บึงบอระเพ็ด : เป็ดดำหัวดำ

ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ แต่ระยะห่างดีกว่าเมื่อเช้าหน่อย เป็ดดำหัวดำ คือเป็ดสีน้ำตาลตัวที่สองจากทางซ้าย ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของ IUCN ของนกชนิดนี้อยู่ในสถานะ Critical endangered เป็นนกตัวแรกในชีวิตที่เราเก็บได้ นอกจากหัวแล้ว ที่เหลือดูเหมือนเป็ดดำหัวสีน้ำตาลหมดทุกอย่าง ที่สำคัญยังมายืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันอีกด้วย จากที่เราเล่ามาก่อนหน้าว่า เป็ดในสกุลนี้เป็น diving duck จึงมารวมกับนกสีดำหน้าผากสีขาว ที่หากินโดยการดำเหมือนกัน นั่นคือนกคู๊ต (Eurasian coot) ในขณะยืน เราอาจจะแยกจากเป็ดดำหัวสีน้ำตาลได้ยาก แต่ในขณะว่ายน้ำจะเห็นแถบขนสีขาวข้างลำตัวได้มากกว่า ส่วนใน buird guide จะบอกว่าเป็ดดำหัวดำ หัวจะป้าน ในขณะที่เป็ดดำหัวสีน้ำตาล หลังหัวจะเป็นโหนกสูงกว่า แต่ถ้าเลยจากนี้เข้าสู่ช่วงฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้จะมีหัวสีเขียวเหลือบ ในขณะที่เป็ดดำหัวสีน้ำตาลตัวผู้ เพียงแค่มีสีน้ำตาลเข้มขึ้นเท่านั้น นั่นทำให้โดยธรรมชาติ มันจะไม่ผสมพันธุ์ข้ามชนิดกัน แต่ด้วยจำนวนที่ลดลง ทำให้ปัจจุบันมีการพบนกลูกผสม ที่เป็นลูกครึ่งเป็ดดำหัวดำกับเป็ดดำหัวสีน้ำตาล หรือก็เป็นเป็ดเปียบ้างก็มี
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Baer's Pochard ถูกพบโดยนักธรรมชาติและปักษีวิทยา ชาวเยอรมัน Gustav Radde ที่ได้เดินทางสำรวจสัตว์และพรรณพืชใน รัสเซียตะวันออกและไซบีเรีย ได้พบกับนกชนิดนี้ที่ทะเลสาปไบคาล ในปี 1863 Radde จึงตั้งชื่อเป็ดชนิดนี้ว่า Anas baeri เพื่อเป็นเกียรติแก่ Karl Ernst von Baer นักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน
จากการศึกษาพันธุกรรม ปัจจุบันถูกย้ายจาก สกุล Anas ไปเป็นสกุล Aythya มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aythya baeri โดยมีเป็ดร่วมสกุลกันอีกรวม 12 ชนิด
 มีฤดูผสมพันธุ์ช่วงเดือนพฤษภาคม ในพื้นที่ชุ่มน้ำของไซบีเรีย ได้แก่ Buryatia, Zabaykalsky Krai และ Amur ต่อกับพื้นที่ในประเทศจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ Heilongjiang, Jilin, Liaoning และ Inner Mongolia
ในฤดูหนาวจะอพยพลงมายังจีน อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถานะของเป็ดสายพันธ์นี้ ใน IUCN red list นั้นก็น่าสนใจ เริ่มจากในปี 1988: Threatened, 1994 : Vulnerable, 2008 : Endangered และ 2012 : Critically Endangered เห็นได้ว่าใช้เวลาพียงไม่ถึง 20 ปี ที่สถานะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับบันทึกในความทรงจำของนักดูนกเมืองไทย ฟีลิปส์ ดี ราวด์ ได้เล่าไว้ว่าในปี 1988 พบเป็ดดำหัวดำที่บึงบอระเพ็ด ราว 600 ตัว หลังจากนั้นก็มีรายงานลดลง เหลือเพียงจำนวนหลักสิบ จนกระทั่งปัจจุบัน อาจจะมีรายงานการพบเพียง 1-2 ตัว ต่อปี ได้แก่ หนองหลวง เชียงราย บึงบอระเพ็ด และหนองบงคาย
คาดการณ์ว่ามีประชากรในธรรมชาติเหลืออยู่น้อยกว่า 1,000 ตัว ในจำนวนนี้มีตัวโตเต็มวัย ระหว่าง 150-700 ตัว แต่มีการนำเข้าเป็ดชนิดนี้ไปยังประเทศต่างๆ ตั้งแต่หลังปี ค.ศ. 1900 ทำให้ปัจจุบัน สถาบันและสวนสัตว์ต่างๆ ทั่วโลก มีการครอบครองเป็ดชนิดนี้ โดยอยู่ในยุโรปราว 150 ตัว สหรัฐอเมริกา 150 ตัว และประเทศจีนอีก 54 ตัว ในขณะที่การประเมินของสวนสัตว์มินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ประมาณว่าในธรรมชาติอาจจะเหลือเพียง 300 ตัว นั่นจึงเป็นที่มา โครงการอนุรักษ์ baer’s pochard โดยการขยายพันธุ์จากเป็ดในสวนสัตว์ ที่มีการตรวจสอบพันธุกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นเป็ดที่มีสายเลือดแท้
จุดประสงค์คือเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรให้หลุดพ้นจากสถานะเสี่ยงสูญพันธุ์ นอกจากนี้ยังให้ทุนนักวิจัยเพื่อไปนับจำนวนนกอพยพในประเทศพม่า เพื่อให้ได้ภาพรวมในการสร้างกลยุทธ์เพื่อการอนุรักษ์เป็ดสายพันธุ์นี้ไว้

ด้วยโลกที่แคบลงจากการสื่อสารออนไลน์ เกือบทุกปี Facebook ของสำนักข่าวซินหัว จะมีรายงานข่าวจำนวนเป็ดดำหัวดำ ที่พบในสถานที่ต่างๆ เช่น ในปี 2018 เจ้าหน้าที่เขตอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งชาติ ทะเลสาบเหิงสุ่ย มณฑลเหอเป่ย พบเป็ดดำหัวดำเกือบ 120 ตัว ซึ่งมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา
แต่ข่าวที่น่ายินดีที่สุด คือในปี 2022 ที่ทะเลสาบตงผิงและแม่น้ำต้าเวิ่น ใกล้กับภูเขาไท่ซาน พบจำนวนกว่า 1,500 ตัว ทั้งหมดนี้เกิดจากความพยายามของทางการประเทศจีน ที่จะอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ รวมถึงพื้นที่การเกษตรรอบข้าง เช่น การชดเชยราคาพืชผลที่เสียหายจากนกน้ำต่างๆ เป็นต้น
เนื่องจากประเทศจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ จึงมีพื้นที่ชุ่มน้ำจำนวนมาก ทั้งที่เป็นแหล่งอาศัยหรือแหล่งอพยพผ่าน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เป็นแหล่งผสมพันธุ์และวางไข่ ซึ่งมีอยู่ถึง 5 แห่ง ได้แก่
Dongping Hu, Tai’an, Shandong Xinxiang Yellow River Wetland Birds Reserve, Henan Qixing He Wetland Nature Reserve, Heilongjiang Xingkai Hu Nature Reserve, Heilongjiang และ Hengshui Hu, Hebei
บางแห่งเป็น Ramsar size บางแห่งเป็นเครือข่ายของ EAAF (East Asian - Australasian Flyway Network Site) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นเส้นทางนกอพยพที่สำคัญของโลก เริ่มต้นจากขั้วโลกเหนือ ผ่านเอเชีย ลงไปจนถึงออสเตรเลีย
สถานที่ชุ่มน้ำต่างๆ ที่อยู่ในเส้นทางอพยพนี้ จึงควรได้รับการอนุรักษ์ไว้ ในปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 มีเรื่องที่น่ายินดีว่า EAAF ได้ประกาศให้สถานตากอากาศบางปูของประเทศไทย เป็น EAAF หมายเลข 157 เนื่องจากเป็นสถานที่พักฤดูหนาว ของนกนางนวลหลายชนิด รวมถึงนกน้ำหายากในระดับโลกอีกด้วย
Create Date : 17 เมษายน 2568 |
Last Update : 18 เมษายน 2568 8:47:20 น. |
|
5 comments
|
Counter : 289 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 17 เมษายน 2568 เวลา:15:39:43 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 18 เมษายน 2568 เวลา:19:58:12 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 21 เมษายน 2568 เวลา:9:09:32 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 22 เมษายน 2568 เวลา:0:41:38 น. |
|
|
|
| |