เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเอง
วิธีเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเอง วิธีการเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
ทำไมไม่ไปเรียนญี่ปุ่น หรือเรียนที่โรงเรียน หรือมหาลัย หรือเรียนข้างนอกตามสถาบัน ทำไมต้องเรียนด้วยตัวเอง ไปเรียนถึงญี่ปุ่นเลยน่ะหรอ!!! ไอ้ไปน่ะอยากไปค่ะ แต่ที่บ้านไม่ได้มีเงินเหลือเฟือขนาดนั้น ดูอายุอานามก็ควรทำมาหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้แล้ว แต่ถึงมีเงินหรือมีเวลาก็ไม่กล้าไปเริ่มศูนย์ที่ญี่ปุ่นเลยหรอกค่ะ วางแผนไว้ว่า เรียนที่ไทยให้ได้ซักระดับ2 แล้วเข้าทำงานกับบริษัทที่ได้ไปญี่ปุ่นบ้างเป็นครั้งคราว แล้วเราก็ถือโอกาศตรงนั้นพัฒนาความสามารถทีหลังดีกว่า หรือถ้าไม่งั้นก็ทำงานอะไรไปก่อนก็ได้ แล้วเก็บเงินส่งตัวเองไปเรียนให้ได้แน่ๆ
แล้วทำไมไม่เรียนในโรงเรียน-มหาลัยน่ะหรอ เพราะเราเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นช้ากว่าคนอื่นไง เพิ่งเริ่มตอนประมาณอยู่มหาลัยปี 2 แล้ว ตอนนั้นเรียนรัฐศาสตร์ซึ่งถ้าเลือกวิชาโทภาษาอังกฤษ จะไปเหมาะกับสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่า ก็เลยไม่ได้เลือกญี่ปุ่นเป็นวิชาโท แต่ก็ยังอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่
สุดท้ายก็คิดเหมือนหลายๆคนแหละค่ะ ว่าเรียนข้างนอกเอาก็ได้ สารภาพว่าเคยเรียนกับครอสภาษาตามสถาบันอยู่เหมือนกัน แต่เรียนไม่ทันจบคอร์สก็เลิก เพราะคิดว่ามันไม่ใช่ เราไม่ชอบ ก็เลยเลือที่จะเรียนเองดีกว่า ทำไมไม่ชอบเรียนตามสถาบัน แล้วทำไมต้องเรียนด้วยตัวเอง "บอกก่อนว่าเราเคยเรียนที่สถาบันมา3ที่ ทั้งที่เป็นสถาบันชื่อดังใจกลางกรุง และสถาบันเล็กๆแถบชาญเมือง ดังนั้นที่จะพูดเป็นความคิดเห็น ความชอบไม่ชอบส่วนตัว ไม่ได้จะพาดพิงที่ใดที่หนึ่ง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม"
1.ไม่ชอบเพราะสอนช้า เข้าใจว่าเรียนรวมกันหลายคนการรับรู้จดจำมันต้องต่างกัน ไม่ได้จะบอกว่าตัวเองเก่ง ตัวเองช้าต่างหาก ช้าที่เพิ่งมาเริ่มเรียนก็ตอนอายุปูนนี้ ก็เลยอยากเร่งตัวเองมากๆ มาเจอลักษณะการจัดหลักสูตรที่ยืดเยื้อ เจอสไตล์การสอนที่ถ่วงเวลามันจะช้าไปกันใหญ่ กลัวว่าที่สุดมันจะล้มเหลวค่ะ
2.ไม่ชอบเพราะเราว่าเรียนแบบนี้มันเหนื่อย เสียเวลาเดินทาง เรานั่งรถมาตั้งไกล เพื่อจะมานั่งคัด นั่งเขียนแบบฝึกหัด นั่งฟังซีดีเนี่ยนะ!!! ของแบบนี้ทำเองที่บ้านก็ได้มั๊ง
3.ไม่ชอบการเรียนคันจิ เพราะเราเรียนจีนมาก่อน รู้ดีว่าบางตัวก็เขียนไม่เหมือนกัน ต่อให้คนจีนมาเองยังไงก็ต้องมานั่งคัด นั่งเรียนกันใหม่ แต่ของแบบนี้ไม่ได้ยากสำหรับคนที่เคยใช้ตัวจีนมาก่อนเลย แค่มองก็พอจับจุดออก การมานั่งคัดในชั่วโมงเราก็ว่ามันก็เสียเวลาอีกอะแหละ แต่ไม่ได้จะบอกว่าเรียนจีนมาก่อนแล้วจะเก่งคันจินะ อ่อนมากด้วยซ้ำ เช่น ถ้าถามว่าตัว 日 เสียงคุน เสียงออนอะไรบ้าง เราตอบไม่ได้ เพราะเราไม่เคยนั่งท่องมันทุกเสียงทีละตัวๆ เห็นตัวนี้แล้วเรานึกเป็นคำศัพท์ออกมาเลย 日本,日曜日,毎日,休日,日当たり...ถ้ามาเป็นคำศัพท์แบบนี้ จะเสียงไหนเราก็อ่านได้ เราว่าไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าแต่ละตัวมันมีกี่เสียงอะไรบ้าง รู้ว่ามันอยู่ในคำซักคำนึงมันอ่านว่าอะไร ไปเจออีกคำแล้วอ่านเป็นอย่างอื่น ก็สะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ....
แล้วใครที่บอกเรียนเองอ่านเองจะช้ากว่าไปเรียนข้างนอก2เท่า-10เท่าอะไร สำหรับเราไม่จริงค่ะ!!! ตั้งแต่ออกมาเรียนด้วยตัวเอง เราไม่ต้องรอว่ามีเรียนวันไหน กี่โมงถึงกี่โมง ตามตารางที่ใครบางคนกำหนดมา เรากำหนดให้ตัวเอง อยากทำแบบฝึกหัดกี่หน้า อยากฟังซีดีอ่านตามกี่รอบ ก็ตามใจเรา ความรู้และสื่อการเรียนในเน็ทมีเยอะ รู้จักขวานขวาย หาเข้าปากเอง ไม่ต้องรอถึงชั่วโมงเรียนก็อ้าปาก รอใครมาป้อน ฉนั้นเรากล้าพูดว่า เราเรียนเองเร็วกว่าเรียนตามสถาบัญที่มุ่งผลกำไรทางธุรกิจมากกว่าคุณภาพทางการศึกษาจริงๆ ไม่สำคัญว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ ที่สำคัญคือคุณต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าเหมาะกับการเรียนวิธีแบบไหน ถ้าเริ่มต้นไม่ถูก ไม่ถนัดค้นคว้า ไม่ถนัดเสริจช์-โหลด ไม่ถนัดใช้คอมฯใช้เน็ทเพื่อการศึกษา ก็ไปเข้าครอสจะดีกว่า พอเริ่มเข้าที่ก็ค่อยออกมาเดินด้วยขาตัวเอง หาเข้าปากตัวเอง หรือจะเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นและเรียนด้วยตัวเองควบคู่ไปด้วยก็ดูฉลาดไม่เบาค่ะ
จะให้เรียนด้วยตัวเอง เป็นกบในกะลาไปตลอดปีตลอดชาติเลยหรอ พอพูดถึงเรียนด้วยตัวเอง บางคนจินตนาการถึง การนั่งจมกองหนังสืออยู่ในห้องเงียบๆมืดๆคนเดียว การเรียนภาษามันมีอะไรสนุกกว่านั้นเยอะค่ะ โลกความจริงเราไม่มีครู ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นเรียน แล้วโลกออนไลน์ล่ะ มันก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียเสมอไปนะ เพียงแต่เราใช้มันให้ถูกทาง แทนทีจะแชททะลึ่งๆกับคนแปลกหน้า ก็หาเพื่อนญี่ปุ่น หรือคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่น คุย ถาม แลกเปลี่ยน ส่วนครูเราก็มี บอกให้ก็ได้ ครูสอนไวยากรณ์เราชื่อ"หนังสือ" ครูสอนฟัง-พูดเราชื่อ"หนัง&ซีรี่ภาษาญี่ปุ่น" ครูสอนพิเศษก็มีนะ เยอะด้วย เช่นคลิปสอนภาษาทั้งในยูทูป และเว็บต่างๆ เราไม่ได้มีครูที่ยืนอยู่หน้าห้องแค่คนเดียว ไม่ได้มีเพื่อนแค่ที่นั่งซ้ายขวาในห้องสีเหลี่ยมเล็กๆ เรามีครูมีเพื่อนได้ทั่วโลก แล้วอย่างนี้จะหาว่าเราเรียนในกะลาได้ยังไง
จขบ.เริ่มเรียนด้วยตัวเองอย่างไร เล่าให้ฟังละเอียดๆเลย เริ่มสนใจภาษาญี่ปุ่นเมื่อประมาณช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2551ค่ะ พอคิดว่าอยากเรียนก็เริ่มเรียนทันที สิ่งแรกที่เราทำคือ เปิดกูเกิ้ล ไม่ได้เปิดหาที่เรียน ไม่ได้สนใจว่าค่าเรียนเท่าไหร่ ไม่สนใจคำตอบว่ายากมั๊ย-เรียนนานแค่ไหนถึงจะพูดได้ แต่สิ่งที่เราทำคือ
1. เสริจช์คำว่า"ภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้น" ก็เข้าไปในเว็บ www.j-doramanga.com ต้องขอบคุณเว็บนี้ เป็นเหมือนโรงเรียนอนุบาล ทำให้เด็กน้อยๆไม่เคยรู้อะไรคนนี้รู้จักหน้าตาเจ้าภาษาญี่ปุ่น รู้จักบ้านเค้า รู้จักนิสัย-วัฒนธรรม และทำให้เราคบกับภาษาญี่ปุ่นมาจนถึงทุกวันนี้
2. โหลด-ปริ้นบทเรียนทุกบทออกมาขีดมาเขียนตามตั้งแต่ตัวอักษร ไปจนถึงไวยากรณ์ ยอมรับว่าบางที่ก็งง แต่โชคดีที่โลกนี้ยังมีเว็บมาสเตอร์ใจดีๆ คอยแนะนำตอบคำถามให้น้องๆทุกคำถาม คอยตรวจการบ้าน คอยแปลสารพัด อย่างไม่เคยอารมณ์เสีย เลิฝ...
3. นอกจากเว็บไทยดีๆอย่าง www.j-doramanga.com เราก็หาโหลดสิ่งต่างๆ ตามเว็บนอกด้วย อย่างเว็บจีนก็ได้ใจอีกเหมือนกันไม่มีกำแพงการศึกษาที่ชื่อลิขสิทธ์ โหลดไม่อั้นจริงๆ
3. พอรู้สึกว่าไอ้ที่ปริ้นๆออกมาอ่านมันหลุดลุ่ยน่าเกลียด ก็อยากได้เป็นหนังสือก็เลยได้เป็นตำราเล่มๆ ตำราที่เราพูดนี้หมายถึงหนังสือเรียนที่แยกเป็นบทๆ มีคำศัพท์ ไวยากรณ์ และอธิบายเป็นสัดส่วนชัดเจน 1ชุดอาจมี4เล่มขึ้นไป เพื่อความต่อเนื่องในการเรียนในระดับที่สูงขึ้นไป ไม่ใช่หนังสือแบบเร่งรัดเล่มเดียวจบ เล่มเดียวพูดได้ แบบนั้นภาษาญี่ปุ่นของเราจะไม่เป็นระบบ ใช้เป็นหนังสือเสริมได้ แต่หนังสือหลักแนะนำให้ยึดตำราดีกว่า
ตำราภาษาญี่ปุ่นในเมืองไทยก็เห็นจะมีที่ยอมรับใช้กันแพร่หลายกันอยู่ก็ みんなの日本語 เราว่าดีทีเดียว แต่ตอนนั้นเรางกไปหน่อยไม่ได้ซื้อค่ะ แพงเกิน ยอมรับว่าเพกเกจ&ดีไซน์ 250บาท ก็สมเหตุสมผล แต่เพราะที่ตะบี้ตะบันโหลดมาเรามีไฟล์เสียง+วีดีโอของหนังสือชุดนี้แล้ว ที่เราต้องการคือตัวเนื้อหา ไม่ใช่สีสันความน่ารัก สุดท้ายต้องไปใช้ตำราของจีนค่ะ 新版中日交流标准日本语 พอดีกับที่กลัวว่าตัวเองจะลืมภาษาจีนก็เลยขอกระแดะนิดนึง เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยภาษาจีนซะเลย ก็คือเรียนด้วยตำราที่เขียนและพิมพ์ในจีน ฟังครูจีนบรรยาย(ตามไฟล์ที่โหลดมา)จะไปรอดหรือคว้าน้ำเหลวก็คอยดูต่อแล้วกันคะ การเรียนด้วยตัวเองตามตำรา ก็ทำเหมือนเราไปเข้าชั้นเรียนเลยค่ะ เพียงแต่กำหนดเวลาเรียนเอาเอง สอนตัวเอง เปิดซีดีฟังเอง สั่งการบ้านให้ตัวเอง ตรวจเอง เทสตัวเอง ประเมินตัวเอง ... วิธีการเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเองตามตำราของจขบ. เพื่อนๆสามารถเอาไปประยุกค์ใช้กับการเรียน みんなの日本語 ก็ได้ แต่ต้องจำและอ่านอักษรฮิรางานะ ตาตาคานะให้แม่นก่อนนะ แล้วมาเริ่มทบที่1กันเลย - การเรียนของแต่ละบทจะเริ่มจาก ฟัง MP3 คำศัพท์ และดูตัวอักษรตามหลายรอบ คันจิไม่ใช่เรื่องยาก จำไปเลย เขียนไปเลย แรกๆ ถ้ายังจำเสียงไม่ได้ก็เขียนไว้ - จำคำศัพท์ได้แล้วก็เข้าบทเรียน เปิดซีดี - วีดีโอดูประกอบตามไปด้วย ถามตอบเองคนเดียวซ้ำๆ จนแทบจะร้องเป็นเพลงได้ - เก็บแบบฝึกหัดทำทุกหัวข้อ หาสมุดมาเขียนเรียงเป็นบทๆให้เรียบร้อย
- ทำคลังสะสมคำศัพท์ส่วนตัว หากระดาษ A4 สีต่างๆ มาพับครึ่ง แล้วพับอีกครึ่ง แล้วพับอีกครึ่ง ให้เล็กตามใจชอบ แล้วตัด จะได้บัตรคำศัพท์หลายใบ เอาคำศัพท์บทที่เรียนผ่านๆมาเขียนลงไป ทำออกมาให้น่ารัก สีสันสดใส เพราะมันจะอยากทำอีกบ้าบอไปคนเดียว ตอนนี้เราก็มีเป็นกล่องใหญ่เลย ทำเหมือนเป็นของสะสมอย่างนึงไปเลย อ่านทุกคืนก่อนนอน โดยการสุ่มหยิบขึ้นมา ใบไหนอ่านได้ก็แยกกอง อ่านยังไม่ได้ก็เอาขึ้นมาอ่านอีกรอบ จนกระดาษ80แกรม เบินไปเลย ทำเอง อ่านเอง จำได้ชัวร์
เทคนิคการจำศัพท์ส่วนบุคคล 1."เจอศัพท์ใหม่เมื่อไหร่ ไม่ต้องท่อง ให้จำไปเลย" อย่างเช่นคำว่ากิน ไม่ต้องท่องว่า ทาเบรุ แปลว่ากิน แต่ให้จำไว้เลยว่า พูดถึงทาเบรุ ต้องนึกถึงอาการตักอาหารบางอย่างเข้าปาก แบมือข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้าง ทำเหมือนกำลังตักข้าวจากมืออีกข้างเข้าปาก พร้อมกับพูดมันคนเดียวดังๆ ไปเลยว่า ทาเบรุ ทาเบรุ ทาเบรุ กูกำลังทาเบรุ เป็นต้น 2. "เทียบเสียงเล่นๆขำๆ"อย่างเช่น 熱いatsui ร้อน มันออกเสียง อะจึ๊ยๆ เหมือนเวลาเราจับของร้นแล้วสะดุ้ง ร้องอะจึ๊ยๆ 野菜 yasai ผัก ออกเสียงเหมือน อย่าใส่ๆ เพราะไม่ชอบกินผัก เวลาสั่งข้าว ก็ต้องบอกเค้าว่า อย่าใส่=ผัก かいだんkaidan บันได ก็จำว่า คัยดัน บันได (คำคล้อง) หรือ ใครดันบันได(วะ) ก็ได้ 図書館 tosyokan ห้องสมุด คำนี้เสียงคล้ายภาษาจีนคือ ถูชูกว่าน ความหมายก็เหมือนกัน และยังมีอีกหลายคำที่เสียงคล้ายภาษาจีน และความหมายใกล้เคียงกัน นับว่าคนที่รู้ภาษาจีนก็เป็นประโยน์แก่การจำมากเลยทีเดียว 3.จริงจังได้ แต่อย่าเครียดเกิน เรื่องธรรมดามากๆที่คนเรียนภาษาต่างประเทศในสภาพแวดล้อมไทยๆ จะจำศัพท์ไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นไม่ต้องไปยัดเข้าหัวมันทั้งหมดทีเดียว แค่เราจำได้ว่าคำนี้ยังไม่ได้เรียน หรือจำได้ว่าเรียนไปแล้วแต่จำคำอ่านไม่ได้ นี่ก็ถึอว่าเราจำได้ดีแล้ว คือมันก็ยังดีกว่าจำคำอ่านก็ไม่ได้ เรียนผ่านไปหรือยังก็ไม่รู้อะ
ทำทุกอย่างเองแบบนี้อย่างสม่ำเสมอ ตั้งใจบังคับตัวเอง ให้อ่านทุกวันวันละอย่างน้อยสุด 3 ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงบางวันทำโอ งานยุ่ง ก็ไม่ได้อ่านติดต่อกันเลยเกือบเดือน แต่เราก็ชดเชยช่วงเวลาที่ลางาน-ช่วงออกจากงาน บางวันอ่านทั้งวัน 10 กว่าชั่วโมงก็มี จนจบระดับต้น 48 บท ระดับกลาง 36 บท (ใช้หนังสือ中日交流标准日本语) ภายในเวลา 2 ปีครึ่ง
ในเวลา2ปีครึ่งนั้น นอกจากเรียนตามตำราแล้ว ยังอ่านหนังสือเสริมอื่นๆ ทั้งของไทย และจีน แน่นอนค่ะพวกหนัง-ซีรี่ก็ดูเอาเป็นเอาตายเหมือนกัน บอกตรงๆว่าเราเดิมเป็นคนไม่ชอบดูซีรี่ญี่ปุ่นเลย แต่เพราะอยากฟังออก พูดได้ ก็เลยบังคับตัวเองดู สุดท้ายก็ชอบ ติดงอมแงม ใน2ปีครึ่งที่ว่าก็ดูมาแล้ว 20-30 เรื่อง มันดีจริงๆนะ ได้มากกว่าความบันเทิงจริงๆ 1. รู้ภาษา 2. รู้วัฒนธรรม-สังคม 3. เห็นบ้านเมืองเค้า เหมาะมากๆสำหรับคนไม่เคยไปญี่ปุ่น(และอยากจะไป)อย่างเรา หลังจาก2ปีครึ่งที่ว่า ระดับต้นก็อ่านจบ กลางก็อ่านจบ คิดว่าลดสปีดลงซักนิดด้วยการก็หยิบบทเรียนเก่าๆ มาทบทวนอีกซักรอบดีกว่าค่ะ (บางทีเร่งตัวเองเกินไป ก็มีตกหล่นเหมือนกัน) ใช้เวลาทบทวนต่ออีกซักนิด แล้วค่อยต่อยอดดีกว่าอ
อ่านหนังสือทั้งวัน นานเป็น 10 ชั่วโมง ได้ไง ไม่น่าเชื่อ จริงๆ เราไม่ได้เป็นคนชอบอ่านหนังสือนะ สำหรับเราอ่านหนังสือเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก แต่ยังไงมันก็ต้องอ่าน ก็เลยทำให้มันไม่น่าเบื่อ โดยการอ่านสลับกับทำแบบฝึกหัด-แบบทดสอบ อ่านสลับเปิดไฟล์ ฟังบรรยาย อ่านสลับกับการจดโน๊ตทำสรุป คือได้ขยับมือบ้าง ไม่ง่วงและไม่เบื่อ และอุปกรณ์ที่เราขาดไม่ได้ในการอ่านหนังสือก็คือ
1. ปากกาสี ปากกาไฮไลท์ ติดมาตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลายแล้วค่ะ ถ้าวันนั้นมีแค่ดินสอแท่งเดียว เราเรียนไม่รู้เรื่องทั้งวัน คือติดมาก ต้องขีด ต้องเขียน ต้องวง ต้องไฮไลท์ ต้องเน้น ต้องได้เห็นสีๆ ถ้ามีแต่ขาวดำเหมือนกันหมดทุกหน้าจำอะไรไม่ได้ ติดมาถึงตอนเรียนมหาลัยและปัจจุบันนี้
2. Flags กระดาษโน๊ต สีแจ่มๆ และลายน่ารักๆ ก็ขาดไม่ได้เหมือนกัน ช่วยเตือนความจำ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ลืม ก็มีลืมค่ะ เขียนเอง แปะเอง ลืมเอง แต่มันก็ช่วยให้เพลินไปกับการอ่านหนังสือ ได้ขยับมือเขียนบ้าง มีสีสันลวดลายน่ารักๆ ในตำราสีจืดๆเล่มหนาๆบ้าง เล่นไปอ่านไป ให้อ่านทั้งวันก็ไม่เบื่อ
3 กระดาษสี ใช้ตัดแล้วเย็บเป็นเล่ม แทนสมุดโน๊ต ที่มีแต่สีจืดๆ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
Create Date : 15 มีนาคม 2552 |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2561 11:56:00 น. |
|
158 comments
|
Counter : 40730 Pageviews. |
|
|