นิยายแปล เรื่อง ดาวพิษ บทที่ 17 - อรุณสีเลือด แปลโดย ภาวิดา คนบ้านป่า
LITERATURE นิยายแปลเรื่องดาวพิษ บทที่ 17 - อรุณสีเลือด แปลโดยภาวิดา คนบ้านป่า ********************************************************* ความเดิม:บทที่ 1 ดาวพิษเวิร์มวู้ด บทที่ 2 เหตุป่วนสมอง บทที่ 3 หมอยา บทที่ 4 ซอยอินนิโก้ บทที่ 5 ปีกเทวดาตกสวรรค์ บทที่ 6 คัมภีร์อาถรรพณ์ บทที่ 7 ร้านบิ๊บเบิ้ลวิคบนสพานลอนดอน บทที่ 8 ต้องตายก่อนจึงจะได้เป็นอิสระ บทที่ 9 ตายซ้ำเจ็ดครา บทที่ 10 ประสานพลังศาสนเวทย์ บทที่ 11 เมืองต้องมนตร์ บทที่ 12 กำเนิดปีศาจร้าย บทที่ 13 ภายใต้ผ้าคลุมหน้า บทที่ 14 ไคมีร่า สัตว์พหุพันธุ์ บทที่ 15 วิกาลภูตกับผู้คุม บทที่ 16 สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์
ตัวละครเยอะมากจริงๆ ตัวที่ยังมีบทบาทสำคัญก็จะโผล่มาตามเวลาของเค้า น่าจะจำได้ ที่จำไม่ได้น่าจะไม่ค่อยสำคัญ ผู้อ่านหลายท่านอยากรู้ว่า ตัวไหนดีจริง ตัวไหนร้ายจริง นี่คือปมที่ขมวดเขม็งมากขึ้นเรื่อย แท้จริงแล้ว คนที่ดีจริงไม่กลับกลายก็มีอยู่ ที่ร้ายจริงก็มีอีก แต่ที่ต้นร้ายปลายคดอย่าน่าเตะก็ทำให้โกรธได้เยอะ คนดีที่ต้องเสียสละชีวิตก็น่าสงสารจนต้องกลืนน้ำตากันเลยทีเดียว บอกได้แค่นี้นะคะ ไม่เช่นนั้นจะไม่สนุก อีกเพียง 11 บทก็จะลาจอแล้วค่ะ ไม่เกินครึ่งเดือนกันยายน
บทที่ 17 - อรุณสีเลือด บอนนั่มกำลังครูดรองเท้ากับตะแกรงเหล็กหน้าบ้านเลขที่ 6 จัตุรัสบลูมสเบอรี่ พยายามกำจัดโคลนดำๆ หนาเตอะซึ่งติดรองเท้าบู๊ตของเขามาจากถนนถิ่นฮอลบอร์น เบล้กซอยเท้าถี่ๆ ผ่านเข้าไปในบ้าน มือกำด้ามดาบสีทองไว้มั่น พลางสบถก่นด่าสารพันในค่ำคืนนั้นอยู่ในลำคอ เขากระแทกเท้าขึ้นบันไดไปโดยไม่หยุดรอบอนนั่ม ทิ้งรอยเลอะดำๆ ไว้บนพรมตุรกีเนื้อละเอียดที่ปูพื้นกระดานโถงทางเดินยาว พลุ่งพล่านด้วยความโกรธที่หาอเก็ตต้าและคัมภีร์ไม่พบ จนรู้สึกว่าตนถูกดึงจมดิ่งสู่ห้วงความเคียดแค้นและความพยาบาทอันมืดมิดลึกลงไปทุกทีๆ เขานึกในใจว่าโลกนี้ช่างเต็มไปด้วยคนโง่เง่าชอบหลอกลวงตัวเอง แล้วยังพวกนักวิจารณ์ปากมากที่มองไม่เห็นหูดเน่าซึ่งผุดขึ้นมาบนหน้าตัวเองอย่างกับก้อนขี้หนูอีกล่ะ ความเกลียดชังของเขาแผ่ขยายไปยังทุกคนที่เคยประณามว่าศาสตร์แขนงใหม่ของเขาเป็นแค่มายากล เขาหันกลับไปมองบอนนั่มซึ่งตั้งหน้าตั้งตาขูดพื้นรองเท้าขี่ม้าที่สกปรกอยู่ เบล้กรู้จักบอนนั่มมานานปี แต่มิตรภาพของทั้งคู่ถูกบ่อนทำลายด้วยความไม่ลงรอยกันที่เขาเคยแสร้งทำเป็นไม่รู้ เขาเองทำตัวประหนึ่งนักบุญ ช่วยโอบอุ้มบอนนั่มผ่านเหตุคับขัน เพียงเพื่อให้มาขโมยความคิดของตน บัดนี้เมื่อมองบอนนั่ม เบล้กได้แต่รู้สึกหมิ่นแคลนเพราะเห็นเสียแล้วว่าเขาไม่มีปัญญาคิดค้นสิ่งใดด้วยตัวเองเลย เบล้กชักดาบออกจากเข็มขัดและปักปลายลงบนขั้นบันไดแต่ละขั้นขณะยันกายปีนขึ้นไปสู่ห้องดูดาว ทางเดินยาวนั้นระเกะระกะไปด้วยเศษซากปรักหักพังจากภัยพิโรธเมื่อคืนก่อน แผ่นไม้ยื่นออกมาจากผนังปูนเหมือนขนบนหลังเม่น กระจุกราหนาทึบใบเขียวงอกขึ้นมาจากพื้นตรงที่เซคาริสย่ำตีนลงไป พอเข้าไปในห้องดูดาว เบล้กก็มองหิ้งว่างเปล่าที่เขาเคยวางคัมภีร์อันล้ำค่าไว้ ความหวังทั้งปวงของเขาสูญสลายไปแล้ว ชายหนุ่มคิด บัดนี้การแสวงหาความรู้แจ้งก็กลับกลายเป็นเพียงความเพ้อฝัน เขามิอาจพึ่งพาเน็มโมเร็นซิสให้ช่วยนำทางได้อีกต่อไป เซคาริสทอดร่างอยู่บนโต๊ะ ผ้าเช็ดหน้าแดงผืนงามยังคงคลุมหน้าใบไม้สีเขียวของมันอยู่ เบล้กเดินตรงเข้าไปใช้ปลายดาบทิ่มร่างเจ้าสัตว์ร้าย ผิวหนังของมันแข็งกระด้างต้านคมดาบ พวกนั้นจะต้องเชื่อเขา ไอ้พวกหมาพูเดิ้ลทรงเครื่องที่สวมหน้ากากนักวิทยาศาสตร์นั่น ราชสมาคมแห่งประเทศอังกฤษจะมาหัวเราะเยาะเขาไม่ได้อีกแล้ว เบล้กคิดขณะวาดภาพตนแล่เซคาริสเป็นชิ้นๆ เหมือนแฮมรมควัน แล้วเอาขึ้นโต๊ะให้พวกนั้นกินแกล้มกะหล่ำแช่เย็น เขาโน้มตัวลงไปพินิจพิเคราะห์สะโพกของมัน ดูหยดน้ำแวววาวที่ค่อยๆ ซึมออกมาจากผิวหนัง เขาแตะใบไม้หนาที่ก่อเป็นรูปหู แล้วกระชากหลุดออกจากหัว ยกขึ้นส่องกับแสงเทียนพลางใช้นิ้วถูขี้ผึ้งที่หุ้มหูนั้นไว้ รู้สึกหยุ่นเหมือนสัมผัสเนื้อช็อกโกแลตและมีกลิ่นยาเส้นจางๆ ใบไม้ที่หุ้มผิวนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงร้านกาแฟของโอลเด็นเบิร์ก ในคืนที่พวกเขาจับแพะมาถ่ายเลือดมันเข้าร่างโจชัว โอลเด็นเบิร์ก จนชายผู้นั้นกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของวงสังคมลอนดอนไป เพราะนับแต่คืนนั้นเป็นต้นมาโจชัวได้แต่ร้องแบ๊ะๆ และขวิดลมวืดๆ โลหิตโอสถแสนวิเศษนั้นเปลี่ยนเขาจากคนขายกาแฟดำเข้มข้นไปเป็นตัวเขมือบผักชีฝรั่งและหญ้าข้างทาง พื้นรองเท้าข้าพังหมดแล้ว บอนนั่มบ่นขณะเดินเข้ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ข้าเสียเงินซื้อบู๊ตคู่นี้ซะแพงหูฉี่ แต่ลุยโคลนชั่วโมงเดียวโคลนก็ซึมเข้ามายังกะทำด้วยกระดาษแน่ะ แสดงว่าย่ำมาซะยุ่ยแล้วสิ เบล้กตอบ บอนนั่มยืนกระสับกระส่ายอยู่ใกล้ๆ เบล้ก ชะโงกหน้าข้ามไหล่เขาขณะชายหนุ่มสำรวจร่างสัตว์ร้ายต่อไป มันมาจากไหนกันน่ะ บอนนั่มถามลอยๆ พลางเอานิ้วจิ้มๆ ร่างมัน เบล้กไม่ตอบ พยายามใช้ความสงบสยบบทสนทนา ข้าว่าต้องเป็นสัตว์พันธุ์ใหม่จากอัฟริกาแน่ๆ บอนนั่มพูด ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นสัตว์คอยาวเฟื้อยจนกินใบไม้บนยอดต้นได้ มีเขาบนหัวเหมือนปีศาจ แถมลิ้นยังยาวจนเลียคิ้วตัวเองได้ด้วย น่าสนใจนี่ เบล้กพึมพำตอบ บอนนั่มเดินเตร่ข้ามห้องไปยังกล้องโทรทรรศน์ และเขม้นมองผ่านลำกล้องทองเหลืองจ้องดูท้องฟ้า เจ้าว่าอีกกี่วันนะที่หายนะจะมาเยือนลอนดอน เขาถาม ก็สิบห้าสิบหกวันแหละ มีเวลาตั้งเยอะแยะที่จะหนีไปหาที่หลบภัย ดาวหางของเจ้าดูจะอยู่ใกล้กว่าที่ข้าคิดแฮะ บอนนั่มบอกขณะผละจากกล้องโทรทรรศน์ นี่เจ้าเป็นนักดาราศาสตร์ตัวจริงแล้วรึไง ไอแซค เบล้กโต้อย่างรำคาญใจที่บอนนั่มเป็นทุกข์เป็นร้อนกับดาวหางของเขาเสียจริง ไหนดูซิ เขาย่ำเท้าปึงๆ จากอีกฟากห้องมาผลักบอนนั่มออกไปให้พ้นทาง เบล้กจ้องดาวหางผ่านเลนส์กล้องโทรทรรศน์ บัดนี้ มันมีขนาดเท่ากำปั้นลอยเด่นอยู่กลางเลนส์ ทั้งยังสุกใสจนกระทั่งมองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า หางมังกรฟ้าหายไปแล้ว เบล้กเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกว่าดาวพิษเปลี่ยนทิศทางโคจรและอยู่ใกล้โลกกว่าที่คัมภีร์บอกไว้หลายวัน ไอแซค เรามีปัญหาแล้วว่ะ เขาบอกพลางจ้องดาวในเวิ้งอวกาศ มังกรฟ้าเหินจากอีกฟากฝั่งสวรรค์มาสู่เราแล้ว พรุ่งนี้พอฟ้าแจ้ง ดาวพิษจะฉายชัดในแสงอรุณ เน็มโมเร็นซิสบอกผิด ... หรือข้าเองที่คิดผิด สีหน้าของเขาตื่นตระหนก เรามีเวลาเหลืออย่างมากสองวัน ก่อนถึงวันพิพากษา เบล้กถอยออกมาจากกล้องโทรทรรศน์ ขยี้ตาเหมือนจะลบภาพมังกรฟ้าที่ได้เห็น ตัวสั่นเทาขณะเดินไปที่หน้าต่างและมองลงไปที่จตุรัส ภายนอกนั้น ลอนดอนเพิ่งตื่นขึ้นจากการหลับไหล พอฟ้าสาง แสงเริ่มสว่างขึ้น ผู้คนก็เริ่มส่งเสียงจอแจลั่นถนนอย่างที่ทำกันอยู่ทุกวี่วัน ช่วงเวลาเช้ามืดอย่างนี้ บรรดาคนขับรถม้าบังคับม้าย่ำโกรกเกรกไปตามถนนอัดหินก้อนกลมๆ เด็กๆ ที่ไม่ได้สวมรองเท้าดักอยู่ตรงหัวมุมถนน คอยขอเศษเงินจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา คนส่งนมเดินเซเพราะถังนมขนาดใหญ่ที่แบกไว้หนักจนแอกวัวที่ใช้รองถังกดไหล่อย่างแรง ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือศีรษะของตน ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กันทั้งนั้นเล้ย เบล้กพูดอย่างสำนึกผิดขณะมองชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาอยู่ข้างล่าง เราเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะถ้าบอกไปก็จะยิ่งทำให้มีคนตายมากขึ้น เขาหยุดพูดและมองบอนนั่ม แฟลมเบิร์กพูดถูก ให้ตายทันทีโดยไม่รู้ตัวดีกว่าให้ตายทรมาน เพราะรู้ว่าฟ้าจะถล่มใส่เมื่อไร บอนนั่มไม่ตอบ เขาส่องกระจกเหนือเตาผิงพลางยกเท้าขึ้นอังไฟ ข้าอยากบอกเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรขึ้น เบล้กพูดขณะที่ดึงขอเกี่ยวเหล็กเปิดหน้าต่างและชะโงกลงไปที่ถนน ดาวหางกำลังจะมาถึงแล้วนะเว้ย เจ้าจะต้องตายกันหมด เขาตะโกนเสียงดังเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ดังกว่าเสียงจอแจเบื้องล่าง ไม่มีใครตอบ ไม่มีใครแสดงท่าทีรับรู้ แม้จะหันมาฟังสักคนก็ไม่มี เบล้กตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมลงไปที่ฝูงชนนั้น อีกแค่สองคืน ก็จะตายกันหมดแล้ว ยังมัวสาละวนกันอยู่แต่เรื่องหาข้าวใส่ท้องหาเหล้ากรอกปากเท่านั้นเองเหรอ ช่างเถอะ เบล้ก บอนนั่มบอกพลางลากเบล้กกลับมาจากหน้าต่าง ไม่มีประโยชน์หรอกเพื่อน เจ้าจะรู้แน่ได้ไงว่าดาวหางจะชนโลกเร็วกว่าที่คิดไว้แต่แรก ก็ไหนคัมภีร์บอกว่า... คัมภีร์นั่นผิด ข้าก็ผิด ข้าไม่รู้ว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ แต่ชัดเจนมากจริงๆ ตอนที่ข้า อ่านเน็มโมเร็นซิส มันบอกว่า ตั้งแต่เห็นดาวหางจนกระทั่งมันพุ่งเข้าชนโลกใช้เวลายี่สิบเอ็ดวัน พอมาตอนนี้ ข้าส่องกล้องก็เห็นได้ชัดว่าเรามีเวลาน้อยเหลือเกิน เจ้าอสูรร้ายมาถึงแล้วและข้าคิดว่ามันจะเขมือบโลกแน่ๆ เบล้กหยุดพล่ามแล้วหลับตา รู้สึกเหมือนมีมือประหลาดแยกความคิดและสมองออกเป็นสองเสี่ยง เขาใช้สองมือกุมหัว ข้ารู้สึกว่าจิตใจของข้าต่อสู้กันอย่างหนัก ใจหนึ่งบอกว่า ข้าต้องบอกผู้คนให้ทั่ว แต่อีกใจหนึ่งก็ว่า ข้าจะต้องใส่ใจไปไยถ้าโลกจะพินาศ ข้าจะบอกเรื่องนี้กับเยทส์ เขาจะได้ประกาศในหนังสือพิมพ์ เดอะ ครอนิเคิ้ล ให้คนทั้งโลกรู้ จากนั้นข้าจะได้ตายตาหลับ ทำอย่างนั้นไม่เข้าท่าหรอก เจ้าหมอนั่นไว้ใจไม่ได้ มันไม่ใช่พวกเรานะเว้ย แต่ที่แน่ๆ เจ้าควรจะบอกแฟลมเบิร์กให้เขากระจายข่าวนี้ บอนนั่มพูดเร็วปรื๋อ ละสายตาจากเบล้กไปมองหน้าต่างที่เปิดอยู่ แล้วทันใดนั้น เขาก็ถลันเข้าหาเบล้ก ยื่นมือออกไปเหมือนจะผลักเบล้กให้ตกจากหน้าต่างลงไปที่ถนน ข้ายกอาหารเช้ามาให้นายท่านทั้งสองเจ้าค่ะ นางมาลาคิ่นส่งเสียงขณะเปิดประตูเข้ามาพอดีพร้อมกับถาดอาหารที่มีเนื้อร้อนๆ กับกาแฟ ทันเห็นบอนนั่มโน้มตัวไปทำท่าจะผลักเบล้ก อย่านะ! นางตะโกนและบอนนั่มก็คว้าเบล้กและดึงกลับมาจากหน้าต่าง ให้ตายสิ เบล้ก ข้านึกว่าเจ้าจะพลัดตกลงไปซะแล้ว บอนนั่มพูดพลางถลึงตาใส่นางมาลาคิ่น เจ้าเซจะล้มเพราะจิตใจสับสนอ่อนล้า เจ้าต้องทนแบกรับเรื่องราวหนักหนาสาหัสเหล่านี้มานานเกินไปแล้ว บอนนั่มมองหน้านางมาลาคิ่นอีก ไปจัดเตรียมที่หลับที่นอนให้นายเจ้าให้เรียบร้อยไป๊ นายเจ้าต้องพักผ่อน เขาว่า แล้วเดินนำนางออกจากห้อง ไปเถอะเซเบี้ยน เจ้าต้องนอนเสียบ้าง ถ้าต้องไปหาเยทส์ ก็ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ ไปที่ห้องเจ้าเถอะแล้วพักสักหน่อย ข้าจะดูแลเจ้าเอง บอนนั่มพาเบล้กออกจากห้องดูดาว เดินอย่างรวดเร็วไปตามทางไปสู่ห้องที่นางมาลาคิ่นกำลังจัดเตรียมอยู่ พอเบล้กนั่งลงบนเตียงบอนนั่มก็ถอดรองเท้าบู๊ตเปื้อนโคลนของเบล้กออก คลี่เสื้อคลุมนอนออกห่มให้ แล้วเติมฟืนสองสามดุ้นใส่ไฟในเตาผิง หลับซะ เซเบี้ยนเพื่อนรัก เดี๋ยวพรุ่งนี้ แสงเงินแสงทองก็จะทำให้เจ้าสบายใจขึ้น แล้วจะทำยังไงกับดาวหางนั่นล่ะ เบล้กถามอย่างอ่อนระโหยโรยแรง รู้สึกวิตกกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็ให้มันอยู่ของมันไปก่อน เราสองคนพอจะวางแผนแก้ไขให้เมืองนี้ได้แน่ ไอแซคเพื่อนรัก ข้าถึงกับเริ่มไม่ไว้ใจเจ้า แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามิตรภาพที่แท้จริงเป็นยังไง เบล้กพยายามเข้าใจความว้าวุ่นในใจตน ข้าว่าข้าสมควรไปอยู่โรงพยาบาลบ้าว่ะ เรื่องบ้าระห่ำแบบนี้อาจกลายเป็นดีที่สุดก็ได้นะ บอนนั่มตอบพร้อมๆ กับรุนนางมาลาคิ่นออกไปจากห้อง พาเดินลงไปตามชานบันไดของคนงาน อย่าให้ใครมารบกวนเข้าใจมั้ย มาลาคิ่น ไม่ต้องให้ใครมาดูแล คุณหมอต้องพักผ่อน นางมาลาคิ่นถูกรุนเข้าไปช่องบันไดมืดๆ ประตูปิดลงเกือบพร้อมกับเสียงลั่นกุญแจ บอนนั่มรีบกลับไปที่ห้องดูดาว ปิดหน้าต่างขัดดาลเหล็กสีดำแน่นหนา เขากลับไปที่กระจก จัดแจงแต่งตัวโดยดูภาพสะท้อนในกระจกฉาบปรอท เช็ดคราบโคลนดำๆ ใต้ดวงตา จากเงาในกระจกเขาเห็นเซคาริสนอนอยู่บนโต๊ะห่างออกไป แขนตกห้อยลงข้างหนึ่ง บอนนั่มยิ้มกับเงาตัวเองในกระจก บอนนั่มล้วงมือซ้ายลงไปคลำที่กระเป๋าเสื้อหาขวดแก้วจุกไม้ใบเล็ก เขาล้วงลึกลงไปจับปากขวดอย่างระมัดระวังแล้วดึงออกมาจากกระเป๋า ขวดแก้วเนื้อหนาสีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายล้อแสงไฟในเตาผิง บอนนั่มค่อยๆ ดึงจุกไม้ออก จ้องของเหลวทึบแสงที่อยู่ในขวด เขาจับปากขวดไว้ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วจุ่มนิ้วก้อยลงไปในของเหลวในขวดนั้น ก่อนยกนิ้วขึ้นมาแตะที่ลิ้น ชิมรส บอนนั่มเดินข้ามห้องมาดึงผ้าเช็ดหน้าที่คลุมหน้าเซคาริสออก ก้มมอง เห็นบาดแผลจากรอยกระสุนที่เริ่มแข็งกรอบ ขอบแผลเริ่มตกสะเก็ด เขาใช้นิ้วก้อยจุ่มของเหลวหยดลงแผลสองสามหยด น้ำตาเทวดาจักกัดกร่อนบาดแผลเจ้า เฉกเช่นเขี้ยวของสุนัขล่าเนื้อ น้ำเค็ม น้ำตาแห่งความเกื้อการุณย์ จักช่วยฟื้นคืนชีวิตใหม่ เปลวไฟแทนดวงจิต ปฐพีคือที่พำนัก ขอให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์มีแต่ความสงบด้วยเทอญ บอนนั่มท่องคาถาอีกสองสามครั้ง ระหว่างที่ใช้น้ำตาเทวดาล้างแผล เขาจุ่มมุมผ้าเช็ดหน้าลงในขวด เช็ดดวงตาเจ้าสัตว์ประหลาดพร้อมกับออกเสียงร่ายมนตร์ยาวๆ อีกหลายจบ จากนั้นก็เทของเหลวที่เหลือบนริมฝีปากของมันและเก็บขวดไว้ในกระเป๋าเสื้อตามเดิม น้ำตาเทวดาส่งประกายวิบวับบนผิวหนังสีเขียวของเซคาริส บอนนั่มตรวจหาร่องรอยที่จะบ่งบอกว่ามันยังมีชีวิตอยู่และฟังเสียงหัวใจเต้น ตัวมันเย็นชื้น ตายแล้วจริงๆ เขารู้ว่านี่ไม่ใช่สัตว์ในโลกนี้เพราะเนื้อหนังหยาบกระด้างและดวงตาสีทองบอกชัดว่ามันมาจากมิติที่เขาสุดจะหยั่งรู้ ไอ้โง่จอมจุ้นเอ๋ย เขาคิดในใจ เจ้าตัวประหลาดที่นอนนิ่งไม่ติงไหวก็จ้องตอบเขา บอนนั่มสอดส่ายสายตาไปทั่วห้อง เขาเชื่อว่าตามตู้และกองกระดาษพวกนี้น่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่จะนำมาใช้ทำงานให้สำเร็จได้ ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นเบล้กใช้เครื่องอิเล็คทรอมิเตอร์กับกบที่ตายแล้ว รู้สึกหวาดหวั่นที่ได้เห็นกล้ามเนื้อทุกมัดของสัตว์ตัวเล็กสั่นกระตุกอย่างแรงตอนที่เบล้กหมุนลูกบิดเปิดเครื่องเกิดประกายไฟแปล๊บราวกับมีฟ้าผ่าในตัวกบ กระแสไฟฟ้าจากเครื่องส่งผ่านเส้นลวดทองแดงบางๆ เข้าไปในตัวกบ ยังมีอีกบางครั้งที่เบล้กและบอนนั่มร่ายมนตร์จากหนังสือเนบูคาโธซิสปลุกวิญญาณผีทหารที่ตายไปนานแล้วให้คืนชีพ ผีทหารที่ถูกปลุกปรากฏขึ้นเป็นเงา เล่าให้เบล้กและบอนนั่มฟังเป็นหลายนาทีว่าตนถูกฆาตกรรมในโรงเตี๊ยมทูบริดจ์ แต่ก็ยังไม่มีใครพบศพ เพราะศพถูกก่ออิฐทับไว้ที่ห้องชั้นบน ทั้งเบล้กและบอนนั่มเคยพากันเดินทางข้ามพรมแดนแห่งวิทยาศาสตร์ มายากลและสติปัญญา ทั้งสองรู้ความลับของกันและกันยิ่งกว่าพี่น้องเสียอีก บอนนั่มเกิดความคิดแว่บขึ้นมาในพลัน อยากให้เจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้คืนชีพอีกครั้ง แล้วเขาจะปล่อยมันไป เขาลุกลนรื้อค้นตู้ทุกใบจนพบเครื่องมือไฟฟ้านั้น บอนนั่มคลายลวดทองแดงออกจากแกนลากสายลวดข้ามห้องไปที่โต๊ะ พันเส้นลวดเข้าที่ข้อมือแต่ละข้างของเซคาริส จากนั้นก็เดินกลับไปหมุนลูกบิดเปิดเครื่องอย่างรวดเร็ว โคลนไหม้ส่งกลิ่นคลุ้งไปทั่วห้องเหมือนกลิ่นกำมะถันทะลักขึ้นมาจากนรก บอนนั่มมองขึ้นไปและเห็นว่าข้อมือทั้งสองของเจ้าสัตว์นั้นไหม้เกรียมราวกับต้นแฟล็กซ์อบแห้งด้วยไฟ การกระตุ้นล้มเหลวเพราะมันแค่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นอย่างกับร้านขายเนื้อละแวกสปิตทัลฟิลด์เท่านั้น เขาตั้งใจพันลวดกลับเข้าแกนอย่างประณีตและเก็บเครื่องมือเข้าที่ตามเดิมราวกับสิ่งนั้นไม่ได้ถูกแตะต้องเลย แล้วก็เกิดความคิดขึ้นมาใหม่อีกว่าน่าจะเป่าลมหายใจของตนใส่ให้เจ้าสัตว์ประหลาด ความคิดนี้ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณของบอนนั่มโดยไม่รู้ว่าใครยัดเยียดใส่สมองให้ เขามองเซคาริสที่ใบหน้าเป็นใบไม้ ตาลึก ริมฝีปากแห้งกรอบสีแดงพ่นก๊าซเน่าออกมาตามช่องไรฟันดำๆ เหมือนลูกไฟผี บอนนั่มรู้ชัดว่าเขาต้องทำอะไรต่อไป โดยไม่ลังเลเขาประกบปากกับเจ้าสัตว์ประหลาด เป่าลมหายใจเข้าไปในปากของมันนานที่สุดเท่าที่จะทำได้จนเกือบสำลักเพราะกลิ่นเหม็นที่พุ่งเข้าใส่หน้า กลิ่นนั้นเกาะติดผิวหนัง ย้อยออกจากปากเหมือนเคราที่ทำด้วยใยบางๆ จากเศษอาหารเละๆ เขาวิ่งไปที่หน้าต่าง กระแทกดาลเปิดหน้าต่างออกสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าเข้าไปเต็มปอด ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าสัตว์ประหลาดตายสนิทแล้ว ตามันจ้องเพดานโค้งทำด้วยปูนปั้นสีขาวที่ฝังรูปภาพเทพเจ้ากรีกหลายองค์ บอนนั่มบ่นพึมที่ทำไม่สำเร็จและทำหน้าไม่อยากเชื่อ เขาดึงดาบจากเตาผิงตั้งใจจะตัดหัวเซคาริส แล้วนำไปวางไว้แทบเท้าเลดี้แฟลมเบิร์ก ที่ห้องข้างล่าง ได้ยินเสียงนางมาลาคิ่นขยับเครื่องเรือนกุกกักขณะก่อไฟและขัดตะแกรงในเตาไฟ บอนนั่มวางดาบในที่เสียบดาบข้างเตาผิง เดินออกจากห้อง ดึงประตูหักๆ ปิดตามหลังพลางหันไปมองผ่านช่องประตูที่แตกละเอียดอีกครั้ง แต่เจ้าตัวประหลาดก็ยังไม่ไหวติง หัตถ์แห่งมฤตยูซึ่งสวมถุงมือกำมะหยี่เกาะกุมมันไว้ จากนั้นบอนนั่มก็วิ่งเร็วจี๋ลงทีละช่วงบันไดไปที่หน้าบ้าน กระแทกประตูปิดจนบ้านไหวไปทั้งหลัง เขามองซ้ายมองขวาฝ่าหมอกยามเช้าที่ปกคลุมหมู่ไม้ในจตุรัสบลูมสเบอรี่ จู่ๆ ก็มีรถม้าสีดำสนิทมาหยุดตรงหน้า หน้าต่างรถมีกระดานสีดำปิดใส่กุญแจ คนขับรถม้าสวมเสื้อคลุมหนาๆ ทำด้วยผ้ากันน้ำ คอปกเสื้อบดบังใบหน้า บอนนั่มล้วงกระเป๋าหยิบกล้องยาสูบสีขาวเงางามออกมา ตะเกียงเจ้าติดไฟดีหรือยัง เขาถามคนขับรถม้าซึ่งพยักหน้าตอบแต่ไม่พูดอะไรสักคำ ถ้างั้นเราก็จะได้ไปกัน เขาว่ากันว่าสะพานลอนดอนเป็นที่ที่เหมาะจะมองหาอนาคต ที่บนบ้าน เบล้กยังนอนอยู่บนเตียงสี่เสา ติดม่านสีเขียวเข้ม ที่นอนหนายัดขนม้าหุ้มผ้าสีแดง เขาหลับๆ ตื่นๆ จิตใจระทมทุกข์เพราะเหล่าปีศาจคอยรังควาน เบล้กฝันร้ายว่าถูกกักขังไว้ในห้องใต้ดินยาวและหนาว เขารู้ว่าในความมืดใกล้ๆ นี้มีคนแปลกหน้าคอยทีอยู่ เขาได้ยินเสียงหายใจของชายผู้นั้น แต่ไม่อาจเห็นหน้า เบล้กรู้สึกว่ากลับเป็นเด็กอีกครั้ง โดดเดี่ยว กลัวและไม่มีใครช่วยเหลือหรือกำจัดความหวาดกลัวนั้นให้ จากนั้นก็มีเสียงแต๊บ แต๊บ แต๊บ เหมือนเสียงไม้เท้าคนตาบอดกระทบหินเย็นชื้น เบล้กรู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ข่มขวัญเขา ความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันจนเหงื่อกาฬแตกนั้นทำให้เขาตัดสินใจวิ่งหนี แต่กลับดูเหมือนจะงอกรากอยู่ตรงนั้น เท้าทั้งสองข้างหยั่งยึดพื้นดินราวกับรากต้นโอ๊กงอกทะลุรองเท้าบู๊ตชำแรกพื้นห้องปูอิฐลงสู่ดิน เขาพยายามยกเท้าขึ้นจากพื้นอยู่เป็นหลายครั้ง แต่ดูเหมือนจะยิ่งจมลึกลงไปทุกที ขณะที่เสียงเคาะไม้เท้าใกล้เข้ามา เบล้กรู้ว่าเขาจะต้องถูกจับได้และเรื่องน่าอายของเขาก็จะมีคนรู้ แต่ก็มีวาจาอยู่คำหนึ่งซึ่งถ้าเขาลั่นออกไปก็จะขับไล่ชายแปลกหน้าที่ตามหาเขาได้ เขานึกแทบตายก็นึกไม่ออกว่าต้องพูดอะไร เขาพยายามหาเหตุผลว่าทำไมจึงรู้สึกว่ากิ่งก้านหนาๆ ของต้นไม้ขยายจากเท้าลามขึ้นหน้าขาและห่อหุ้มเขาไว้ในโลงศพไม้โอ๊ก ขาของเขากลายเป็นไม้ไปแล้ว ต่อมาเขาก็รู้ตัวว่ากำลังอยู่บนแพเศษไม้ถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากซัดลอยเท้งเต้งออกจากห้องหนึ่งพร้อมๆ กับหนูมากมายทิ้งตัวลงจากเพดานเพื่อหนีน้ำท่วม มันพากันกระโดดลงมาเกาะหมับบนหลังของเขา ปลายอุโมงค์นั้นมีแสงเจิดจ้าอยู่ไกลๆ ส่องฝ่าความมืดลงกระทบผิวน้ำ เบล้กพยายามดิ้นรนให้วิญญาณตื่นจากหลับไหล ให้จิตใจหายหวาดกลัว ในที่สุดก็ตื่นขึ้น เขามองไปรอบๆ ห้องมืดๆ นั้น ไม่แน่ใจว่ายังฝันอยู่หรือถูกส่งไปสู่โลกอื่นที่เหมือนโลกเดิม เขาเห็นเงาร่างผู้ชายคนหนึ่งที่ใกล้ๆ ม่านหน้าต่างตรงด้านในสุดของห้อง บอนนั่ม นั่นเจ้าใช่มั้ย ไม่ใช่ เสียงดุๆ ตอบมา ข้าคือเทวดาประจำตระกูลของเจ้า บทแปลนี้มิใช่เวอร์ชั่นก่อนพิมพ์เล่ม จึงยังมีความลักลั่นเรื่องชื่อสถานที่อยู่บ้าง ขออภัยด้วยค่ะ
(ติดตามบทที่ 18 - รัมสกิ้น แอชโมได วันที่ 9 สิงหาคม ค่ะ) LITERATURE ขอบคุณของแต่งบล็อกจากอินเทอร์เน็ต
Create Date : 03 สิงหาคม 2562
Last Update : 4 สิงหาคม 2562 15:51:56 น.
35 comments
Counter : 1370 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณtoor36 , คุณmcayenne94 , คุณJinnyTent , คุณกะว่าก๋า , คุณเริงฤดีนะ , คุณที่เห็นและเป็นมา , คุณวลีลักษณา , คุณคนผ่านทางมาเจอ , คุณtuk-tuk@korat , คุณโอน่าจอมซ่าส์ , คุณNior Heavens Five , คุณhaiku , คุณสองแผ่นดิน , คุณSweet_pills , คุณสายหมอกและก้อนเมฆ , คุณอาจารย์สุวิมล , คุณตะลีกีปัส , คุณเนินน้ำ , คุณAsWeChange , คุณฟ้าใสวันใหม่ , คุณRinsa Yoyolive , คุณnewyorknurse , คุณไวน์กับสายน้ำ , คุณInsignia_Museum , คุณTui Laksi , คุณชีริว , คุณTurtle Came to See Me , คุณSertPhoto , คุณkae+aoe , คุณสาวไกด์ใจซื่อ , คุณหอมกร
โดย: mcayenne94 วันที่: 3 สิงหาคม 2562 เวลา:10:41:07 น.
โดย: JinnyTent วันที่: 3 สิงหาคม 2562 เวลา:11:22:20 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 สิงหาคม 2562 เวลา:13:03:49 น.
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 3 สิงหาคม 2562 เวลา:13:14:02 น.
โดย: วลีลักษณา วันที่: 3 สิงหาคม 2562 เวลา:18:14:56 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 3 สิงหาคม 2562 เวลา:22:33:09 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:6:29:44 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:7:42:02 น.
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:9:05:43 น.
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:9:08:31 น.
โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:14:34:20 น.
โดย: เนินน้ำ วันที่: 4 สิงหาคม 2562 เวลา:20:06:18 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:6:23:34 น.
โดย: AsWeChange วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:6:53:57 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:9:44:21 น.
โดย: mcayenne94 วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:10:48:01 น.
โดย: JinnyTent วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:11:18:16 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:12:32:14 น.
โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:13:08:38 น.
โดย: Tui Laksi วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:21:16:58 น.
โดย: ชีริว วันที่: 5 สิงหาคม 2562 เวลา:21:41:30 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 สิงหาคม 2562 เวลา:6:17:54 น.
โดย: จันทร์ใส วันที่: 6 สิงหาคม 2562 เวลา:13:12:32 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 สิงหาคม 2562 เวลา:15:39:11 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 สิงหาคม 2562 เวลา:6:33:32 น.
โดย: เศษเสี้ยว IP: 171.4.134.247 วันที่: 13 สิงหาคม 2562 เวลา:12:39:22 น.
โดย: หอมกร วันที่: 14 สิงหาคม 2562 เวลา:7:12:35 น.
ฝรั่งก็มีเทวดาประจำตระกูล
รออ่านตอนต่อไป กลางเดือน กย.เลยนะคะ