ถึงคุณฟากฟ้า...ประภาคารถ้าบอกว่า ถึง..ใครคนหนึ่ง ก็อาจเป็นการเจาะจงและเปิดเปลือยหัวใจมากเกินไป ใครก็ได้ซักคนหนึ่ง คงฟังดูดีกว่าใช่ไหม? ใครซักคนที่อยากรับฟัง แม้ว่าเรื่องราวที่จะพร่างพรูต่อไปนี้ อาจจะไม่มีประโยชน์และไร้สาระ เปลืองเปล่าพื้นที่บนหน้ากระดาษหน้าบล็อกไปเสียเฉยๆ หากใครอ่านแล้วจับใจความไม่ได้ หรือไม่ได้ประโยชน์อะไรจากมัน ก็อย่าโทษฉันเลย ให้โทษ ระยะทางอันห่างใกล้ คงดีกว่า ที่ทำให้คนอ่านคนนี้ อ่านแล้วมีความรู้สึก อยากเขียนและเขียนโดยไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆเลยเมื่อเช้ามืดนี้ ฉันหยิบหนังสือจากกองดองบนเตียง ย้ำ บนเตียง ค่ะ ไม่ใช่ข้างเตียง พื้นที่บนเตียงเราแบ่งออกเป็นสองส่วน ฉัน,และหนังสือของฉัน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่หนังสือกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว...ถ้าปัจจัยที่ห้าสำหรับทุกคนคือมือถือ หนังสือก็คงกลายเป็นปัจจัยที่หกไปแล้ว (แต่ถ้าถามฉันให้ต้องเลือกหนังสือกับมือถือ คุณคงรู้ใช่ไหมว่าฉันจะเลือกอะไร) คุณคงรู้คำตอบดีใช่ไหม ว่าฉันจะเลือกอะไร เพราะคุณรู้จักฉันดีที่สุด...ไม่สิ...บางทีฉันอาจเข้าใจผิดไป คุณไม่เคยรู้จักฉันดีพอเลย หรืออาจเป็นฉันต่างหาก ที่ไม่ได้รู้จักคุณดีพอก็ได้หน้าหนาวเข้ามาเยือนที่นี่แล้วนะคะ คุณรู้ไหมว่าหนาว มันหนาวแค่ไหน ตอนนี้ไม่หนาวมากเท่าไหร่หรอก ก็แค่ชิวๆ พอที่จะทำให้ใครคนนึงคิดถึงหน้าร้อนที่โน่นขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่หนังสือเล่มเมื่อเช้านี่แหล่ะ อยู่ๆก็พูดถึงเรื่องราวของหิมะ จากความรู้สึกหนาวแบบชิวๆ ก็กลายเป็นรู้สึกหนาวมาก ประหนึ่งว่ากำลังเดินย่ำหิมะขึ้นมาซะอย่างนั้น คุณพ่ง พิมปาย หญิงสาวนัยน์ตามูราคามิ เธอกล่าวว่า :: ฉันเคยเห็นลูกเห็บแต่ไม่เคยเห็นหิมะ แต่ทำไมในความรู้สึกของฉัน ความรักจะต้องมีรูปร่างเหมือนหิมะ และเห็นได้ไม่บ่อยเหมือนลูกเห็บก็ไม่รู้ จุดเริ่มต้นของความรักเหมือนการมาของของลูกเห็บ เป็นความพิเศษที่ทำให้เวลาอันยาวนานของวันอาทิตย์เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อใครคนนั้นรักตอบ มันก็เหมือนเราเป็นวัตถุเล็กๆ ที่ถูกกองหิมะขาวโพลนถาโถมเข้าใส่ ทั้งหนาว หวั่นไหว และตื่นเต้นกับการมาเยือนในเวลาเดียวกัน ขาว เย็น อ่อนนุ่ม ความรักจะต้องมีรูปร่างแบบนี้แน่ๆ ฉันอ่านไปก็แอบอมยิ้มไปด้วย เเม้จะไม่เคยนึกถึงมาก่อน ว่าความรักของฉันจะต้องมีรูปร่างแบบไหน แต่เมื่อจินตนาการตามไปแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันก็เป็นความจริงอยู่บ้างนะ เวลามีความรัก โลกของเราเป็นสีชมพูไปหมด แม้แต่หิมะฉันก็เดาว่าตัวเองคงจะเห็นหิมะมันเป็นสีชมพูแน่ๆ (ถ้ามีโอกาสได้เห็น ณ ขณะนั้นนะ) แต่น่าเสียดาย ที่แม้หิมะจะงดงามสวยสะอาดแค่ไหน แต่มันมาเร็วไปเร็วเสมอ แป๊บเดียวหิมะก็ละลายแล้ว แถมมันยังอ่อนไหวกับความร้อนเสียด้วย ไม่อยากให้ความรักของฉันเป็นเหมือนหิมะเลย แต่ฉันเลือกไม่ได้เสียด้วยว่าความรักต้องเป็นแบบไหน คุณเอ๋ นิ้วกลม ชายหนุ่มที่เซเว่นไม่มีให้ซื้อ เขาบอกว่า :: หิมะก็เหมือนจะบริสุทธ์อยู่หรอก แต่ใต้หิมะกลับซุกซ่อนอะไรไว้มากมายเต็มไปหมด พ่งเคยเห็นเมืองหลังหิมะละลายไหม มันไม่สวยเอาเสียเลย โคลนเละๆ ขยะเท่าๆ ที่ถูกทับเอาไว้เป็นเวลานานโชยกลิ่นไปทั่ว เมืองที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ อาจจะดูสวยงามและอ่อนนุ่ม แต่วันหนึ่งหิมะก็จะละลายหายไป การมาเยือนของความรักอาจเหมือนเกล็ดหิมะที่ปกคลุมเป็นชั้นหนา ต้องรอเวลาให้มันละลาย เมื่อนั้นเราจะได้อยู่กับความจริง มีเรื่องโก๊ะๆเรื่องหนึ่งของฉัน ที่อยากจะเล่าให้คุณเหลือเกิน มันไม่ใช่เรื่องน่าขันซักนิด แต่เมื่อถึงนึกถึงขึ้นมาทีไรก็อดอมยิ้มไม่ได้ซักที ครั้งหนึ่งเมื่อสองปีก่อนโน้น จำได้ว่าตอนเช้าประมาณเจ็ดโมงเช้า ฉันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา เพราะว่ามีหิมะตกที่หมู่บ้านของเรา ทั้งๆที่มันไม่เคยตกมาหลายปีแล้ว ฉันจึงงัวเงียๆ ไปยืนเกาะที่หน้าต่างห้องนอน เห็นหิมะร่วงหล่นลงตกลงมาสู่พื้นอย่างช้าๆ ท่าทางเกล็ดหิมะ ในขณะที่ลอยตัวอย่างช้าๆ หมุนเป็นวงๆลงสู่พื้น ดูมันมีความสุขมากเลย อารามดีใจฉันรีบวิ่งไปหยิบกล้องออกมาแล้ววิ่งไปที่ระเบียงข้างบ้านอย่างรวดเร็ว กะว่าจะให้เขาถ่ายรูปฉันกับหิมะแรกของชีวิตเสียหน่อย กะจะถ่ายรูปตัวเองอ่ะนะ เลยลืมถ่ายรูปหิมะที่ขาวโพลนไปทั่วทุกที่ก่อน ดูท่าว่าหิมะเพิ่งจะตกไม่นาน เพราะว่าแม้จะขาวโพลนไปหมดทั้งถนน และรางรถไฟ แต่มันก็มีชั้นที่บางเบาก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังสวมชุดนอนตัวเก่าที่ใส่มาหลายปี สีซีดเซียว แถมหน้าตายังโทรมสุดๆ ตาบวมปูดจากการตื่นนอน นึกขึ้นได้อย่างนี้ ก็คิดจะเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสวยๆ และแต่งหน้าซักนิด(คิดว่าจะถ่ายรูปส่งกลับเมืองไทยทั้งที ต้องสวยเต็มที่เสียหน่อย) แต่พอเดินเข้าห้อง กลับง่วงนอนขึ้นมาอีก เลยปีนขึ้นเตียง บอกตัวเองว่า...ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยตื่นมาถ่ายรูปใหม่ทีหลังก็ได้...ตื่นมาอีกทีก็สิบเอ็ดโมงกว่าเกือบเที่ยงแล้ว แสงตะวันอ่อนๆเสียดนัยน์ตา จึงรีบวิ่งไปที่ริมหน้าต่าง ไม่กล้าบอกใครเลยว่า เวลานั้นหัวใจแอบตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย หิมะแรกของชีวิต หิมะแรกของฉัน มันละลายหายไปแล้ว ถนนที่เมื่อตอนเช้ามืดขาวโพลนอย่างกับเมืองในฝัน ตอนเกือบเที่ยงเหลือเพียงแต่สีขาวปนน้ำตาลเป็นหย่อมๆ ถ้าเล่าให้ใครฟัง เขาก็ต้องว่าฉันเซ่อแน่ๆ หิมะไม่เคยรอใคร และฉันก็ช้าไปเสมอสำหรับทุกสิ่ง จะจำไว้เลย ถ้าหิมะตกคราวหน้า ฉันจะไม่รีรออีกแล้ว หิมะบางครั้งมันก็โปรยปรายมาแค่นิดเดียว เล่าให้คุณฟังแล้ว คุณคงไม่ได้แอบหัวเราะในใจกับความงี่เง่าของฉันใช่ไหม ...สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในวันนั้นหลังหิมะละลาย ไม่ใช่โคลนเละๆ ขยะเน่าๆหรอก ก็แค่ถนนที่ว่างเปล่าและเศษเสี้ยวความทรงจำที่เดียวดายเหมือนคุณกับฉันไงล่ะ... Photo by Internet :: Flickr :: panutaพูดถึงเรื่องหิมะมามากแล้ว คุยเรื่องอื่นกันบ้างดีกว่า ถ้าไม่อยากเรียกความสัมพันธ์ของเราว่ามันคือหิมะ งั้นฉันขอเรียกมันว่าละครซักฉากได้ไหม ใครกันมากมายก่ายกอง ที่ชอบพูดกรอกหูเสมอว่า ... โลกนี้คือโรงละครโรงใหญ่ และมนุษย์ทุกคนก็คือผู้แสดงนำ... งั้นเราทุกคนก็คือดาราน่ะสิ เป็นดวงดาราที่อยู่บนพื้นดินไม่ได้อยู่บนฟ้า แต่ก็ดีนะ ไม่สูงมาก ตกลงมาจะได้ไม่เจ็บตัวอะไรมากมายฉากที่19-20 ตอนที่ได้รู้จักคุณ ซีนนั้นฉันกำลังเล่นเป็นเด็กสาวผู้อ่อนไหว แต่ตอนนี้ถึงฉากที่27แล้วนะ...ซีนนี้ฉันเล่นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่พอตัว เล่นเป็นคนที่กำลังใช้ชีวิตค่ะ ฉันขอเรียกตัวเองว่าคนใช้ชีวิต มิใช่เรียนรู้ชีวิต ฉันมีข้อเสียอยู่หนึ่งอย่างนะ คือเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้จักการเรียนรู้ชีวิตซักเท่าไหร่เลย ...ส่วนคุณล่ะกำลังเล่นบทเป็นอะไรอยู่เหรอ? ใช่บทคนรักของใครคนอื่นอยู่หรือเปล่า?...รู้ไหมคะ ว่าตั้งแต่นาทีแรกที่ได้รู้จักคุณ คุณได้กลายเป็นตัวละครสำคัญในซีรี่ย์ของฉันไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าคุณจะเต็มใจแสดงหรือไม่ก็ตาม อยากรู้ไหมคะว่าบทที่ฉันให้คุณแสดงน่ะคือบทอะไร ฉันให้คุณเล่นเป็นประภาคารค่ะ ง่ายๆ ไม่ยากเลย ไม่ต้องแสดงอะไรมากมายทั้งนั้น ...แค่คุณอยู่ตรงนั้นในที่ของคุณ ให้ฉันได้มองเห็นหรือรู้สึกถึงการมีอยู่ ความเป็นอยู่ของคุณได้บ้าง แค่นั้นเพียงพอแล้วสำหรับคนที่ยืนอยู่ตรงนี้... เมื่อรักใครคนหนึ่ง จึงไม่สำคัญเลยว่าเราจะได้กอดกันหรือไม่ ความรักบางอย่างในชีวิต คนเราเอื้อมไม่ถึง สัมผัสไม่ได้ เหมาะสำหรับเอาไว้มองดู... ไว้ชื่นชมอยู่ไกลๆ ดวงไฟประภาคารสวยล้ำค่า ยามที่เราล่องเรืออยู่ในทะเลจนหาทางกลับไม่ได้ แต่เราจ้องดูดวงไฟ เพียงให้รู้ว่าควรเดินหน้าไปในทิศทางใด ใช่ว่าเราจะต้องเบนหัวเรือเพื่อมุ่งไปจอดเทียบท่าหน้าประภาคารเสียเมื่อไหร่ ได้รักเธอ...ประภาคารก็ดูสวยดี คนที่ฉันกอดได้ ทำให้โลกนี้สดชื่นสว่างไสว อย่าสนใจเลยนะคนดีว่ารักเธอแล้วฉันคนนี้จะกอดใคร แค่เชื่อว่าฉันรักเธอตลอดไป เพียงพอแล้ว...ปราย พันแสงประโยคของคุณปรายประโยคนี้ คงได้ยินบ่อยละสิ ฉันก็ได้ยินได้เห็นอยู่บ่อยๆ มันสวยงามดีนะ ถ้าคนเราคิดได้แบบนี้จริงๆ อยากให้หิมะละลายใต้ประภาคารจัง อยากรู้ว่ามันจะให้ความรู้สึกอย่างไร แล้วหลังจากนั้น สิ่งที่หลงเหลืออยู่ใต้ซากหิมะจะใช่ขยะหรือเปล่า ฉันอยากรู้จริงๆจากเกล็ดหิมะ...ที่ห่างไกลประภาคาร *หมายเหตุ ... ลายปากการายปักษ์วันนี้ ขอหยิบเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เรื่องนี้เคยเขียนไว้พักใหญ่ๆ ตั้งแต่ปีก่อนโน้น ที่ฉันและเพื่อนอีกสองคนร่วมจับมือกัน สร้างถนนสายมิตรภาพขึ้นมาบล็อกในวันนี้ เป็นอารมณ์อันต่อเนื่องจากบล็อกที่แล้ว ที่แนะนำหนังสือของปราย พันแสง กับบทความเรียงสุดฮิตของปราย ที่ชื่อว่า รักเธอ กอดคนอื่น ...ซึ่งเป็นที่มาของหัวข้อ ฉาก :: หลังหิมะละลายไม่ว่าคนอ่าน อ่านแล้วจะคิดว่า มันคือเรื่องจริงหรือมันเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันของผู้หญิงคนหนึ่งก็ตามแต่ ขอเพียงคุณอ่านและมีความสุข มีความทรงจำเล็กๆ เก่าๆ ที่เคยตกตะกอนนอนนิ่งมานาน ตื่น ฟื้น ผุดและฟุ้งกลิ่นหอมหวานของคิดถึง มีความคำนึง ผุดขึ้นมาทำให้หัวใจได้ปั่นป่วนอีกครั้ง...ขอเพียงแค่นั้น ฉันก็มีความสุขแล้ว....
ถึงคุณฟากฟ้า...ประภาคาร
จากเกล็ดหิมะ...ที่ห่างไกลประภาคาร
จากที่บ้านเราก็เพิ่งรู้จักหนังสือเล่มนี้ค่ะ เคยได้ยินแต่ชื่อหนังสือโดยไม่รู้มาก่อนว่ามันเป็นชื่อหนังสือ อ่ะงง