"Fantastic Four : Rise of the Silver Surfer" ... โฟร์อวึ๋น ขี่(บอร์ดล่อ)พายุทะลุฟ้า
"Fantastic Four" ภาคแรก ... เป็นอะไรที่น่าผิดหวัง สำหรับการเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลสักเรื่อง (แต่ถึงอย่างไงก็ยังน้อยกว่า Daredevil กับ Ghost Rider)
หลังจากการมาของ Spider-Man และ X-Men (สองสุดยอดของซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลมาตั้งแต่เป็นหนังสือ) ที่ถือได้ว่า เป็นผู้นำเทรนด์หนังฮีโร่คอมมิคส์ยุคปัจจุบัน ที่คำว่า "จริงจัง" ต้องแอบแฝงอยู่ในสารบบนี้อย่างเป็นหลักเป็นการ ...ถึงมันยังจะต้องเน้นย้ำในการดูเพื่อความบันเทิงเป็นใหญ่ แต่เรื่องของสาระ การสะท้อนภาพตัวตนผู้คน และสังคมรอบข้าง ก็เหมือนว่าจะขาดไปไม่ได้เลยสำหรับการสร้างหนังในตระกูลนี้ขึ้นมาสักเรื่อง
ซึ่งผมเองก็ต้องยอมสารภาพว่า ได้บังอาจยึดติดกับระบบนี้ไปซะแล้ว แบบว่า ถ้าจะตีตั๋วดูหนังซูเปอร์ฮีโร่แล้ว อย่างหนึ่งที่คาดหวังเลยก็คือ 'ความจริงจัง' ...ถ้าดูบันเทิง ให้เป็นสิ่งสำคัญอย่างที่หนึ่ง การดูเอาเรื่องเอาราว ก็สำคัญรองลงมา ขาดไปไม่ได้เลยทีเดียว
และด้วยความที่ผมคาดคิดว่า F4 ภาคแรก จะให้สองอย่างนี้กับผมได้ครบครัน (อย่างที่เคยรับมาพร้อมกันจาก สไปดี้ และเหล่ามิวแทนท์ แล้ว) ...มันก็เลยต้องแบกรับความผิดหวังออกจากโรงมาเป็นกระสอบใหญ่ๆ
เรื่องของบันเทิง ที่ว่าจำเป็นสำหรับการเป็นหนังดูเอาเพลินเจริญหทัยแนวนี้ ...เป็นอะไรที่กร่อยสนิท จิตเสื่อมโทรม ดูไปนั่งเบื่อไป พอมีฉากจะให้ขำกับมุขที่แย็บๆมามันก็ได้แต่ หึหึ ไปตามมารยาท(ที่คนอื่นๆเขาฮากัน) ส่วนของแอ๊คชั่น ก็แห้งแล้ง ไม่เร้าใจไม่ได้อารมณ์ลุ้นเอาซะเลย (ฉากเผด็จศึกดร.ดูม ที่ว่าแจ่มสุดในเรื่องแล้ว แต่ผมไม่เห็นความแหล่มอะไรให้น่าจดจำ)
เมื่อความบันเทิงไม่ถึงขนาดอยากได้ ...ก็พาให้ความหวังกับ เรื่องจริงจัง อ่อนพลังลงไปพร้อมกับหนังที่เอื่อยเฉื่อย เฉยชา เกินกว่าจะนับชื่อให้เป็น หนังแนวซูเปอร์ฮีโร่ได้ ...บทหนังของ F4 ภาคแรก ดูไม่จริงจังอะไร(ทั้งบันเทิง หรือสาระ)เลย หากเพียงแต่เขียนเล่นๆ คิดว่าคนดูคงไม่นึกอะไรกับความอ่อน ความไม่สมประกอบ ของเรื่องราวอะไรหรอก ที่ตีตั๋วเข้ามาก็เพราะเห็นเป็น หนังซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวล ก็เท่านั้น
ถึงผมเองก็ยังคงมีความรู้สึกที่เข็ดกับภาคแรกหลงเหลืออยู่ แต่ก็ไม่ปฏิเสธตัวเองว่าจนแล้วจนรอด ผมคงจะได้ดูภาคสองอยู่ดีแหละ
เพราะอะไรนะเหรอ ? ...มันก็เป็นเพราะว่า ตัวอย่างหนัง ทำออกมาดูดีสุดๆ ยั่วยวนใจให้รู้สึกว่า ภาคนี้มันคงต้องมีอะไรดีๆขึ้นมาบ้างแหละ อย่างน้อยก็ แอ๊คชั่นมากขึ้น มันส์มากขึ้น (อุตส่าห์โดนคำวิจารณ์ครหาซะเสียหาย ไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเองก็คงใจตายด้านซะละมั้ง)
"Fantastic Four : Rise of the Silver Surfer" ... ต่อความมาจากภาคแรก ว่าด้วยเรื่องของความรักที่สุกงอมได้ที่ พร้อมร่วมหอลงโรงกันของ มนุษย์ยางยืด "รี้ด ริชาร์ดส" และ สาวล่องหน "ซู สตอร์ม" ที่เคยจะวิวาห์มีงานแต่งมาแล้ว 3 หน แต่มันก็ล่มตลอด เพราะหน้าที่ผู้พิทักษ์มันคล้ำคอซะทุกที ...และครั้งที่ 4 ก็พยายามเกิดขึ้นอีก และ ซู ก็หวังไว้มากว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในโอกาสสำหรับ รี้ด และ เป็นครั้งเดียวในความสมหวังของเธอ
แล้วความหวังก็ต้องพังทลายลงอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกันกับที่ภาระแห่งโลกอันหนักอึ้งได้ถือกำเนิดขึ้นมาในรูปของ มนุษย์ผิวตะกั่ว บนบอร์ดสีเงิน ที่ รี้ด ขนานนามให้ซะเท่เฉี่ยวว่า "ซิลเวอร์ เซิร์ฟเฟอร์"
ซิลเวอร์ เซิร์ฟเฟอร์ ได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญจากจอมวายร้ายแห่งจักรวาล "กาแลกตัส" ให้เป็นผู้ประเดิมทำลายล้างดวงดาวแต่ละดวงนำร่องก่อนหน้าที่ กาแลกตัส จะมาสานต่อปิดท้ายจนสูญสิ้นดาวไปทีละดวงๆ ...และดาวต่อไปที่ถึงเวลา ซิลเวอร์ เซิร์ฟเฟอร์ จะเลือกปฏิบัติการก็คือ ดาว'โลก'ของเรา นั่นแล 4 ผู้พิทักษ์ ในนาม "Fantastic Four" ถึงเวลาต้องรวมพลังอีกครั้งสำคัญ ในการต่อต้านอาคันตุกะที่โลกไม่เต็มใจจะต้อนรับ และนอกเหนือไปจากนั้น พวกเขาก็ยังต้องกลับมาต่อสู้กับ "ดร.ดูม" อีกหนหนึ่ง ที่คืนชีพกลับมาพร้อมความอาฆาตเต็มขีด และความโลภเต็มขั้น(ตามสันดานดั้งเดิมของ วิคเตอร์ วอน ดูม ที่คุ้นเคยแต่ภาคแรก)
Fantastic Four 2 ...กลับมาพร้อมผู้กำกับ "ทิม สตอรี่" คนเดิมที่เคยคุ้นว่าภาคแรกนั้นเคยออกมาเป็นอีหรอบไหนในใจคนดู ...เขาคงรู้แล้วว่า การที่เขาจะได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง มันมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้อง ทำให้ดีกว่าเก่า เท่านั้น (อย่างน้อยๆก็ทำเพื่อเป็นการต่ออายุให้เขายังน่าจะมีความหมายเมื่อภาคสามจะต้องมาถึง)
ในเมื่อภาคก่อน เว้าซื่อๆแต่การปูพื้นของตัวละครทั้งสี่ ลากไปถึงเหง้าของแต่ละคนเป็นหลัก จนมาในภาคนี้ ก็ถึงทีที่จะได้ทุ่มแอ๊คชั่นบู๊พลุนพลันกันซื่อๆเสียที ...ซึ่งกับการใส่ ตัวละครที่สุดสำคัญในฉบับคอมมิค อย่าง "ซิลเวอร์ เซิร์ฟเฟอร์" เข้ามา ก็คือ สัญลักษณ์แทนคำพูดที่ทีมสร้างปล่าวประกาศให้เหล่าคอมาร์เวลรู้ไปเลยว่า "คราวนี้ เราจะเอา(มันส์)จริง"
1 ชั่วโมงครึ่ง ในภาคใหม่นี้ ที่(เกือบจะ)เท่ากันกับภาคเก่า ...เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ได้แบบไม่มีเยิ่นเย้อ ไม่ขอยืดยาด เหมือนเช่นคราวก่อน หนังเดินหน้าเต็มลูกสูบ ออโต้ลูปไม่มีหยุดเคลื่อน เวลาที่เลื่อนผ่านไป เป็นอะไรที่รวดเร็ว ว่องไว ประดุจดังการเคลื่อนที่เร็วเหนือเสียงของ ซิลเวอร์ เซิร์ฟเฟอร์ ...อาจจะมีบางช่วงที่สูญเสียจังหวะความคงตัวไปบ้าง ก็เป็นเนื่องเพราะบทหนังทำสะดุด ยังหลุดๆรั่วๆไป เพียงแต่ก็พออภัยได้ ให้ในความเพลิดเพลินที่หนังดำเนินไปไม่มียั้งเครื่อง
ผกก.สตอรี่ สามารถทำการผสมผสาน แอ๊คชั่น คอมเมดี้ ลงไปได้อย่างพอดี มีความลงตัว ...ส่วนของแอ๊คชั่น ก็มีความเข้มข้น ชวนลุ้นชวนตื่นเต้น ไปพร้อมกับเหตุการณ์ตรงหน้าในขณะที่ บทตลก ก็พกพามุขขำๆ มาทำฮา ให้เราเริงร่าไปกับการกระทำทางกายและวาจาของเหล่าสมาชิกทั้งสี่ (ฉากที่ซู กลายเป็นมนุษย์ไฟ ...เป็นมุขเด็ดที่ผมฮาหนักและแรงซะจนจบฉากก็ยังนึกหัวเราะได้ต่อ)
การประสานงานแสดงของ ไออัน กริฟฟิธ , เจสสิก้า อัลบ้า , คริส อีแวนส์ , ไมเคิล ซิกลิส ...4 พลังกายสิทธิ์ ต่อติด และรับส่งกันได้ลื่นไหลแนบเนียนยิ่งกว่าเก่า พวกเขามีสายสัมพันธ์ที่สนิทสนมกลมเกลียวจนคนดูเชื่อในการกระทำที่พวกเขามีให้แก่กันและกัน ความรู้สึกที่ต่างคนต่างมีให้ในแต่ละเรื่องราวของตัวละครแต่ละคนชวนให้เราอินไปกับเขา เธอ เขา และเขา ...การมีบทบาทสำคัญ(มากขึ้น)ของ ซู สตอร์ม เปิดโอกาสให้ อัลบ้า ได้โชว์ออฟความเด่นมากกว่าใครเพื่อน ในขณะที่ จอห์นนี่ สตอร์ม (มนุษย์พลังไฟ) ก็คือ ตัวละครหนึ่งเดียวที่มีพลอตเป็นของตัวเอง ซึ่ง อีแวนส์ ก็ได้เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย มีมิตินอกเหนือไปจากบทบู๊ และตลกมาดกวนโอ๊ยที่เขาถนัดเป็นนักเป็นหนา
"ซิลเวอร์ เซิร์ฟเฟอร์" เท่ห์สุด ในร่างของ ดั้ก โจนส์ (ผู้เคยเป็น ฟอน แห่ง Pan's Labyrinth) และดูเข้ม กับเสียงของ ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น (มอร์เฟียส แห่ง The Matrix) ...คอมพิวเตอร์กราฟฟิค สรรค์สร้างให้ พี่ซิลเวอร์ ขี่พายุทะลุฟ้า โลดไวแล่นว่องชวนให้ตื่นหูตื่นตา(ตะลึงในความเนียน)และน่าตื่นเต้น
ส่วนของบทหนัง ถือว่ามีวิวัฒนาการล้ำหน้าไปกว่าภาคก่อนอยู่หลายขุม ...จากภาคเริ่มที่เล่าแบบลวกๆ มาภาคต่อ ก็มอบหมายให้ ความจริงจัง ได้เข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินเรื่อง...หนังภาคนี้ มีโครงเรื่องที่สนุก และพลอตประเด็นแยกย่อยก็คิดออกมาได้ดี เสียแต่ว่าคนเขียนบท ไม่ยักกะต่อยอด ไม่ยอมเค้นขยี้ให้เด็ดขาด และสร้างภาพโดนใจ เท่าที่ควรจะเป็นเพราะจากศักยภาพของเรื่องราว ล้วนแต่เป็นอะไรที่สามารถเข้าถึงหัวใจของคนดูได้ง่าย (ใครรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว ไม่มีใครอื่นอยากอยู่เคียงข้าง จะเข้าใจ จอห์นนี่ , ใครรู้สึกว่า การจัดงานแต่งงาน คือ ความฝันอันสวยงาม จะเข้าใจ ซู , ใครรู้สึกว่า การมีคนที่เรารัก และรักเรา เป็นสิ่งเดียวที่ชีวิตนี้ปรารถนา จะเข้าใจ เบน , ใครรู้สึกกดดันอยากขัดขืนกับ การเป็นผู้ตามที่อะไรๆก็ต้องทำไปตามนิ้วชี้สั่งของผู้นำ จะเข้าใจ รี้ด... แต่บทหนังไม่ต้องการให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เหมือนเช่นที่หนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไปเขาชอบเป็นกัน) ...ซึ่งถ้าหนังใส่ใจในเรื่องของบทมากกว่าที่เป็นอยู่ (แต่ก็ไม่ต้องถึงกับเครียดซีเรียสชีวิตอะไรอย่าง สไปดี้ แบบนั้นหรอก) การจบลงของ Fantastic Four ภาคสองคงจะให้ความประทับใจ ที่มีคุณค่ามากไปกว่า การเป็นหนังซัมเมอร์ดูเอาบันเทิงเพลินๆอีกเรื่องหนึ่ง
"Fantastic Four : Rise of the Silver Surfer" ... ดีกว่าภาคแรก สนุกกว่าคาดหวัง เป็นโปรแกรมบันเทิงเพียวๆ ไม่เอี่ยวสาระ ที่เหมาะกันดีกับคนดูทุกๆวัย ...ใครที่เคยหน่ายจากภาคแรกมา ก็น่าลองเปลี่ยนใจดูภาคสองอีกสักหน เผื่อความรู้สึกอะไรๆที่มีต่อ Fantastic Four the Movie มันจะมีดีขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย
เกรด B ... {}
หมายเหตุ : ทวิภาค "Fantastic Four" ...ตามลำดับความชอบของผม คือ... ภาค 2
ภาค 1
ปล. รู้สึกคุ้นๆมั้ยครับ ชื่อหัวกระทู้ ...ผมบังอาจอ้างอิงมาจากชื่อไทยของหนังจีน "ฟงอวึ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า" ครับ (แบบว่า จู่ๆมาก็แว็บเข้าในสมอง เลยเปลี่ยนนิดเพิ่มหน่อยกันเนียนๆเลย...คิดมาได้เนาะเรา)
ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 18 มิถุนายน 2550 |
Last Update : 26 กันยายน 2550 0:46:11 น. |
|
8 comments
|
Counter : 4967 Pageviews. |
|
|
|