หลากหลายเรื่องราว เรื่องตาวๆ
<<
มีนาคม 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
3 มีนาคม 2554
 
 

สร้างความภูมิใจในตัวเองให้ลูกน้อย

ไดนี้ยาวอีกแล้วววว

ครั้งหนึ่งตอนไปหาหมอพัฒนาการ (เคยเล่าไว้ก่อนหน้านี้)
หมอได้ย้ำประโยคหนึ่งกับแม่ว่า
"สำคัญมากนะ ถ้าคนไหนสามารถชมตัวเองได้ นี่ดีมากๆเลย
ถ้าใครไม่สามารถชื่นชมตัวเองได้นี่อันตราย"
.
.
.
.
.
อืมมมมมม
เราเก็บกลับมานั่งคิด ไตร่ตรองประโยคนี้อยู่หลายวันทีเดียว

แล้วก็คิดได้ว่า เราคิดผิดนะ
เดิมเราเคยคิดว่าคนที่ชมตัวเอง คือคนที่หลงตัวเอง
คิดว่าตัวเองดีเด่นนักหนา และคนเหล่านี้เป็นคนน่ารำคาญ

ทำให้แนวทางในการปฏิบัติตัวจึง ไม่เคยชมลูกให้คนอื่นฟัง
ไม่เคยอวดลูกให้ใครได้รับรู้ถึงความเก่งของเขาเลย
ไม่รู้ว่าพฤติกรรมอย่างนี้หรือเปล่าที่ส่งผลกระทบต่อลูกตาว

เวลาพาลูกตาวออกไปนอกบ้านก็จะชมคนอื่นเสมอ
แต่ชมแบบไม่ได้เปรียบเทียบ
ส่วนถ้าใครชมตาวหรือชมว่าแม่เลี้ยงตาวดี
ก็จะพูดติดปากว่า "เขาดีของเขาเอง เขาน่ารักตั้งแต่เกิดแล้ว"
แต่ตัวเองจะไม่เคยชมลูกขึ้นมาเองเลย(เฉพาะต่อหน้าคนอื่นนะคะ ถ้าลับหลังนี่ชมกันไม่ขาดปาก)


พอโดนหมอกระตุ้นก็เลยนั่งคิดจริงๆว่าคนที่ชื่นชมตัวเอง
กับคนหลงตัวเอง มันแตกต่างกันยังไงบ้าง

คนที่ชื่นชมตัวเองคือคนที่พอใจในผลงานตัวเอง
ถึงผลงานจะไม่ได้ออกมาดี แต่ก็สามารถพอใจได้ โดยอาจจะคิดว่า
"ก็เราตั้งใจทำแล้ว เดี๋ยวครั้งหน้าคงดีขึ้น"
ส่วนคนที่หลงตัวเองมักจะคิดว่า
ตัวเองดีกว่าคนอื่น
เห็นมั้ยว่าคนที่ชื่นชมตัวเองไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร

การเปรียบเทียบนี่แหละตัวร้าย
ทำลายความภูมิใจในตัวเองของเด็ก
ดังนั้นขั้นแรกของการสร้างความภูมิใจในตัวเองให้กับลูกคือ

ห้ามเปรียบเทียบ
ห้ามใช้คำพูดกับเด็กในเชิงลบ

เช่น

เมื่อเด็กทำน้ำหก แม่บางคนอาจจะดุว่า
เอาอีกแล้วนะ คนอื่นไม่เห็นเป็นแบบนี้
หรือ
หกอีกแล้ว ทำอะไรดีไม่เป็นเลยหรือไง
หรือ
แม่เหนื่อยนะ ทำไมเป็นเด็กอย่างนี้
หรือ
เอ้ออออ ทำไรไม่ได้เรื่องเลยนะเรา กระโดกกระเดกที่สุด

ยังมีประโยคที่เราสรรหามาว่าเขากันอีกต่างๆนาๆ

ทั้งๆที่น่าแปลก จะดุทำไม ในเมื่อทุกวันนี้ผู้ใหญ่บางคนยังพลาดทำน้ำหกอยู่เลย
หรือไม่พลาดแล้ว แต่ตอนเด็กก็เคยพลาดกันทั้งนั้นแหละน่า

เปลี่ยนจากคำพูดเหล่านั้นเป็น
ทำน้ำหก งั้นไปเอาผ้ามาช่วยกันเช็ดนะคะ
เพียงเท่านี้สิ่งที่ลูกจะได้จากความผิดพลาดครั้งนี้ก็คือ

ทำพลาด แล้วต้องแก้ปัญหา
เช็ดพื้นเป็น
แก้ปัญหาเป็น
ออกกำลังกาย
เรียนรู้การช่วยงานพ่อแม่
ผ้าก็สามารถดูดน้ำได้
ได้ใกล้ชิดแม่/พ่อ

ต่างจากคำพูดเชิงลบที่ยกตัวอย่าง
ซึ่งสิ่งเดียวที่ลูกจะได้จากคำพูดเชิงลบคือ
ฉันมันไม่ดี

--------------------------------------------------------------------------

วิธีการชม

มีไม่กี่คนที่จะตระหนักว่าการชมก็ต้องมีวิธี
เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ลูกตาวทำอะไรก็เรียบร้อยมาตั้งแต่เล็ก
เราก็จะชมผลงานของเขาเสมอ

แต่เชื่อมั้ย ว่าเราทำผิด
ทำผิดมานาน
กว่าจะรู้ตัว
ลูกตาวก็กลายเป็นเด็ก "ติดความสมบูรณ์"

อะไรที่คิดว่าทำแล้วจะล้มเหลวหรือถ้าได้ก็ไม่ได้ในแบบที่ลูกตาวตั้งเป้า
ลูกตาวจะไม่ยอมทำเด็ดขาด
เป็นมากเรียกว่าอยู่ในขั้นที่น่าเป็นห่วง
แม่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
ซึ่งก็คือหมอพัฒนาการนั่นเอง
ได้วิธีแก้ไขมาง่ายๆ สั้นๆว่า

อย่าชมที่ผลงานให้ชมที่กระบวนการคิด การทำ และความพยายาม

โธ่เอ่ยยย ไม่เคยคิดเลยว่าการชม นอกจากจะต้องเลือกเวลาให้เหมาะสมแล้ว
ยังต้องมีวิธีชมอีกด้วย

เพิ่มเติม ถ้าถามว่าการชมแบบนี้จะต่างกันยังไง ข้อต่างคือ ถ้าเด็กๆพยายามทำอะไรมากๆ
ลงทุนลงแรง ลงใจไปเยอะ แต่มันไม่สำเร็จ แค่นี้ก็ผิดหวังแล้ว ซึ่งถ้าคิดดูจริงๆแล้ว เด็กๆไม่ได้พลาดไม่ผิด
เพียงแค่เขายังคงต้องพยายามต่อไปเท่านั้นเอง แต่ถ้าชมแบบเก่า เด็กๆที่ตั้งใจทำก็จะอดได้รับคำชม
ในขณะที่ ถ้าชมที่ความพยายาม ความคิด และการกระทำ เด็กที่คิดดี ทำดีเหล่านี้จะยังคงมีสิทธิ์ได้รับคำชม

และคุณค่าของงานแต่ละชิ้นไม่ได้อยู่ที่มันสำเร็จ แต่คุณค่าของมันมันอยู่ที่กระบวนการทำต่างหากล่ะ

โง่จริงๆเรา กว่าจะคิดได้

วิธีนี้มันได้ผลจริงๆนะ ตาวเปลี่ยนไป
ลูกตาวทำใจได้กับความไม่สำเร็จ และยังรู้สึกดีกับตัวเองที่ได้พยายามแล้ว
และก็จำไว้ได้เสมอว่า ถ้ายังพยายาม ก็ยังมีทางที่จะสำเร็จ

(เห็นมั้ยเปลี่ยนคำชมได้ประโยชน์อีกอย่างได้สอนให้ลูกอดทน พยายาม)

--------------------------------------------------------------------------
หลักการสุดท้ายที่สำคัญ
ความเข้าใจ และการยอมรับในตัวตนของลูก

ต่อให้เข้าใจหลักการสองข้อข้างบน
แต่ถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจลูก และไม่ยอมรับในตัวตนของลูก
ก็คงไม่สำเร็จ

ขั้นแรกต้องทำความเข้าใจในตัวลูกก่อน
ทำยังไง???
คุยไงคะ
คุยกันทุกเรื่องถามความคิดเห็นเขาด้วย
และเวลาที่ลูกดีใจ เสียใจ โกรธ
ถามความรู้สึกเขาด้วยค่ะ
(ไม่ขอเขียนละเอียด เพราะเคยเขียนไปแล้ว)
แล้วเราก็จะรู้ว่าลูกรู้สึกยังไง

ต่อมา
ยอมรับในตัวตนของลูก
ข้อนี้เขียนยากจัง
เพราะมักจะแย้งกันว่าก็คนเราต้องดัดนิสัยจะให้ยอมรับไปหมดคงไม่ได้
ซึ่งก็จริงค่ะ

เช่น เด็ก 4-5 ขวบควรกินข้าวเอง
ส่วนลูกตาวชอบให้แม่ป้อนมากเลย
(ตามหนังสือแล้ว ก็เป็นลักษณะหนึ่งของบุคลิกเด็กประเภทนี้)
ทำยังไงล่ะคะ
ถ้าเป็นลูกคนอื่นตาลคงตัดสินใจแทนไม่ได้
แต่ของลูกตาว
ทางสายกลางค่ะ
ลูกตาวกินข้าวเองได้ เพียงแค่มีความสุขมากกว่าเวลาแม่ป้อน
และตาลเข้าใจ(คิดว่าเข้าใจ)ว่าที่ชอบให้ป้อน
เพราะเขาชอบที่จะทำการบ้าน อ่านหนังสือไปด้วย ซึ่งมันก็ไม่น่าเสียหายอะไรมากนัก
ขนาดเรายังทำเลยแล้วจะห้ามลูกได้ไง แถมลูกก็มีความสุขดีด้วย
ที่สำคัญทำอย่างนี้แล้วก็ยังไม่เห็นว่าพัฒนาการด้านไหนเสีย

แต่บางอย่างก็ต้องดัด
ซึ่งการดัดต้องค่อยเป็นค่อยไป
เช่น
ลูกตาวไม่ชอบเสี่ยง
เคยเห็นมั้ยคะเด็กที่ไม่ปีนอะไรเลย
ไม่ปีนแม้กระทั่งเก้าอี้ จนเกือบ 4 ขวบ
ลูกสาวคนนี้นี่แหละ

ครั้งแรกที่ปีน เพราะแม่บอกให้ปีน
เริ่มจากขั้นบันได้สำหรับปีนหยิบของ
ต่อมาเป็นเก้าอี้ โต๊ะ และจบลงที่รั้วบ้าน

เชื่อคะว่าผู้ใหญ่บางคนเห็นตาลสอนลูกปีนรั้วบ้าน
ก็คิดดังบ้าง ในใจบ้างว่า
สอนให้ลูกสาวปีนรั้วบ้านได้ไง
สำหรับตาล จำเป็นค่ะ จำเป็นต้องสอน
เด็กที่ไม่ได้ปีนป่ายจะกลายเป็นเด็กปวกเปียกในที่สุด

และการปีนนี่แหละที่สมองทั้งหมดต้องทำงานประสานกัน
เมื่อลูกสาวไม่ยอมปีนลูกสาวก็ขาดทักษะ การทรงตัว ตาประสานมือ
การคิด การไตร่ตรอง การคำนวณ และอีกมากมาย

เชื่อว่าเด็ก ถึงจะคิดเก่งแค่ไหนแต่แค่ปีนต้นไม้ยังทำไม่เป็น ก็คงจะทำอะไรไม่ได้เรื่องเช่นกัน
ตาลเลยจำเป็นต้องดัด
แต่การดัด ไม่จำเป็นต้องบังคับ แต่จำเป็นต้องให้กำลังใจอย่างมาก
เพราะการดัด คือการผลักดันให้เขาทำในสิ่งที่ไม่ถนัด
เท่ากับว่าสิ่งนั้นจะยากสำหรับเขา มากกว่าคนอื่นหลานเท่าทวีคุณนัก
ดังนั้นเด็กน้อยจึงต้องการความมั่นใจและกำลังใจเป็นอย่างมาก

สองเรื่องที่เลือกมานี้หวังว่าจะช่วยให้เพื่อนๆวาดภาพคร่าวๆได้
แต่รายละเอียดคงต้องไปเติมกันเองให้เหมาะกับแต่ละบ้าน

จริงๆอยากหาประสบการณ์ที่หลายๆคนต้องเจอ
แต่เสียดายที่ลูกตาวไม่ค่อยจะเดินไปในทางเดียวกับเพื่อนสักหน่อย
เรื่องที่เพื่อนมักขาด เธอดันได้
ส่วนเรื่องที่เพื่อนได้ เธอดันขาด

--------------------------------------------------------------------------

สร้างเสริมประสบการณ์
เปิดโอกาสให้ลูกได้ลงมือทำ ได้ตัดสินใจสิ่งต่างๆ
และเรียนรู้ผลลัพธ์ของการตัดสินใจด้วยตัวเอง

คนเราถ้าไม่ได้ลงมือทำอะไรด้วยตัวเองเลย
ก็จะไม่มีวันเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาด
และก็ไม่มีวันจะเรียนรู้รสชาตความสำเร็จเช่นกัน
การให้เขาได้ตัดสินใจที่จะเลือกชีวิตเขา เลือกที่จะเป็น เลือกที่จะทำ
จะเป็นพรวนดินใส่ปุ๋ยให้ต้นความมั่นใจ ความภูมิใจที่ได้เป็นตัวเองมันโตขึ้น

อย่าเห็นว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องใหญ่
ในวัยเด็กนี้มีความผิดพลาดอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกค่ะที่เป็นเรื่องใหญ่
ดังนั้นให้ตระหนักไว้เสมอว่า ความผิดพลาดคือบทเรียนอันล้ำค่าของลูก
ยิ่งผิดพลาดในวัยเด็ก ยิ่งรู้ว่าทำยังไงถึงจะทำสำเร็จได้ในวัยโต


ปล. ทั้งหมดนี้มาจากมุมมองแม่คนหนึ่ง
ที่ต้องทำหน้าที่เสริมสร้างความภูมิใจในตัวเองให้ลูก
ไม่ใช่บทความวิชาการแต่อย่างใด
หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย













 

Create Date : 03 มีนาคม 2554
1 comments
Last Update : 3 มีนาคม 2554 19:18:46 น.
Counter : 2377 Pageviews.

 

ดีจังเลยค่ะ มาอ่านเก็บข้อมูลไว้ จะได้สอนน้องเจย์ญ่าบ้าง ตอนนี้ 24w แล้ว อยากสอนวิธีแบบเชิงบวกแบบนี้ แต่คงต้องพยายามกันน่าดู เพราะเรื่องนี้เราเพิ่งจะมาเรียนรู้เอง ^.^

 

โดย: usagimom 11 มีนาคม 2554 11:50:40 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 

jackgeo
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add jackgeo's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com