Group Blog All Blog
|
ฉางอันสิบสองชั่วยาม Ma Bo Yong (หม่าป๋อยง) เขียน
Ma Bo Yong (หม่าป๋อยง) เขียน ซินโป - หย่งชุน แปล สำนักพิมพ์ enter-books ในเครือแจ่มใส 867 บาท 1,183 หน้า
หลังปกเล่ม 1
รัชศกเทียนเป่าปีที่สามแห่งราชวงศ์ถัง เดือนอ้าย วันที่สิบสี่ เมืองฉางอัน ราษฎรแห่งนครหลวงต้าถังไม่รู้เลยว่ายามที่แสงโคมเรืองรองของเทศกาลซั่งหยวนส่องสว่างนั้น สิ่งที่รอคอยพวกมันอยู่คือมหันตภัยที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง! นักรบสุนัขป่าทูเจวี๋ย การลักพาตัวบุตรีแม่ทัพ ลอบสังหาร เพลิงผลาญเชว่เล่อฮั่วตัว... ฟันเฟืองแห่งการทำลายล้างบดขยี้เมืองฉางอันเริ่มหมุนแล้ว ความหวังทั้งมวลที่จะช่วยฉางอันได้มีเพียงนักโทษตาเดียวผู้หนึ่งซึ่งกำลังจะถูกประหาร และเวลาเพียงสิบสองชั่วยามอันแสนสั้น...
คุยกันหลังอ่าน
เรื่องเริ่มจากการที่จิ้งอันซือ ซึ่งเป็นหน่วยงานรักษาความสงบที่ตั้งขึ้นมาใหม่ของต้าถัง ได้รับข่าวมาว่าจะมีคนร้ายลอบเข้ามาก่อความวุ่นวายในฉางอันช่วงเทศกาลซั่งหยวน ก็เลยซ้อนแผนเพื่อจับกุม ในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี คนร้ายคนหนึ่งกลับหนีรอดไปได้ หลี่ปี้ ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบและสั่งการหลักของจิ้งอันซือ ก็เครียดหนัก เพราะมีข้อจำกัดในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น ต้องการจับกุมคนร้ายให้ได้ก่อนเทศกาลจะเริ่ม และต้องไม่ทำให้คนทั่วไปตื่นตระหนก สวีปินจึงเสนอคนที่เหมาะสมกับหน้าที่ล่าคนร้าย นั่นก็คือ จางเสี่ยวจิ้ง
จางเสี่ยวจิ้งเป็นนักโทษประหาร มีตาข้างเดียว เป็นที่เล่าลือถึงความโหดเหี้ยมอำมหิต ในอดีตเคยเป็นทหารชายแดน ต่อมารับราชการในฉางอันหลายปี มีทักษะและความเข้าใจในเมืองฉางอันทะลุปรุโปร่ง หลี่ปี้ตกลงเรียกจางเสี่ยวจิ้งมาช่วยงาน ตอนแรกจางเสี่ยวจิ้งไม่สนใจ แต่เมื่อหลี่ปี้พูดถึงเรื่องความปลอดภัยของชาวบ้านในฉางอัน จางเสี่ยวจิ้งจึงตกลงในที่สุด คำพูดติดปากของเขาคือ ทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบการเลือกของตนเอง ซึ่งต่อมาคำพูดนี้ถูกนำมาพูดถึงซ้ำในสถานการณ์ที่หลากหลาย
แต่ละบทแทนเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านไป เล่าสลับมุมมองหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายที่ต้องการปกป้องฉางอัน และฝ่ายคนที่ต้องการก่อความวุ่นวาย คนอ่านจะรู้สึกบีบคั้นตามตัวละครที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา และมีตัวแปรมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เรื่องยากคาดเดา ชิงไหวชิงพริบกันตลอด
แอ็กชั่นเป็นหลัก เหมือนเวลาเราดูหนังที่แอ็กชั่นที่มียิง มีระเบิด ขับรถไล่ล่า แต่แทนที่จะใช้ปืน ก็เป็นใช้หน้าไม้ แทนที่จะเป็นระเบิดจุดชนวน ก็จะเป็นสารที่สามารถทำให้เกิดการปะทุเผาไหม้รุนแรง แทนที่จะขับรถ ก็จะเปลี่ยนเป็นขี่ม้า คือทุกอย่างจะเปลี่ยนเป็นของที่มีในยุคสมัยนั้นแทน
นำเสนอความเครียด กดดัน ตัดกับบรรยากาศรื่นเริงของคนทั่วไปในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง แต่เรื่องก็ไม่ได้เครียดตลอดเวลานะคะ บางทีก็มีความตลกของสถานการณ์หรือของนิสัยตัวละครบางตัว มาทำให้เรื่องมีช่วงผ่อนคลายบ้าง
เรื่องมีลักษณะของผู้ชายเขียนชัดมาก คือจะให้ความสำคัญกับขั้นตอนและรายละเอียด มีกรอบชัดเจน (ในขณะที่ผู้เขียนหญิงมักให้ความสำคัญกับอารมณ์มากกว่า) ตัวละครชายในเรื่องไม่มีใครหล่อเลย จะบรรยายลักษณะเด่นแทน แต่ตัวละครหญิงนี่ บ้างสวย บ้างน่ารัก บ้างอวบอั๋นเย้ายวน (ในขณะที่ถ้าเป็นผู้หญิงเขียน ทุกอย่างจะตรงข้าม ตัวละครชายจะต้องหล่อ หรือมีเสน่ห์ แต่ตัวละครหญิงจะไม่ถูกบรรยายมากนัก) จะพูด หรือเล่าถึงสิ่งโสมมสกปรกชัด พวกปัสสาวะ สิ่งปฏิกูลต่าง ๆ (ในขณะที่ผู้หญิงมักจะเลี่ยงที่จะกล่าวถึงตรง ๆ ...โอเข้าใจ บางทีเราก็ไม่ได้อยากเห็นภาพแบบนี้ชัดขนาดนั้นน่ะเนอะ) เอ้อ ไม่รู้ทำไม ตัวละครหญิงในเรื่องที่ผู้ชายแต่ง มักจะชอบว่าตัวละครชายว่า ตาบ้า ทะลึ่ง ไม่ก็ คนลามก ในเรื่องก็มีแม่นางคนหนึ่งเรียกจางเสี่ยวจิ้งของเราว่า เติงถูจื่อ เป็นความหมายแนว ๆ ว่า คนลามก
จางเสี่ยวจิ้งเป็นตัวแทนของคนที่ได้รับความอยุติธรรมมาตลอด เขาไม่เชื่อในบุคคลที่มีอำนาจ ขาดความศรัทธาต่อระบบ ต่อบ้านเมือง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยืนหยัดที่จะสู้แทนคนที่ไร้ปากเสียง ปกป้องคนที่ไม่มีกำลัง ซึ่งก็ตรงกับแนวคิดหลักของเรื่อง คือเป็นกระบอกเสียงของคนรากหญ้า ที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีพลัง และถูกเอารัดเอาเปรียบ
ถึงโอจะไม่แน่ใจนักว่าอ่านเรื่องนี้แล้วจะมีพลังหรือท้อกว่าเดิม ขนาดจางเสี่ยวจิ้งที่ทั้งเก่งทั้งทรหด ยังสะบักสะบอมขนาดนี้ แล้วคนธรรมดาจะยังสามารถสู้ได้ไหวหรือ แต่มันก็เป็นการสะท้อนและสื่อสารถึงขุมพลังที่ทุกคนมีอยู่ ยิ่งกดดัน ยิ่งสามารถแสดงความสามารถออกมาได้ดี เหมือนเตือนเราว่า อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ อย่าประมาท
ตัวละครเด่น ๆ ในเรื่อง
จางเสี่ยวจิ้ง คุณพี่จาง ตัวเอก พระเอก ของเรา มีตาข้างเดียว มีทั้งด้านโหดร้ายและอ่อนโยน ขึ้นกับมุมมอง จางตาเดียว หนังเหนียว และเคี้ยวยาก (ตามที่ผู้แปลว่าไว้ ชอบอะ)
หลี่ปี้ เป็นผู้บัญชาการของจางเสี่ยวจิ้งละ เป็นตัวเอกที่เด่นมากอีกตัว ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องฉางอัน และเพื่อรัชทายาท
สวีปิน คุณเพื่อนของจางเสี่ยวจิ้ง มีความสามารถอะไรที่เคยอ่านผ่านตามาแล้วไม่มีทางลืมเลยโดนหลี่ปี้ดึงเข้ามาทำงาน อยากช่วยจางเสี่ยวจิ้งก็เลยเสนอชื่อเพื่อนให้ผู้บัญชาการ
เหยาหรู่เหนิง เป็นคนของจิ้งอันซือ ได้รับคำสั่งจากหลี่ปี้ให้คอยจับตาดูจางเสี่ยวจิ้ง อุปนิสัยซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ตอนแรกระแวงจางเสี่ยวจิ้งมาก ต่อมาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนมุมมองต่อจางเสี่ยวจิ้ง
ถานฉี หญิงรับใช้คนสนิทของหลี่ปี้ ทุ่มเททุกอย่างให้เจ้านาย ฉลาด รู้เรื่องจิ้งอันซือดี เป็นที่ไว้วางใจของหลี่ปี้ ถานฉีไม่เชื่อว่าจางเสี่ยวจิ้งจะมาช่วยงานอะไรได้
เหวินหรั่น ลูกสาวของเพื่อนสนิทจางเสี่ยวจิ้ง ทำงานที่ร้านเครื่องหอม เกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ทำให้จางเสี่ยวจิ้งต้องโทษ โดนดึงเข้าสู่ความวุ่นวายในเทศกาลซั่งหยวนครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
หยวนไจ่ ขุนนางที่ละโมบ รู้จักแสวงหาผลประโยชน์จากสถานการณ์เข้าตน เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญต่อจางเสี่ยวจิ้ง
ตัวละครที่โอชอบที่สุดไม่ใช่จางเสี่ยวจิ้ง แต่เป็นหยวนไจ่ หยวนไจ่เป็นตัวร้าย ในแบบที่ไม่ได้เก่งกาจ ไม่ได้มีอำนาจเป็นพิเศษ แต่มีความสามารถที่จะมองสถานการณ์รวมและดึงเอาผลประโยชน์เข้าตัวเองมากที่สุด เป็นตัวละครที่เกลียด และไม่อยากให้มีเลย ถ้าเราอยู่ในมุมเดียวกับจางเสี่ยวจิ้ง แต่ถ้ามองแบบใจเป็นกลาง เออ หมอนี่เจ๋งดีแฮะ จะมีสักกี่คนกันที่ทำได้แบบนี้
เรื่องนี้ไม่ใช่แนวรักค่ะ จะบอกว่าไม่มีนางเอกก็ได้ หรือจะบอกว่ามีก็ไม่ผิด คือมีตัวละครหญิงคนหนึ่งที่เด่น และสามารถเป็นนางเอกได้ แต่จะเป็นในลักษณะที่ให้คนอ่านไปต่อยอดเอาเอง
โออ่านแล้วไม่ถึงขนาดติดพันเหมือนคนอื่นนะ อันนี้อาจจะเป็นเพราะโอไม่ค่อยมีสมาธิด้วยละ แต่สิ่งที่โอนับถือคือคนเขียนเก่ง ความตั้งใจและความสามารถไม่มีข้อกังขาเลย เขาใส่รายละเอียดมาดี มีการทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูล เรียบเรียงและถ่ายทอดออกมาให้คนอ่านเข้าใจ เรื่องนี้อ่านไม่ยากเลยค่ะ
สิ่งที่โออาจจะขัดนิดหน่อยคือ เรื่องนี้เป็นในรูปแบบที่นิยายที่มีตัวเอกส่วนใหญ่จะเป็น คือพึ่งพาตัวเอกมากเกินไป อย่างในเรื่องนี้ แทบทุกคนจะพูดว่า มีเพียงจางเสี่ยวจิ้งที่สู้เพื่อฉางอันได้ หรือในรูปแบบนิยายที่มีตัวร้าย มักจะมีความคาดหวังของผู้อ่านต่อปมที่ซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นมูลเหตุ แรงจูงใจ ความเกี่ยวข้อง ซึ่งก็มีทั้งตรง และไม่ตรงต่อสิ่งที่คิด หรือการที่เรื่องนี้เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ บทสรุป หรือข้อสรุปของผู้เขียนจึงพยายามที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่แต่งเข้ากับสิ่งที่มีในประวัติศาสตร์ด้วย ก็จะเกิดคำถามตามมาว่า เชื่อมโยงกับนิยายมากแค่ไหน หรือเชื่อมโยงกับใจของผู้อ่านเพียงไร
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ดี และควรอ่าน
. . . เหยาหรู่เหนิงเงียบงัน พบว่าตนไม่เข้าใจบุรุษทระนงผู้นี้เลย บางคราวมันเหมือนฆาตกรเลือดเย็น บางคราวมันเหมือนผู้กล้าเปี่ยมความเมตตา บางคราวมันก็เหมือนจอมยุทธ์พเนจรผู้ลั่นวาจาแล้วต้องกระทำ ลักษณะนิสัยขัดแย้งกันเองเหล่านี้รวมอยู่ในร่างคนคนเดียว ทันใดนั้นเหยาหรู่เหนิงนึกขึ้นได้ ตนเองไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ จางเสี่ยวจิ้งติดคุกเพราะกระทำความผิดใดกันแน่
จางเสี่ยงจิ้งลืมตาช้า ๆ “ข้าจำได้ว่าเจ้ามาเมืองฉางอันสามเดือนแล้ว”
เหยาหรู่เหนิงไม่เข้าใจว่าไฉนปุบปับเปลี่ยนมาคุยเรื่องนี้ ได้แต่พยักหน้า
จางเสี่ยงจิ้งคล้ายยิ้มคล้ายบึ้ง “เจ้ายืนหยัดนานกว่านี้อีกสักช่วงหนึ่งก็จะเข้าใจ เป็นมือปราบในฉางอัน เกือบทุกวันล้วนต้องเผชิญกับการตัดสินใจเช่นนี้ เรื่องผิดใดที่สมควรกระทำ เรื่องถูกใดที่ไม่สมควรกระทำ สมควรยึดมั่นในวิถีวิญญูชนหรือไม่ ทางที่ดีเจ้าควรเข้าใจชัดแจ้งโดยเร็ว ไม่เช่นนั้น...”
“ไม่เช่นนั้น?”
“อยู่ในฉางอัน หากเจ้าไม่กลายเป็นสัตว์ประหลาดเช่นเดียวกัน ก็จะถูกมันกลืนกิน”
หน้า 204-205 บทที่สี่ ต้นยามเว่ย เล่ม 1 . . . หลี่ปี้กุมสายบังเหียนแน่น เร่งขี่ม้าตะบึงวิ่งอยู่บนถนนใหญ่ ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาจุดโคมราตรี ทว่าราษฎรฉางอันต่างพยุงพ่อแก่แม่เฒ่าหอบกระเตงลูกหลานออกมาออกันตามถนนแต่หัววันแล้ว เบียดเสียดกับรถเทียมวัวเทียมล่อที่ตกแต่งด้วยผ้าสีสวยงามจนเป็นกลุ่มก้อน โครงแขวนโคมของฟางต่าง ๆ ยังกำลังประดับประดาเตรียมงานขั้นสุดท้ายใต้โครงโคม การละเล่นนานาสารพัดที่อดใจรอให้ถึงเวลางานไม่ไหวต่างก็เริ่มเปิดการแสดงของตน ตลอดทางพบเจอทั้งควบดาบ มวยปล้ำ ม้าละครสัตว์ ตีไก่ สนุกสนานครื้นเครง ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเนื้อแพะย่างชุ่มน้ำมัน สดับเสียงลำนำวสันต์จากวงมโหรีต่างแดนลอยมาจากที่ห่างไกล เสียงเพลงขับร้องของนักแสดงหญิงสะท้อนคู่คลอ
นี่เป็นเพียงถนนเล็ก ๆ สายหนึ่งเท่านั้น ที่ไกลออกไป ฟางแล้วฟางเล่าก็จมลงสู่ห้วงสำราญเช่นเดียวกัน
ฉางอันคล้ายผ้าไหมบริสุทธิ์พับหนึ่งถูกทิ้งลงในอ่างย้อม สีย้อมแห่งความสนุกสนานบันเทิงซึมผ่านเข้าในถนนแนวตั้งแนวนอนทุกสาย ราวกับซึมเข้าในเส้นด้ายแนวตั้งแนวนอนทุกเส้นทุกชั้น ผ้าทั้งหมดเปียกชุ่มอย่างช้า ๆ วงสีขยายออกทีละน้อย ในเวลาอันรวดเร็วเส้นด้ายแต่ละเส้นล้วนถูกย้อมด้วยกลิ่นอายความรื่นเริง ผ้าไหมบริสุทธิ์ทั้งพับเปลี่ยนสี แผ่บรรยากาศมงคลทั่วนภาอันไพศาล
ท่ามกลางสีสันแห่งความยินดีปรีดา มีเพียงหลี่ปี้ที่เป็นจุดด่างทึมทื่อไม่เข้าพวกไม่เข้ากาล มันเม้มปาก เบียดฝ่าฝูงชนสวนไปทางตรงข้าม มันเบนหัวม้า พยายามแหวกทางออกพ้นจากความสับสนวุ่นวายนี้สุดกำลัง
เมื่อมองดูหน้าตาที่เปี่ยมด้วยความตื่นเต้นยินดีของชาวบ้านแต่ละคน มองดูถนนหนทางที่คึกคักครึกครื้นแต่ละสาย หลี่ปี้รู้ดีว่าตนไร้ทางเลือกอื่น เพื่อนครแห่งนี้และประชาราษฎร์ เพื่ออาณาจักรในอนาคตของรัชทายาท มันจำต้องยอมละทิ้งศักดิ์ศรี กระทำเรื่องที่ตนเองไม่ยินยอมพร้อมใจที่สุด นี่เป็นทั้งภาระหน้าที่ และเป็นทั้งคำสัญญา
ถือว่าทุกสิ่งอย่างนี้คือบทเรียนแห่งโลกีย์ เคี่ยวกรำทดสอบจิตแห่งเต๋าเถิด...หลี่ปี้ครุ่นคิดอย่างอ่อนล้า เสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงต่อไปเบื้องหน้า
หน้า 342-343 บทที่เจ็ด ปลายยามเซิน เล่ม 1
เล่ม 2 หน้า 80 ในเล่มเอ่ยถึงเซิงต้าวฟาง แต่ถ้าดูจากคำบรรยายเทียบกับแผนที่แล้ว ที่ถูกต้องเป็น ซิงต้าวฟางในแผนที่ (เซิงต้าวฟางก็มีในแผนที่ แต่จะอยู่คนละจุด ที่ไม่ตรงกับสภาพในคำบรรยาย) โอไม่แน่ใจว่าในแผนที่ผิด หรือในเรื่องผิด แต่มันไม่ตรงกัน แผนที่ฟาง เรื่องนี้มี e-book ด้วยค่ะ
เล่ม 2
เล่ม 3
ฉางอันมีเรื่องราวเรื่องเล่ามากมาย
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 26 ธันวาคม 2563 เวลา:21:45:00 น.
เรื่องนี้ได้ยินมานานค่ะ
ขอบคุณที่มาเล่าสู่กันฟังนะคะ โดย: หอมกร วันที่: 26 ธันวาคม 2563 เวลา:22:57:54 น.
คุณสองแผ่นดิน ฮ่า ๆ ใช่ค่ะ ขอบคุณที่โหวตให้นะคะ
คุณหอมกร ขอบคุณเช่นกันค่ะ ขอบคุณคุณสายหมอกและก้อนเมฆสำหรับโหวตด้วยค่ะ โดย: ออโอ วันที่: 27 ธันวาคม 2563 เวลา:13:31:50 น.
|
โอเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก อ่านได้ทุกแนว เสาะแสวงหาเรื่องสนุกๆ แนวใหม่ๆ ตลอด หลายเรื่องไม่มั่นใจก็ค้นหารีวิว ถ้าชอบถ้าใช่ก็ลอง ลองแล้วชอบแล้วประทับใจก็อยากบอกต่อ บางครั้ง อ่านครั้งแรกรู้สึกอย่างนี้ อยากเก็บไว้เพื่อเป็นเรื่องราว บันทึกไว้กันลืม กลับมาย้อนอ่านก็จะได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งที่เราเคยอ่าน เรารู้สึกอย่างนี้ เวลาผ่านไป เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้ง ก็อาจจะได้มุมมองใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น "ขอให้ทุกคนสนุกกับการอ่าน" รู้สึกดีที่โลกนี้มีหนังสือ-โอ
| ||||||||||||||||||||||||