OLOS IN TURKEY : ตุรกี ดินแดนสองทวีป ทัวร์ 8 วัน 5 คืน บินตรง + บินภายใน : 1

สวัสดีครับ

หายไปเกือบสองปี ไม่ได้รีวิวเลยครับ มัวแต่ยุ่งๆเรื่องบ้าน

พอมีเวลาว่าง เลยมองหาที่เที่ยวช่วงสงกรานต์หนีร้อนกันสักหน่อย

ซึ่งประเทศนั้นก็คือ ตุรกี นั่นเองครับ

ช่วงนี้จะเห็นว่ามีแพคเกจทัวร์ไปเที่ยวตุรกีเยอะมาก ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2หมื่นปลายๆ

แต่ละแพคเกจจะต่างกัน ในเรื่องของสายการบิน ทั้งบินตรง กับแวะเปลี่ยนเครื่อง

นอกจากนั้นยังต่างกันในเรื่องของการเดินทางภายในประเทศ

ถ้านั่งรถบัสตลอดการเดินทาง ก็จะใช้เวลาเที่ยวประมาณ 9-10 วัน

ได้แวะเที่ยวตามเมืองต่างๆ เยอะกว่าแพคเกจที่มีไฟลท์บินในประเทศ แถมราคาก็ถูกสุด

หากมีไฟลท์บินในประเทศด้วยก็จะประหยัดเวลาการเดินทาง แต่สถานที่เที่ยวก็จะน้อยลงตามไปด้วย แต่ราคาแพงกว่า

 

จริงๆ แพลนว่าจะไปเที่ยวตุรกี ตั้งแต่ ธันวาคม ปี 2559 ตอนนั้นจองทัวร์แล้ว ทัวร์ไม่ออกเดินทาง เพราะคนไม่เต็มกรุ๊ป

ประกอบกับช่วงนั้นมีเหตุการณ์ระเบิดด้วย ทำให้แพลนต้องพับไปก่อน

เสียดายก็แต่เงินที่แลกไว้ช่วงนั้น เรท 1 ลีรา ประมาณ 12 บาท แพงกว่าเท่าตัว ซึ่งเรทตอนนี้ประมาณ 6 บาท หยอกเย้า

เกริ่นมาเยอะแล้ว ไปเที่ยวกันเลยดีกว่าครับ

ปล. รีวิวนี้ข้อมูลอาจจะไม่ค่อยแน่น เพราะจขกท.ไม่ได้อินกับประวัติศาสตร์นะครับ



ทริปนี้เราออกเดินทางวันสงกรานต์พอดีเลยครับ 13 เมษายน 2562
ทัวร์นัดตอน 1 ทุ่ม มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่บ่าย 2
เผื่อเวลาไว้ช่วงเทศกาลเยอะหน่อย เพราะออกเดินทางจากต่างจังหวัด
เกิดรถติด หรือมีปัญหาอื่นๆ แล้วมาไม่ทันจะยุ่งครับ
ในสนามบินคนไม่เยอะอย่างที่คิด คงทยอยออกเดินทางไปเที่ยวก่อนหน้านี้กันแล้ว



ประมาณหกโมงเย็น เจ้าหน้าที่ของทัวร์ก็มาตั้งป้ายรออยู่ด้านหน้าละครับ
เช็ครายชื่อเรียบร้อย ได้รับแจกซองคนละชุด ผูกเชือกกระเป๋าเรียบร้อย
จากนั้นก็เช็คอินที่เคาน์เตอร์ เราบินสายการบิน Turkish Airline เที่ยวบิน TK69
เช็คอินที่ row U ครับ โหลดกระเป๋าได้ คนละ 1 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 20 kg
เช็คอินเรียบร้อย ไปใช้สิทธิ์แลกของกิน และก็เดินไปรอที่เกท E9 เลยครับ





เครื่องมาจอดรอแล้ว เป็นเครื่อง Airbus 330 ชื่อ Pamukkale ซะด้วย
จะบอกว่านั่งไม่สบายเลยครับ ที่นั่งวางขาแคบมาก บางเบาะก็ปรับไม่ได้อีก แต่ก็ต้องทนไปอีก 10 ชั่วโมง







ไฟลท์นี้มีแจก Amenity kit ด้วยนะครับ



ไม่นานก็เสิร์ฟอาหารมื้อแรกครับ เป็นข้าวผัดไข่  กับไก่ทอดราดซอส  รสชาติโอเคเลยครับ



ส่วนอีกมื้อ เสิร์ฟก่อนแลนดิ้ง เป็น Scrambled Egg เลี่ยนมากครับ กินไม่หมดด้วย



ใช้เวลาบินประมาณ 10 ชั่วโมงเศษ ก็ถึง Istanbul แล้วครับ
สนามบินแห่งนี้ชื่อว่า อิสตันบูล ซาบิฮา กุคแซง Sabiha Gökçen
ซึ่งเพิ่งเปิดใช้ประมาณอาทิตย์นึงก่อนสงกรานต์นี่เองครับ
ภายในตกแต่งอย่างหรูหรามากครับ เพดานสูงทุกพื้นที่ แอร์เย็นฉ่ำไม่เหมือนบ้านเรา55

**ที่นี่ตอนนี้เวลาตีห้าเศษ เวลาที่ตุรกีจะช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง อย่าลืมเปลี่ยนเวลานะครับ







ลงเครื่องแล้ว เราต้องบินต่อเครื่องภายในประเทศต่อครับ เดินกันขาลากจนสุดทางกว่าจะถึง
 

ผ่าน ตม. เรียบร้อย ก็เดินไปรอที่เกท G4 เลยครับ

เราจะบินไฟลท์ TK2312 ไปลงที่เมือง Izmir

ตอนนี้อากาศที่ istanbul เมฆเยอะ ครึ้ม และฝนตก

ไฟลท์เราดีเลย์ไปชั่วโมงกว่าครับ

ไฟลท์นี้บินด้วย Boing 777-300ER  ที่นั่งแบบ 3-3

นั่งสบายกว่าไฟลท์ก่อนหน้าอีกครับ

จาก Istanbul ไป Izmir ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ครับ

อาหารว่างที่เสิร์ฟเป็นขนมปัง White cheese toast ข้างในมีแต่ชีสครับ ไม่อร่อยเลย

ใกล้ Landing ที่ Izmir แล้วครับ

สนามบินนี้มีชื่อว่า Adnan Menderes Havalimani / Airport  สนามบินค่อนข้างใหญ่นะครับ

 

จากนั้นก็มาขึ้นรถบัส พร้อมออกเดินทางกันเลยครับ

ไกด์จากไทยชื่อ คุณมิตร ครับ เก่งมากๆ

ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เราจะแวะทานอาหารมื้อเที่ยงกันก่อนครับ

มื้อแรกก็เจออาหารพื้นเมืองตุรกีกันเลย มีแต่ผักครับ มีอยู่เมนูเดียวที่พอจะมีเนื้อไก่นิดนึง

ยังโชคดีที่ทางทัวร์ เตรียมพวกน้ำสลัด มายองเนส / น้ำจิ้มแจ่ว จากไทยมาด้วย

เลยพอมีรสชาติขึ้นมานิดหน่อย

 

 

 

 

ส่วนขนมปิดท้าย รสชาติคล้ายๆ ทองหยอด บ้านเรา แต่หวานกว่ามากๆครับ

 

 

ทานมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าไปที่แรกกันเลยครับ

 

เมืองโบราณ เอฟฟิซุส " City of Ephesus "

 

 

อดีตเมืองนี้เคยเป็นเมืองหลวงแห่งเอเชียของอาณาจักรโรมัน

 

 

 

 

ดอกไม้สวยๆ บริเวณด้านหน้าทางเข้า

 

 

 

 

 

 

น้องแมวตัวอ้วนน่ารักๆ

 

 

 

 

 

 

 

Temple of Hadrian วิหารแห่งจักรพรรดิเฮเดรียน

สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่จักรพรรดิเฮเดรียน วิหารนี้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก

 

 

 

ส้วมในสมัยนั้น

 

จากนั้นเดินต่อตามทางไปยัง ห้องสมุดของเซลซุส

 

สังเกตว่านักท่องเที่ยวเยอะมากจริงๆครับ

 

 

Library of Celsus ห้องสมุดของเซลซุส

ถือเป็นสัญลักษณ์ของนครเอฟฟิซุส

 

 

 

 

 

และ Great Theatre สิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในนครเอฟฟิซุส

สร้างในสมัยกรีกโบราณ โดยสกัดเข้าไปในไหล่เขาให้เป็นที่นั่ง สามารถจุคนได้ถึง 25,000 คน

ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรในยุคนั้น ภายหลังพวกโรมันมาปรับปรุงให้มีความยิ่งใหญ่มากขึ้น

 

 

หลังจากนั้นก็เดินออกมา จะมีร้านขายของที่ระลึก Museum Shop

ใครจะเข้าห้องน้ำก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกันเลยครับ

 

 

ส่วนทางด้านนอกก็มีร้านขายของเรียงรายตลอดทาง

ถ้าจะซื้อของที่ระลึก พวก magnet พวงกุญแจ ที่เกี่ยวกับเมืองนี้ ก็ต้องซื้อเลยนะครับ เพราะที่อื่นไม่มี

 

 

หน้าตารถบัสที่เรานั่งเที่ยวในแถบนี้  สังเกตว่าทุกคันจะสีขาวหมดเลยครับ

ใครมาทัวร์ก็ต้องดูป้าย หรือเลขทะเบียนให้ดี เพราะรถเหมือนกันหมด

 

จากนั้นเราออกเดินทางต่อไปยัง เมืองปามุคคาเล่ Pamukkale

 

 

ตอนนี้เราเริ่มมองเห็นสีขาวๆ บนภูเขาแล้วครับ

วันนี้ไกด์แจ้งว่า คงไม่ได้ขึ้นบอลลูนที่คัปปาโดเกีย เพราะกรุ๊ปเราได้สำรอง

แต่มีทางเลือกให้ขึ้นที่ปามุคคาเล่แทนในเช้าวันพรุ่งนี้ ราคา 210$

แต่เราก็ไม่คิดจะขึ้นที่ปามุคคาเล่ เพราะวิวยังไงก็ไม่สวยเท่าที่คัปปาโดเกีย

 

จริงๆก่อนเดินทางประมาณ 2 อาทิตย์ก็ลองหาทัวร์ขึ้นบอลลูนเองเหมือนกัน เพราะราคาจะถูกกว่าทางทัวร์จัดให้

คิดว่าอยากจะจองมาล่วงหน้าเอง แต่ก็กลัวทางทัวร์จะไม่อนุญาต

เพราะการจอง ต้องระบุโรงแรมที่พักที่รถจะมารับตอนเช้าไปขึ้นบอลลูนด้วย

แต่เท่าที่ถามดู ส่วนใหญ่ก็เต็มกันหมดแล้ว

 

 

 

เข้ามาด้านหน้าจะมีร้านขายของ รวมถึงไอติมด้วยครับ

 

 

 

ได้ตั๋วแล้ว เตรียมเดินเข้าไปข้างในกันเลยครับ

 

 

จากทางเข้าต้องเดินตามทางประมาณ 200-300 เมตร ถึงจะถึงปราสาทปุยฝ้าย



บรรยากาศสองข้างระหว่างทางเดิน







ปามุคคาเล่ ในภาษาตุรกี หมายถึง "ปราสาทปุยฝ้าย "
Pamuk หมายถึง ปุยฝ้าย  ส่วนคำว่า Kale หมายถึง ปราสาท
เป็นน้ำตกหินปูนสีขาว ที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดินที่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส
ซึ่งเป็นแร่ทึ่มีหินปูน (แคลเซียมออกไซด์) ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ไหลลงมาจากภูเขา คาลดากี ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือ
เอ่อล้นขึ้นมาเหนือผิวดิน และทำปฎิกิริยาจับตัวแข็ง เกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่งชั้น ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ
จนเกิดเป็นความสวยงามตามธรรมชาติ และได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก้ ให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมในปี ค.ศ.1988





นักท่องเที่ยวเยอะมาก หลายคนถอดรองเท้าเดินลงไปแช่ น้ำไม่ร้อนเท่าไรครับ เดินได้
แต่พื้นบางจุดจะลื่นมาก เพราะมีตะไคร่น้ำ ต้องระวังให้มากนะครับ





เราเดินจากจุดนี้ไปตามทางเดินไปทางขวาเรื่อยๆ ตรงนี้คนจะน้อยกว่า และสวยกว่าครับ





ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาเดินทางกลับแล้วครับ
ตอนนี้เวลาประมาณทุ่มครึ่งแล้ว แต่ฟ้ายังไม่มืด
แวะถ่ายดอกไม้สวยๆบนไหล่เขา ก่อนขึ้นรถไปยังที่พัก



นั่งมาประมาณ 10 นาที ก็ถึงโรงแรมที่พักแล้วครับ เราพักกันที่ Richmond Thermal Pamukkale
แวะทานมื้อเย็นที่ห้องอาหารโรงแรม ก่อนขึ้นห้องพักครับ
อาหารโรงแรมเป็นแบบบุฟเฟ่ ไม่ค่อยถูกปากเท่าไร แต่พวกผลไม้ก็มีให้เลือกหลายอย่าง
สตรอเบอรี่ลูกใหญ่ แต่ไม่ค่อยหวานออกเปรี้ยวนิดๆ คืนนี้ต้องคงพึ่งมาม่าซะแล้ว



ห้องพักโอเค ขนาดกะทัดรัด  ทางเดินในโรงแรมคดเคี้ยวมาก กว่าจะหาห้องเจอก็เหนื่อยเหมือนกัน







เข้าวันที่ 2  เรามีเวลาเยอะหน่อย เพราะบางคนไปขึ้นบอลลูนกัน กว่ารถจะออกก็ประมาณ 9.30 น.
ด้านหลังห้องพักเป็นสวน มีทางเดินไปชมวิวด้านหลังโรงแรม







พื้นที่โรงแรมใหญ่ประมาณนึงเลยครับ มีสระว่ายน้ำ สนามเทนนิส บ่อน้ำร้อน







น้องเหมียวผู้คุมสระว่ายน้ำ น่ารักซะไม่มี
แต่ไม่กล้าเข้าใกล้มาก กลัวโดนกัด555





ตอนนี้ยังเห็นบอลลูนลอยอยู่บนท้องฟ้าอยู่  แต่ก็ใกล้ได้เวลาออกเดินทางต่อแล้วครับ



จากปามุคคาเล่ เราออกเดินทางต่อไปยังเมืองอันตาเลีย Antalya ระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร นั่งยาวๆ ไปครับ
ระหว่างทางก็จะมีแวะให้เข้าห้องน้ำตามร้านขายของที่ระลึกบ้าง ส่วนใหญ่จะเสียเงินค่าเข้าห้องน้ำ คนละ 1.5-2 ลีรา











เราแวะทานมื้อเที่ยงกันก่อนครับ วิวสวยใช้ได้
อาหารมื้อนี้เสิร์ฟเป็นเซ็ต มีทั้งขนมปัง ออเดิร์ฟ ผักสด และปลาย่างพร้อมข้าว
ปลาย่างกับข้าว มีน้ำจิ้มแจ่วจากไกด์มาด้วย ยิ่งมีรสชาติดี แต่ก้างเยอะมากครับ













ทานข้าวเสร็จ เดินออกตามซอย ลัดเลาะไปตามบ้านเรือน เพื่อไปยังท่าเรือ
ระหว่างทางมีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก แต่ละร้านตกแต่งอย่างสวยงาม



เรือโจรสลัดลำนี้ครับ ที่เราจะล่องชมความงามของอ่าวริมทะเลสาบเมดิเตอร์เรเนียน
บรรยากาศระหว่างทางได้ชมวิวเพลินๆ ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมงครับก็กลับ เพราะคลื่นเริ่มแรง เกรงจะไม่ปลอดภัย







Hidirlik Tower เป็นหอคอยทรงกลมที่สร้างจากหินสีน้ำตาลอ่อน ในอดีตใช้เป็นป้อมปราการ หรือประภาคาร



หลังจากกลับมาที่ท่าเรือ เดินขึ้นบันไดมาด้านบน มุมนี้จะมองเห็นท่าเรือสวยมากครับ
จากนั้นเดินลัดเลาะไปตามซอยผ่านร้านกาแฟ ร้านอาหาร ไปยังประตูเฮเดรียน











Hadrian's Gate ประตูเฮเดรียน เป็นประตูชัย สร้างขึ้นตามชื่อของจักรพรรดิโรมันเฮเดรียน ในช่วงศตวรรษที่ 2
โดยประตูนั้นถูกสร้างขึ้นในรูปทรงโค้ง จำนวน 3 ประตู





จากนั้นก็เดินไปตามถนน ชมบรรยากาศในตัวเมือง ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่ที่พัก









คืนที่สอง เราพักกันที่ Ramada Resort Lara โรงแรมใหญ่มากครับ มีหลายตึก
รอบๆ โรงแรมก็มีย่านร้านค้า ห้าง ให้ช็อปกันอีกด้วย









ห้องพักเป็นเตียงควีน 1 เตียง และเตียงเล็กอีก 1 เตียงครับ ห้องน้ำก็ตกแต่งสวยงาม
ส่วนโถชักโครกจะมีท่อฉีดชำระติดอยู่ที่ขอบโถเกือบทุกที่ครับ ใครจะใช้ก็ดูดีดีก่อนนะครับ แต่ไม่ใช้น่าจะดีกว่า




เก็บของเสร็จก็ลงมาทานอาหารมื้อเย็นที่ด้านล่างของตึกหลัก ไลน์อาหารเยอะมากครับ











วันที่สาม หลังจากจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย  เราออกเดินทางกันยาวๆ สู่เมืองคัปปาโดเกีย ระยะทาง 542 กิโลเมตร



แวะทานมื้อเที่ยงกันระหว่างทาง รสชาติก็พอกินได้ครับ











แวะซื้อไอติมหน้าร้านแถวนั้น ไม่อร่อยเท่าไร55



หลังจากนั้นก็นั่งรถต่อ ประมาณบ่ายสอง ก็ถึง Caravansarine ซึ่งเป็นสถานที่พักแรมของพ่อค้าชาวเติร์ก สมัยออตโตมัน
แต่ตอนที่เราไป กำลังซ่อมแซมอยู่ครับ เลยได้ชมแต่ภายนอก





ด้านข้างของ Caravansaraine เป็นร้านขายของที่ระลึกครับ มีห้องน้ำบริการ แต่เสียค่าเข้าเหมือนเคย
ภายในมีของที่ระลึกเยอะเลย แต่ราคาก็ต้องลองพิจารณาดูก่อนครับ แต่พวก magnet อยากซื้อต้องซื้อเลยครับ
ลายที่นี่สวย มีให้เลือกเยอะด้วย เสียดายไม่ได้ซื้อมา









จากนั้นก็นั่งรถต่อ วิวข้างทางสวยงามแปลกตา







พอถึงเมืองคัปปาโดเกีย ก็จะเห็นบ้านเรือนสร้างอยู่ตามภูเขาหินแบบนี้





เราแวะโรงงามพรมกันก่อนครับ ภายในก็จะแสดง สาธิตเกี่ยวกับพรมชนิดต่างๆ
ลายของที่นี่สวยมาก แต่ราคาก็แพงมากกกก เช่นกัน ซื้อไม่ลงเลยครับ
ผื่นเล็กๆ ก็หลายหมื่นแล้ว  ภายในห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีมาให้ชมครับ



ออกจากโรงงามพรม ก็เลยห้าโมงเย็นแล้ว เดี๋ยวเราจะเข้าที่พักกันเลยครับ







ถึงแล้วครับที่พักคืนที่ 3 ของเรา Goreme Kaya Hotel
ดูจากภายนอกหรูหราใช้ได้เลยครับ ภายในก็ตกแต่งสวยงามเลียนแบบคล้ายกับถ้ำของจริง











ห้องพักของเรา ขนาดเล็กกะทัดรัด ทุกอย่างดูดี









เก็บของแล้วลงไปทานมื้อเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรมครับ
มื้อนี้หน้าตาอาหารดูดีน่ากินกว่าทุกมื้อ มีเนื้อไก่หลายเมนูเลย







อิ่มท้องแล้ว ประมาณสองทุ่มเรานั่งรถไปชมระบำหน้าท้องกันต่อครับ
เข้ามาภายในก็จะเป็นโถงขนาดใหญ่มีที่นั่งรายล้อมแต่ละมุม มีถั่ว ผลไม้ และเครื่องดื่ม ให้ทานระหว่างชมโชว์
แรกๆ จะเป็นโชว์เต้นของชายหญิงชาวตุรกี ครับ ช่วงท้ายจึงจะเป็นโชว์ระบำหน้าท้อง
ระหว่างโชว์ก็จะเรียกให้แขกที่ชม ไปร่วมเต้นด้วย ก็เพลินๆดีครับ โชว์ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษ จากนั้นก็กลับที่พักครับ












ต่อตอนที่ 2




Create Date : 16 พฤษภาคม 2562
Last Update : 21 มิถุนายน 2562 11:21:53 น. 0 comments
Counter : 780 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

One Light One Shadow
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




กด like / ถูกใจ OLOS

qrcode free counters
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2562
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
16 พฤษภาคม 2562
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add One Light One Shadow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.