ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
<<
พฤศจิกายน 2561
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
6 พฤศจิกายน 2561
 
 
รักเกินต้าน Can't Resist บทที่ ๗ (Yuri)



มนตรีทำตาโตหลังอ่านจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานเป็นใบแจ้งหนี้จากธนาคาร ที่บริษัทของเขาไปกู้ยืมเอาไว้ซึ่งครบกำหนดชำระในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายโธ่เว้ย!

ชายวัยกลางคนหัวฟัดหัวเหวี่ยง เดินไปมาในห้องร้อนใจจนนั่งไม่ติด คิดหาแผนการดีๆ แต่หัวสมองตื้อตันคิดอะไรไม่ออก หลังเขาทำธุรกิจพลาดไปหลายอย่างเงินก้อนโตที่ได้รับจากมารดา ร่อยหรอแทบไม่มีเหลือในบัญชีมากนัก

...หากจะพูดว่า เขาเหลือแต่ ‘เปลือก’ก็คงไม่ผิดนัก

มนตรีไม่อยากจะไปก้มหัว ขอยืมเงินจากมารดาอีกทนไม่ได้กับสายตาดูแคลนของอีกฝ่าย รวมถึงไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับอรนภา ผู้เป็นภรรยาไม่อยากเสียหน้ากับความไม่เอาไหนของตัวเอง

สิ่งแรกที่คิดออก คือหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาคนผู้หนึ่งที่น่าจะพอช่วยเขาได้...ผู้จัดการแบงค์ หลังรอสายไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ

“สวัสดีครับ มานพครับ”

“ผมมนตรีนะครับ”

“ครับ” คนในสายรับคำจำได้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“ผมอยากให้คุณมานพ ช่วยผ่อนผันเรื่องหนี้บริษัทของผมหน่อยได้ไหมผมกำลังเปิดจองโครงการอยู่ ตอนนี้คอนโดขายห้องได้กว่าครึ่งแล้ว ยังไงผมก็ไม่เบี้ยวหรอกคุณรู้จักผมดีนี่”

“ผมเข้าใจครับแต่ตอนนี้เบื้องบนเร่งรัดมา กลัวจะมีปัญหาเรื่องหนี้เสียน่ะครับ” มานพอธิบายอย่างลำบากใจ เขาคุ้นเคยกับมนตรีมานานประกอบกับสมรเป็นลูกค้ารายใหญ่ของธนาคาร จึงไม่อยากจะผิดใจด้วย

“เราคนกันเอง ผ่อนผันให้ผมสักเดือนไม่ได้จริงๆเหรอครับ

เฮ้อ!ถ้าลูกค้าทุกคนพูดแบบนี้ ผมก็ตายสิ

“ถ้าจะให้ทำแบบนั้น รบกวนคุณมนตรีชำระดอกเบี้ยบางส่วนมาก่อนได้ไหมครับจ่ายสักครึ่งหนึ่งก่อนก็ได้ ผมจะได้เสนอเรื่องขึ้นไปได้ และเครดิตคุณก็ไม่เสียด้วย”ผู้จัดการแบงค์ต่อรอง ไม่อยากให้เก้าอี้ของตัวเองสั่นคลอน ด้วยใกล้ช่วงพิจารณาผลงานประจำปีพอดี

ตั้งครึ่งนึงเชียว

เจ้าของบริษัทหนักใจไม่น้อย นึกชั่งใจอยู่นานหลายวินาที

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบจัดการให้”

“ขอบคุณครับ” มานพพูดอย่างโล่งใจ

“งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ สวัสดีครับ” 

“แล้วจะหาเงินที่ไหนล่ะเนี่ย”มนตรีบ่นพึมพำกับตัวเอง คิดจนหัวแทบระเบิดอยู่นานก็นึกถึงใครคนหนึ่งที่เคยพูดเอาไว้ว่า

“หากคุณมนตรีมีปัญหาอะไร ขอให้บอกนะครับผมพร้อมจะให้ความช่วยเหลือคุณเสมอ”

ยืมแล้วต้องรีบใช้คืนก่อนที่แม่จะรู้ไม่งั้นคงด่าฉันหูดับแน่

เขาถอนใจยาวเมื่อคิดถึงสมร ก่อนตัดสินใจโทรหาอดิศรเจ้าของบริษัทปล่อยเงินกู้รายใหญ่ซึ่งต้องการที่ดินของโรงเรียนประถมเหลือเกิน

“สวัสดีครับคุณมนตรีมีอะไรให้ผมรับใช้ครับเสียงในสายถามมา ฟังแล้วระรื่นหู

“คุณอดิศรครับคือผมอยากได้ความช่วยเหลือ…”

“ว่ามาสิครับ ผมกำลังฟังอยู่” คนในสายพูดเสียงนุ่ม

“ผมอยากขอยืมเงินคุณอดิศรสัก...”

อดิศรเงี่ยหูตั้งใจฟัง อมยิ้มในหน้านัยน์ตาเจ้าเล่ห์เป็นประกายวาววับ ดูแล้วไม่ต่างจากสัตว์กินเนื้อสักเท่าไหร่

“ไม่มีปัญหาครับ คุณมนตรีว่างเมื่อไหร่ ก็แวะเข้ามาเซ็นเอกสารที่บริษัทได้เลย”

“จริงเหรอครับ?”

“จริงสิครับ ผมเคยบอกแล้วไงว่าพร้อมจะช่วยคุณเสมอ” โปรยคำหวานให้อีกฝ่าย

“ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆงั้นพรุ่งนี้ผมจะเข้าไปสักเก้าโมงนะครับ สะดวกไหมครับ?”

“สะดวกครับ”

“ผมไม่รบกวนแล้ว ขอบคุณอีกครั้ง สวัสดีครับ”

หลังวางสาย อดิศรยิ้มกว้างยินดีอยู่คนเดียวในห้องรับแขกที่บ้านยกแก้วไวน์ในมือขึ้นดื่มฉลองความสำเร็จล่วงหน้า

ในที่สุดโอกาสของฉันก็มาถึงอีกไม่นานที่ดินแปลงนั้นต้องเป็นของฉันแน่ หุหุ

เขาหมายตาที่ดินโรงเรียนประถม ‘รุ่งนพคุณ’มานานแล้ว เคยไปเจรจาขอซื้อกับสมรหลายครั้ง ต้องหน้าแหกอารมณ์เสียกลับมาเสียทุกที อดิศรเชื่อว่ายังไงเสียสมรก็ต้องยกเป็นมรดกให้ลูกชายแน่จึงหาทางตีสนิททางมนตรีแทน จนอีกฝ่ายไว้เนื้อเชื่อใจ

หลังทนรอมาหลายเดือนสิ่งที่ลงทุนลงแรงก็เริ่มเป็นผล เหมือนสุภาษิตที่ว่า ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’

อธิพงษ์ที่เดินงัวเงียลงมาจากชั้นสอง ทำหน้าฉงนด้วยปกติไม่ค่อยเห็นบิดาทำหน้าดูมีความสุขแบบนี้

“มีอะไรน่ายินดีเหรอครับ

“ก็แค่เนื้อกำลังจะเข้าปากเสือ ก็เลยอารมณ์ดี” คนอายุมากกว่าหัวเราะเสียงต่ำในลำคอแต่ไม่คิดจะเล่าให้ลูกชายฟัง

พูดอะไรมีลับลมคมในตลอด

เพลย์บอยหนุ่มวัยเบญจเพสยักไหล่เมื่อบิดาไม่คิดจะบอก ก็ไม่คิดซักไซ้ไล่เลียง ก่อนเดินไปสั่งสาวใช้ให้ชงกาแฟมาให้แล้วทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามพ่อ ใบหน้าหล่อแดง มีกลิ่นแอลกอฮอล์ฟุ้งลอยออกมาตามลมหายใจเดาได้เลยว่า เมื่อคืนคงดื่มหนักไม่น้อย

“เมื่อคืนแกกลับมากี่โมงคนเป็นพ่อถามเสียงเย็น

“ตีสามกว่ามั้งครับ คือเพื่อนมันเปิดร้านใหม่ผมแวะไปร่วมแสดงความยินดี ก็เลยดึกไปหน่อย”

แกก็ดึกเกือบทุกวันนั่นแหละไม่ต้องมาอ้างโน่นอ้างนี่เลย

อดิศรทำหน้าเอือมระอา ไม่คิดเชื่อคำพูดของลูกชาย แม้แต่ครึ่งคำด้วยรู้จักสันดานเป็นอย่างดี

“ถ้าแกยังทำตัวเหลวไหลไม่รู้จักทำงานทำการแบบนี้ ฉันจะตัดเงินเดือนแก แล้วก็ยึดรถด้วย ดูซิแกจะไปไหนได้”

“เฮ้ย! พ่ออ่ะทำแบบนี้ไม่ได้นะ” ลูกชายโวยวายออกมาทันที

ขืนให้อยู่บ้านเฉยๆ ก็เฉาตายกันพอดี

“ทำไมจะไม่ได้ ฉันเป็นพ่อแกนะฉันพูดอะไรก็หัดฟังแล้วทำตามเสียบ้าง ไม่งั้นแกก็จะไม่ได้อะไรเลย จำใส่ในกระโหลกเอาไว้”เขากล่าวเสียงเข้ม สุดจะทนที่ลูกชายคนเดียว เอาแต่เสเพลเที่ยวผู้หญิง แล้วก็ดื่มเหล้า วันๆ ไม่ทำประโยชน์อะไร ทั้งที่อายุอานามก็ยี่สิบห้าถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นลูกชายคนเดียว เขาคงตัดหางปล่อยวัดไปนานแล้ว สำรวยสำอางยิ่งกว่า ‘เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเสียอีก’

ตอนฉันอายุเท่าแกฉันเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วด้วยซ้ำ ไอ้นี่โตแต่ตัว ไม่มีสมองเลยจริงๆ ...ไอ้ลูกไม่รักดี

อธิพงษ์ทำหน้าจ๋อย หลังบิดาขึ้นเสียง ไม่กล้าโต้เถียงมากความด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะทำจริง

“ก็ได้ครับ”

“ไม่ใช่ก็ได้แต่แกต้องทำได้ต่างหาก” อดิศรย้ำหนักแน่น

“คะครับ...”

ดุเกิน พ่อใครวะ

ลูกชายได้แต่บ่นกระปอดกระแปดในใจ

เปมิกาใช้เวลาตลอดทั้งอาทิตย์ ศึกษาข้อมูลของโรงเรียนประถม‘รุ่งนพคุณ’ ซึ่งมีรายได้หลักสองทาง คือ เงินอุดหนุนจากภาครัฐกับค่าเทอมจากผู้ปกครองเด็ก และมีรายรับอื่นๆ อีกนิดหน่อย จากค่าอุปกรณ์ค่าเรียนพิเศษ ฯลฯ

มีลูกสมัยนี้แพงเอาเรื่องเลยเหมือนกัน

อดที่จะคิดแบบนั้นไม่ได้เข้าใจที่มาของคำพูดประชดที่ว่า ‘มีลูกหนึ่งคนจนไปหลายปี’ แต่หากคิดในมุมกลับกัน ที่จริงแล้วไม่ใช่ความผิดของเด็กแต่ว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ที่อยากมีทายาท...แต่ดันหาเงินไม่เก่งเอง ก็เลยต้องจน

หล่อนคาดการณ์ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นหลังจำนวนนักเรียนลดลงทุกปี จนต้องมีการยุบห้องเรียนและลดจำนวนผู้สอน ประกอบกับมีโรงเรียนนานาชาติผุดขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก ตามหลัก ‘โอเวอร์ซัพพลาย’ ทำให้การแข่งขันในธุรกิจนี้สูงมากขึ้นแล้วยังมีปัจจัยจากเหล่าผู้ปกครอง ที่เน้นคุณภาพการศึกษามากขึ้น ทำให้ภาษาอังกฤษภาษาจีน และคอมพิวเตอร์ มีส่วนในการตัดสินใจ

จำนวนนักเรียนน้อยลงทุกปีเป็นแบบนี้ต่อไป ‘รุ่งนพคุณ’อยู่ยากแน่

...ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงสุดท้ายย่อมไม่พ้นเจ๊ง แม้แต่ยักษ์ในตำนานก็ล้มหายตายจากไปหลายบริษัท

ถ้าเป็นแบบนี้ต้องสร้างแบรนด์ของเราให้แข็งแกร่ง

หญิงสาวนึกถึงวิธีสร้างจุดแข็งที่สามารถทำได้จดความคิดลงในกระดาษกันลืม มีสมาธิมากเสียจนไม่ได้ยินเสียงแขกไม่ได้รับเชิญ

“อ่านแฟ้มไป แล้วขมวดคิ้วขนาดนั้นสงสัยหลานจะแก่เร็วกว่าย่าอีกนะ” สมรแซวขึ้นหลังแวะมาหาหลานสาวที่ห้องนอน

เปมิกาหันไปมองต้นเสียง เห็นสมรนั่งรถเข็นโดยมีชุติมาเข็นเข้ามาหยุดที่หน้าโต๊ะหนังสือของอีกฝ่าย

“คุณย่าคะแปมไม่รีบแซงคุณย่าหรอกค่ะรับรอง”

“ก็ดี ไม่งั้นหลานย่าขายไม่ออกแน่”

“ใจคอจะไม่ให้แปมมีแฟนเลยเหรอคะ ก็แย่น่ะสิ”หล่อนแกล้งทำหน้าหงิก

“จะได้อยู่กับย่าไปนานๆ ไง”

“ยังไงแปมก็จะอยู่กับคุณย่าค่ะ” หญิงสาวพูดอ้อนเสียงหวาน

“ดีลูก” คนแก่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ชุติมาอมยิ้มในหน้า รู้ว่าเจ้านายอารมณ์ดีมากหลังหลานสาวคนโปรดกลับมา

“อ่านไปถึงไหนแล้ว

“เกือบหมดแล้วค่ะ เหลืออีกสองแฟ้ม”

“แล้วรู้อะไรบ้างล่ะ?”

“แปมเพิ่งรู้ว่าคุณย่าบริหารโรงเรียนได้เยี่ยมมากค่ะ”

สมรค้อนหลานสาวน้อยๆ

“ทำมาปากหวานนะเรา”

“นี่แปมพูดจริงๆ นะคะ” เปมิกายิ้มกว้าง

“งั้นย่าถามแบบจริงจัง แปมคิดว่า ควรจะปรับปรุงโรงเรียนยังไงให้ดีขึ้น”

สาวสวยกลอกตาไปมา ด้วยคำถามนี้เป็นสิ่งที่หล่อนครุ่นคิดหาคำตอบมาหลายวัน

“คุณภาพของนักเรียนเราจัดว่าสูงมากเป็นอันดับต้นๆแต่การที่เราเป็นโรงเรียนเอกชน ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าแต่ละเทอมต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าโรงเรียนรัฐ จึงอาจจะลังเล” สาวหวานอธิบายจุดอ่อนก่อนพูดถึงทางออกที่คิดไว้ “ถ้าเราเน้นการประชาสัมพันธ์ ให้คนรู้จักเรามากขึ้นว่าเรียนที่นี่เด็กจะเก่งฉลาด ไม่ใช่แค่เรื่องการศึกษา แต่เราจะให้มากกว่านั้น จะทำให้พวกเด็กๆเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีความสุข เป็นคนดีของสังคม ‘รุ่งนพคุณ’ก็จะอยู่รอดได้ ไม่สิ...ต้องเติบโตอย่างยั่งยืนแน่ค่ะ”

มองการณ์ไกลดีมาก...สมเป็นหลานฉัน

ผอ.อาวุโสนึกภูมิใจไม่น้อย ก่อนถามในจุดที่คาใจ รู้ดีว่าในโลกปัจจุบันการแข่งขันสูงมากเกือบทุกธุรกิจต้องพึ่งการประชาสัมพันธ์ การโฆษณาผ่านสื่อ หรือโซเชียลต่างๆแต่ผลลัพธ์อาจจะได้ไม่คุ้มค่าเงินที่เสียไป หลังผู้บริโภคเลือกที่จะเสพข่าวมากขึ้นไม่ได้หลับหูหลับตาเชื่อเหมือนสมัยก่อน

“แล้วต้องประชาสัมพันธ์แบบไหนล่ะ ถึงจะได้ผล

“เราควรให้พวกเด็กๆ เป็นคนโชว์ผลงานโชว์ความสามารถค่ะ ความโดดเด่น ความพิเศษของนักเรียน จะน่าเชื่อถือกว่าการซื้อโฆษณาค่ะ”เปมิกาเลือกใช้กลยุทธ์การตลาด ที่คาดว่าจะโดนใจผู้ปกครองสมัยนี้มากที่สุด

“ไอเดียคุณแปม น่าสนใจมากเลยนะคะ”ชุติมาที่ฟังอยู่เอ่ยเสริมขึ้น แม้จะเป็นแค่เลขาฯ แต่เธอรู้เกือบทุกเรื่องของ ‘รุ่งนพคุณ’

“อืม พูดมันก็ง่ายหรอกนะแต่เวลาปฏิบัติก็ไม่ง่ายเท่าไหร่ มันต้องมีแผนที่ชัดเจนกว่านี้”สมรยังไม่ถึงกับเออออ

“ถ้าเป็นเรื่องโชว์ความสามารถเราคงต้องพึ่งคุณอินปีที่แล้วคุณอินพานักเรียนไปประกวดแข่งดนตรีได้รางวัลรองชนะเลิศ สองรายการที่ไปประกวดร้องเพลงได้ที่สามกับที่สี่รวมแล้วคุณอินพาเด็กๆ ไปประกวด ได้รางวัลเกินสิบครั้งแล้วนะคะ” เลขาฯ สาวเสนอ

ทำไมต้องอาอินด้วย...ครูคนอื่นทำไม่ได้?

สาวหวานนึกในใจอย่างหงุดหงิด ไม่อยากโยนภาระไปให้เธอคนนั้นสักเท่าไหร่

“คงต้องคุยกับอินดูก่อนงานสอนเขาก็เยอะ” สมรพูดกลางๆ ไม่อยากบีบบังคับใจใครรู้ว่าอินทุอรรับสอนดนตรีพิเศษในวันหยุด จึงไม่อยากไปกะเกณฑ์รบกวนนอกเวลางานด้วยถือเป็นเวลาส่วนตัว ก่อนหันกลับมาถามคนต้นคิด “นอกจากประกวดยังมีวิธีอื่นอีกไหม?”

ฉันนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ

“ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ” หลานสาวกล่าวเสียงอ่อย

คนเป็นย่ายิ้มบางๆ แล้วเอ่ยแนะนำอย่างเอ็นดูในฐานะที่‘อาบน้ำร้อนมาก่อน’

“ไม่ต้องเครียดมากหรอกลูกเรายังมีเวลา ค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำไป ย่าไม่อยากให้หนูใจร้อนถ้าเน้นจะเอาผลลัพธ์เร็วๆ มันอาจจะทำลายเราในระยะยาวได้เวลาคิดทำอะไรต้องรอบคอบด้วยนะ”

“ค่ะคุณย่า” หล่อนรับคำแนะนำคนตรงหน้าไปใช้เสมอจำแม่นยำชนิดไม่ลืมเลยทีเดียว

“ค่าชุดทำงานที่ไปเลือกกับอินมาเบิกที่ย่าได้นะ”

“เอ่อคืออาอินซื้อเป็นของขวัญเรียนจบให้แปมน่ะค่ะ”

“งั้นเหรอ” สมรเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย“แปลว่าคืนดีกันแล้ว

หืม?

หล่อนอดสงสัยไม่ได้ อยากรู้ว่าเธอไปฟ้องอะไรหรือเปล่า?

“เอ่อ คุณย่าทราบด้วยเหรอคะ

ผอ.อาวุโสยิ้มอ่อนโยน

“ก็ลูกทำหน้าหงิกใส่อินขนาดนั้นใครเห็นก็รู้หมดนั่นแหละ”

“แปมไม่ได้ทำหน้าหงิกสักหน่อย”หญิงสาวรีบแก้ตัว

“แปมโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะลูกทำแบบนั้นไม่น่ารักเลยสักนิด ยังดีนะที่เป็นอิน หากเป็นคนอื่นคงเผ่นหนีไปไกล ไม่มีทางอยู่ง้อลูกหรอกอินเป็นคนนิสัยดีมาก ใจกว้างพึ่งพาได้ คนแบบนี้ควรจะรักษาไว้ให้ดีถ้ามีปัญหาอะไรก็คุยกัน ปรับความเข้าใจกัน ย่าไม่อยากให้หนูไร้เหตุผลกับใครเข้าใจนะ” สมรจงใจย้ำให้อีกฝ่ายสำนึกผิดที่ทำกับอินทุอร

นี่ฉันทำกับอาอินเกินไปสินะ

คนฟังอดรู้สึกผิดไม่ได้และคิดว่าจะหาทางชดใช้คืนให้เธอทีหลัง คุกเข่าหน้ารถเข็นกอดเอวซบหน้าที่ตักแบบอ้อนๆ แบบสมัยเด็ก

“ขอโทษค่ะ”

“ย่าหวังดีกับแปมนะลูกเป็นผู้ช่วยผอ.ไม่ง่ายหรอกนะ ต้องระวังทุกย่างก้าว จะให้มีเรื่องด่างพร้อยไม่ได้” เอ่ยเตือนอย่างเป็นห่วง

“แปมจะวางตัวให้ดี ไม่ทำให้คุณย่าผิดหวังค่ะ”

“ดีมากลูก” สมรลูบหัวอีกคนเบาๆ อย่างอ่อนโยน“มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพี่ชุกับอินนะลูก หลายหัวดีกว่าหัวเดียว” ผู้ที่เธอวางใจไว้ใจมีแค่สองสาวนี้เท่านั้นไม่กล้าตั้งความหวังทางธุรกิจกับลูกชายและหลานชาย...เกรงจะผลาญสมบัติหมดเสียมากกว่า

“ค่ะคุณย่า”

หญิงอาวุโสหันไปฝากฝังกับคนสนิท

“ฝากหลานฉันด้วยล่ะชุ”

“ค่ะคุณท่าน” เธอค้อมหัวรับคำ เบาใจขึ้นหลังเห็นสติปัญญาของว่าที่ผู้นำคนต่อไป ที่ดูจะพึ่งพาได้มากกว่ามนตรีและมนต์ธร

ใช้เวลาศึกษาแค่ไม่กี่วันก็คิดแผนออกมาได้ แบบนี้ ‘รุ่งนพคุณ’ อาจจะยังมีทางรอดอยู่

OoXoO

ขอบคุณที่กรุณาติดตามค่ะ

เปิดจองหนังสือเรื่องนี้แล้วนะคะ สนใจดูรายละเอียดได้ที่หน้า 'สินค้า' ค่ะ

ส่วน e-book น่าจะได้อ่านก่อนกลางเดือนพฤศจิกายน อดใจรออีกนิดนะคะ

นาง ^^

OoXoO




Create Date : 06 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2561 17:45:43 น. 0 comments
Counter : 630 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com