Amphibian Man
เรื่องย่อ
เหตุการณ์ในสมัยราวปี 1962 ที่อเมริกายังคงค้นหาวิธีการที่จะก้าวหน้าสู่การก้าวสู่โลกอวกาศแข่งกับรัสเซีย มีการค้นพบสัตว์ประหลาดจากทวีปอื่นและนำมายังศูนย์วิจัยแห่งนี้ ที่ซึ่งมีพนักงานหญิงทำความสะอาดสองคนที่มีโอกาสได้ทำความสะอาดในห้องที่ทำการทดลองกับสัตว์ประหลาดตนนี้ และหนึ่งในนั้นได้ค้นพบอะไรบางอย่าง และนำเธอไปสู่การตัดสินใจที่จะทำบางสิ่งซึ่งเพื่อนของเธอไม่ได้เห็นด้วยเลย
ความรู้สึกที่ได้ดู
ก่อนอื่นบอกก่อนว่า เป็นการดูหนังที่ไม่ค่อยจะมีสมาธิเท่าไหร่ค่ะ รู้สึกลอยๆ บอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีอินเป็นบางช่วงนะคะ คิดว่าสาเหตุน่าจะไม่ใช่เพราะตัวหนัง แต่น่าจะเป็นที่ตัวเองที่ไม่ค่อยสบายอยู่ (แถมตื่นเช้าไปทำบุญ แล้วยังลากสังขารไปดูหนังอี๊ก) เพราะฉะนั้นอาจจะเก็บรายละเอียดไม่ครบบางส่วนนะคะ แหะๆ
เป็นหนังที่เราเข้าไปดูด้วยความคาดหวังค่อนข้างสูง เนื่องจากเจอคอมเมนท์ก่อนไปดูที่ชมเอาไว้เยอะถึงสองคอมเมนท์ แต่พอไปดูจริงก็เลยดร็อปลงจากความคาดหวังนิดหน่อย (ดีว่าคอมเมนท์ไม่ได้สปอยล์ เลยไม่ได้รู้ไปก่อนว่าเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร) คือ คิดว่าหนังจะออกแนวหนักกว่านี้ แต่ไม่เลยค่ะ หนังไม่หนัก แต่กลับมีประเด็นแฝงที่ต้องการสื่อของหนังที่ค่อนข้างหนักเลยแหละ
สำหรับเรานะ...เราว่าหนังเรื่องนี้ต้องการให้คนเราเลิกแบ่งแยกเขา-เรา ยอมรับในความแตกต่างกันน่ะ เราตีความว่า The Shape of Water คือ ไม่ว่าน้ำจะอยู่ในภาชนะที่แตกต่างกันแค่ไหน รูปร่างเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ทุกคนเหมือนกันคือ ความเป็นน้ำ เช่นเดียวกับในเรื่องนี้ ทุกคนมีความเป็นมนุษย์ มีความเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกนี้เหมือนกัน ไม่เกี่ยวว่าเขาจะเป็นคนเชื้อชาติไหน สีผิวอะไร มีรสนิยมทางเพศแบบไหน มีลักษณะทางกายภาพเหมือนเราหรือไม่...แต่ทุกคน "เหมือน" กัน รักได้เหมือนกัน โกรธได้เหมือนกัน และเราควรเคารพและให้เกียรติอย่างเท่าเทียมกัน
สำหรับนางเอกของเรื่องนี้เอไลซา เธอเป็นใบ้ เป็นเด็กกำพร้า มีคนพบเธอที่แม่น้ำพร้อมบาดแผลที่คอ ที่ถูกสันนิษฐานว่านั่นทำให้เธอพูดไม่ได้ (แต่ฟังได้ยินและเข้าใจทั้งหมด) เธอมีเพื่อนรักชื่อเซลดา หญิงผิวดำที่ทำอาชีพเดียวกันและคอยช่วยเหลือเธอเสมอมา รวมทั้งไจลส์ ชายที่เช่าห้องอยู่ข้างๆ เธอที่เธอมักจะทำอาหารเช้าไปให้เขาเสมอ
วันหนึ่งเอไลซาได้พบว่า ทางศูนย์ได้นำสิ่งมีชีวิตที่สวยงามและสามารถสื่อสารกับเธอได้มาที่นี่ เธอค่อยๆ สร้างความเป็นมิตรกับเขา ทำอาหารไปให้เขา และเรียนรู้ที่จะพูดคุยกับเขา
แต่ขณะเดียวกัน สตริคแลนด์ผู้ซึ่งเป็นคนพาสิ่งมีชีวิตนี้มา ก็ได้ตัดสินใจร่วมกับท่านนายพลฮอยท์แล้วว่า...จะฆ่าสิ่งมีชีวิตนี้และทำการศึกษา ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียที่แอบแฝงมาอย่างฮอฟท์สเตทเลอร์กลับไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าสิ่งมีชีวิตนี้ มีค่าควรแก่การศึกษาและเก็บไว้ให้มีชีวิตมากกว่าฆ่ามัน
และนั่นแน่นอนว่าทำให้เธอต้องตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง ซึ่งขอไม่สปอยล์นะคะ แต่จะพูดถึงหลายๆ ประเด็นที่ชวนคิดในหนังเรื่องนี้ (เอ...ทำไมจะเขียนถึงความรู้สึก กลับมาเล่าเรื่องเพิ่มหละเนี่ย 555)
ในหนังมีหลายช็อตและซีนที่บอกว่า...คนที่ยังคงแบ่งแยกความแตกต่างในแต่ละคน (หรือแต่ละสิ่งมีชีวิต) นั้น ถูกปัดไปสู่ฝ่ายเป็นตัวร้ายทันที ไม่ว่าจะเป็นสตริคแลนด์ หรือกระทั่งหนุ่มพายที่ไจลส์แอบหลงรัก และเมื่อได้เห็นว่าหนุ่มคนนั้นปฏิบัติตนต่อคนผิวดำอย่างไร (โอเค ปฏิกิริยาก่อนหน้านั้นอาจทำให้เขาเจ็บปวด แต่การปฏิบัติต่อคนผิวดำ ทำให้เขาเห็นความจริงในตัวตนของหนุ่มหล่อหน้าตาดีคนนี้) เค้าถึงกับเอาทิชชู่เช็ดลิ้นที่กินพาย (ทั้งที่ก่อนหน้านั้นรักษาน้ำใจในการทนกินพายมะนาวที่ไม่อร่อยแทบตายมานาน) ที่หนุ่มให้กินออก (สำหรับเรามันแสดงถึงความขยะแขยงได้ชัดพอควรเลยค่ะ) และเพื่อเป็นการตอบรับที่หนุ่มก็ห้ามเขามาที่ร้านนี้ (เพราะได้รู้แล้วว่าเขาเป็นเกย์) อีกต่อไป
หรือการแสดงให้เห็นถึงตัวสตริคแลนด์ ที่ไม่ว่าจะนิสัยส่วนตัว (ดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ยกตนข่มท่าน ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างฮอฟฟ์สเตทเลอร์ นางเอกและเพื่อนนางเอก (ที่เป็นเพียงคนเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว) หรือแม้กระทั่งเมียตัวเอง ที่มีเซ็กส์ด้วยกันเจ้าตัวก็บอกให้ปิดปากเงียบ ไม่ให้ส่งเสียง...คือแบบ...จ้ะ ตัวร้ายมากมาย) ซึ่งแม้กระทั่งช็อตง่ายๆ อย่างการฉี่โดยไม่เอามือจับอวัยวะตัวเอง ก็แสดงให้เห็นถึงความอหังการ์หยิ่งทะนงบางอย่าง หรือการกระทำในเชิงเกี้ยวพาราสีนางเอก (ทั้งที่ตัวเองก็มีเมียอยู่แล้ว) ด้วยถ้อยคำที่...น่าต่อยมาก ซึ่งประโยคเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงการอยากมีอำนาจเหนือคนอื่นมากๆ นะคะ กับเมียที่ส่งเสียงร้อง อยากให้เงียบ กับนางเอกที่เป็นใบ้ ตัวเองกลับพูดว่าจะทำให้ร้องให้ได้...อะไรของเมิงงงงงงงงง
ส่วนนางเอกนั้น เธอรู้สึกได้แต่ครั้งแรกที่เจอเขาและจากการสร้างความสัมพันธ์มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เขาคือคนที่ไม่เห็นว่าเธอต่าง (ซึ่งอันนี้อิชั้นก็ต้องบอกว่า แน่สินะ เขาไม่ได้มีอะไรครอบวัดเป็นมาตรฐานอย่างมนุษย์คนอื่นๆ ที่มองว่าที่เธอต่างไปนี้คือการพิการน่ะ) เธอบอกกับไจลส์ว่า เขาเห็นเธออย่างที่เธอเป็นจริงๆ (ประโยคเด็ดที่สุดอันหนึ่งก็คือที่เธอพูดกับไจลส์นั่นแหละว่าแต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย นั่นต่างหากที่เราจะไม่ใช่มนุษย์ แต่ที่ไจลส์พูดก็น่าคิดนะคะ แบบนี้เราต้องช่วยชีวิตปลาที่ร้านอาหารจีนทุกตัวเหรอ แต่ก็...นะ สิ่งมีชีวิตนี้มันต่างจากปลานี่...มันกึ่งๆ ยังไงบอกไม่ถูกค่ะ 555 จะมองว่าไม่ต่างก็ควรช่วยปลาทั้งหมดนั่นแหละ แต่ที่จริงแล้วในความไม่ต่างก็มีความต่างอยู่นี่นะ ซึ่งพอตัวเองได้เห็นคนที่ตัวเองหลงรักทำต่อคนที่ต่างจริงๆ ถึงได้คิดได้นะนั่น ซึ่งเป็นการสร้าง clue ของจุดหักเหที่ดีค่ะ)
แต่ขณะเดียวกัน เธอก็ไม่ได้เห็นว่าเขา "ต่าง" เช่นกัน เธอไม่ได้เห็นว่าเขาน่าเกลียด (เหมือนใครหลายๆ คน โดยเฉพาะตัวร้ายในหนังเรื่องนี้ทั้งหลาย ฮา) เหมือนที่คนอื่นเห็น (เช่นเดียวกันกับไจลส์ ที่บอกว่าเขา "งาม" ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ) เธอเห็นคุณค่าของเขาว่าเทียบเทียมกับมนุษย์คนอื่น และไม่เห็นด้วยกับการฆ่าเขา นั่นทำให้เธอต้องช่วยเหลือเขาออกมา ซึ่งก็ด้วยความช่วยเหลือของหลายๆ ฝ่าย ทั้งคนที่รักเธออยู่แล้ว และคนที่คาดไม่ถึงหละนะ
และทั้งหมดทั้งมวลนั้นเอง ทำให้ต่างฝ่ายต่างตกหลุมรักกัน และมีความสัมพันธ์กันในแบบที่...เออ จะมีหนังเรื่องไหนที่ทำให้สิ่งมีชีิวิตที่ต่างกันขนาดนี้มีความสัมพันธ์กันได้ เป็นการก้าวข้ามความ "ต่าง" ที่สุดมากสำหรับหนังนะคะ
(อันนี้เป็นอีกประเด็นที่เรายังรู้สึกก้ำกึ่งอยู่นะ ใจเราคิดไปว่า ที่จริงนางเอกก็มีความเป็นเงือกเช่นเดียวกัน แผลเป็นนั่นคือเหงือกตั้งแต่แรก (หรือจะแปลงทีหลังเพราะการช่วยเหลือของเขาเหรอ? สำหรับเราค่อนไปทางที่นางเอกมีความเป็นเงือกตั้งแต่แรกมากกว่าค่ะ) ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอพูดไม่ได้ (เหมือนเรื่องเงือกน้อยในนิทาน?) เราคิดว่างั้นนะคะ)
นอกจากนั้น เราว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้ค่อนข้างมีความละเอียดอ่อนหละ การใช้สีในแต่ละอย่าง การใช้หนังหลายๆ เรื่อง หรือเพลงหลายๆ เพลงที่มีประโยคที่สื่อถึงเรื่องราวหรือความรู้สึกของตัวละครในซีนนั้นๆ ที่มันไม่ใช่การเอาเพลงมาประกอบแบบหนังเรื่องอื่นไปเลย แต่ใช้ว่าทีวีกำลังฉายเพลง/หนังเรื่องนั้นอยู่พอดี ซึ่งเราว่าเข้าใจคิดดีค่ะ
อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ค่อนข้างมีความเป็นแฟร์รี่เทลค่อนข้างสูงนะคะ ถ้าเอาหลักการเหตุผลอะไรไปจับมากๆ อาจจะรู้สึกไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้ามองว่าเป็นเรื่องแฟร์รี่เทลก็จะยอมรับได้มากกว่า
แต่มีสองสามประเด็นที่เรายังตีไม่แตกว่าผู้กำกับต้องการสื่ออะไรค่ะ ไม่ว่าจะเป็นช็อตที่นางเอกเอาหมวก (และอะไรสักสิ่งพันในหมวก) แนบกับกระจกรถบัส เพื่อทำท่าเหมือนกับ "ฟัง" อะไรสักอย่างในหลายๆ ช็อต หรือช็อตที่สตริคแลนด์อยู่กับครอบครัว ที่เฉพาะลูกชายเท่านั้นที่มาหอมแก้ม (ขณะที่ลูกสาวไม่เลย) ทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ต้องการสื่อ แต่นึกไม่ออกจริงๆ ตีความไม่ถูกว่ามันคืออะไรค่ะ
โดยรวมแล้ว ถามว่าเป็นหนังที่ดูสนุกมั้ย สำหรับเราสนุกนะคะ และมีหลายๆ อย่างที่สื่อได้น่าคิดและทำให้คิดต่อหลังดูหนังจบอีกเยอะ ผู้กำกับมีความละเอียดอ่อนและสอดแทรกอะไรหลายๆ อย่างค่อนข้างมาก แต่เราก็คิดว่า...หนังไม่น่าจะถูกใจคณะกรรมการออสการ์ขนาดให้รางวัลนะ แต่ก็ไม่ได้ดูหนังเรื่องอื่นที่เข้ารอบง่ะ เลยไม่กล้าฟันธง 555
ปฏิทินธรรม
วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561
1. ทำบุญตักบาตร ณ วัดพุทธบูชา (กิจกรรมจัดทุกวันเสาร์แรกของเดือน)
วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 (ปกติกิจกรรมจัดทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน แต่เดือนมกราคม จะจัดวันปีใหม่) 1.ทำบุญกับพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถ.จรัญสนิทวงศ์ซอย 37 เวลา 06.30-10.30 น. ดูรายละเอียดพระที่มารับบาตรและแผนที่ได้ที่ https://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=3447
2. งานไถ่ชีวิตโคกระบือ ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือนณ. วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพฯhttps://web.facebook.com/bogboon/photos/a.614964165213890.1073741836.335629013147408/540852169291757/
วันอาทิตย์ที่ 11 และ 25 กุมภาพันธ์ 2561 (กิจกรรมจัดทุกๆ วันอาทิตย์ที่ ๒ และ ๔ ของเดือน) 1. ทำบุญ ฟังธรรม จากครูบาอาจารย์พระป่าสายกัมมฐาน ณ ศาลาลุงชิน แจ้งวัฒนะ 14 กิจกรรมจะเริ่มจากการถวายภัตตาหารร่วมกันเวลา ๘:oo น. สำหรับท่านที่สนใจนำอาหารมาร่วมทำบุญ แนะนำให้มาก่อนเวลาเพื่อจัดเตรียมอาหารใส่ภาชนะ ซึ่งจะเริ่มลำเลียงถาดอาหารเพื่อเตรียมประเคนเวลาประมาณ ๗:๔๕ น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/SalaLungChin?fref=ts
วันศุกร์และเสาร์ที่ 16-17 กุมภาพันธ์ 2561
1. ขอเชิญร่วมงานบุญประจำปี กิจกรรม เข้าวัด(หอพระ) ตักบาตร ฟังธรรมณ หอพระพุทธธรรมทิฐิศาสดา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต.ในโอกาสครบ 1 รอบ 12 ปี การก่อตั้งชุมนุมพุทธธรรมกรรมฐานแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ .
กำหนดการ
วันศุกร์ ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 17.00 น. ลงทะเบียนผู้ร่วมงาน17.30 น. สวดมนต์ทำวัตรเย็น-นั่งสมาธิ18.00 น. แสดงพระธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตโต วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี (สาขาวัดหนองป่าพงที่ 130)19.30 น. ถาม-ตอบปัญหาธรรม20.00 น. เสร็จพิธี.วันเสาร์ ที่ 17 กุมภาพันธ์ 256107.00 น. ลงทะเบียนผู้ร่วมงาน07.30 น. ตักบาตรพระเถระกรรมฐาน บริเวณรอบหอพระฯ08.00 น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ณ ห้องกลาง หอพระฯ08.30 น. ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์10.00 น. แสดงพระธรรมเทศนา โดยหลวงตาศิริ อินทสิริ วัดถ้ำผาแดงนิมิต อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น11.30 น. ถาม-ตอบปัญหาธรรม12.00 น. เสร็จพิธี
วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2561 (จัดทุก อาทิตย์ที่สามของเดือน)
1. 19 มีนาคม- ตักบาตร พระกัมมัฏฐาน และ ฟังพระธรรมเทศนา เวลา 7.00 น.
ณ ชมรมกลุ่มพุทธธรรมลานทอง หมู่บ้านลานทอง อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 (กิจกรรมทุกเสาร์ที่ 4 ของเดือน)
1. ทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารโดยพระเถระวัดป่ากรรมฐาน
เมตตารับบาตรโดย
เวลา ๐๗.๐๐-๑๐.๐๐ น. ณ ศาลาปันมี มูลนิธิบ้านอารีย์
วันเสาร์และอาทิตย์ที่ 24 และ 25 กุมภาพันธ์ 2561 (ทุกเสาร์และอาทิตย์สุดท้ายของเดือน)
1. งานบุญประจำเดือน (ทุกเสาร์และอาทิตย์สุดท้ายของเดือน) ทำบุญบำรุงรักษาสวนแสงธรรม และถวายปัจจัยร่วมสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ณ วัดป่าบ้านตาด
ณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑล สาย 3 แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ1469696+5807701=7277397/13083/1606 Credit Vote Logo : oranuch_sri
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2561 9:05:43 น.
40 comments
Counter : 3114 Pageviews.
โหวตหมวดนี้แทน Cinema ได้ป่าวคะ อิอิ
เรื่องนี้ยังไม่ได้ดูเลยอะ