ลายปากการายปักษ์ :: จดหมายถึงคุณฟากฟ้า ประภาคาร












ถึงคุณฟากฟ้า...ประภาคาร



ถ้าบอกว่า ถึง..ใครคนหนึ่ง ก็อาจเป็นการเจาะจงและเปิดเปลือยหัวใจมากเกินไป ใครก็ได้ซักคนหนึ่ง คงฟังดูดีกว่าใช่ไหม? ใครซักคนที่อยากรับฟัง แม้ว่าเรื่องราวที่จะพร่างพรูต่อไปนี้ อาจจะไม่มีประโยชน์และไร้สาระ เปลืองเปล่าพื้นที่บนหน้ากระดาษหน้าบล็อกไปเสียเฉยๆ หากใครอ่านแล้วจับใจความไม่ได้ หรือไม่ได้ประโยชน์อะไรจากมัน ก็อย่าโทษฉันเลย ให้โทษ ระยะทางอันห่างใกล้ คงดีกว่า ที่ทำให้คนอ่านคนนี้ อ่านแล้วมีความรู้สึก อยากเขียนและเขียนโดยไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆเลย


เมื่อเช้ามืดนี้ ฉันหยิบหนังสือจากกองดองบนเตียง ย้ำ บนเตียง ค่ะ ไม่ใช่ข้างเตียง พื้นที่บนเตียงเราแบ่งออกเป็นสองส่วน ฉัน,และหนังสือของฉัน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่หนังสือกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว...ถ้าปัจจัยที่ห้าสำหรับทุกคนคือมือถือ หนังสือก็คงกลายเป็นปัจจัยที่หกไปแล้ว (แต่ถ้าถามฉันให้ต้องเลือกหนังสือกับมือถือ คุณคงรู้ใช่ไหมว่าฉันจะเลือกอะไร)


คุณคงรู้คำตอบดีใช่ไหม ว่าฉันจะเลือกอะไร เพราะคุณรู้จักฉันดีที่สุด...ไม่สิ...บางทีฉันอาจเข้าใจผิดไป คุณไม่เคยรู้จักฉันดีพอเลย หรืออาจเป็นฉันต่างหาก ที่ไม่ได้รู้จักคุณดีพอก็ได้


หน้าหนาวเข้ามาเยือนที่นี่แล้วนะคะ คุณรู้ไหมว่าหนาว มันหนาวแค่ไหน ตอนนี้ไม่หนาวมากเท่าไหร่หรอก ก็แค่ชิวๆ พอที่จะทำให้ใครคนนึงคิดถึงหน้าร้อนที่โน่นขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่หนังสือเล่มเมื่อเช้านี่แหล่ะ อยู่ๆก็พูดถึงเรื่องราวของหิมะ จากความรู้สึกหนาวแบบชิวๆ ก็กลายเป็นรู้สึกหนาวมาก ประหนึ่งว่ากำลังเดินย่ำหิมะขึ้นมาซะอย่างนั้น










คุณพ่ง พิมปาย หญิงสาวนัยน์ตามูราคามิ เธอกล่าวว่า :: ฉันเคยเห็นลูกเห็บแต่ไม่เคยเห็นหิมะ แต่ทำไมในความรู้สึกของฉัน ความรักจะต้องมีรูปร่างเหมือนหิมะ และเห็นได้ไม่บ่อยเหมือนลูกเห็บก็ไม่รู้ จุดเริ่มต้นของความรักเหมือนการมาของของลูกเห็บ เป็นความพิเศษที่ทำให้เวลาอันยาวนานของวันอาทิตย์เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อใครคนนั้นรักตอบ มันก็เหมือนเราเป็นวัตถุเล็กๆ ที่ถูกกองหิมะขาวโพลนถาโถมเข้าใส่ ทั้งหนาว หวั่นไหว และตื่นเต้นกับการมาเยือนในเวลาเดียวกัน ขาว เย็น อ่อนนุ่ม ความรักจะต้องมีรูปร่างแบบนี้แน่ๆ




ฉันอ่านไปก็แอบอมยิ้มไปด้วย เเม้จะไม่เคยนึกถึงมาก่อน ว่าความรักของฉันจะต้องมีรูปร่างแบบไหน แต่เมื่อจินตนาการตามไปแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันก็เป็นความจริงอยู่บ้างนะ เวลามีความรัก โลกของเราเป็นสีชมพูไปหมด แม้แต่หิมะฉันก็เดาว่าตัวเองคงจะเห็นหิมะมันเป็นสีชมพูแน่ๆ (ถ้ามีโอกาสได้เห็น ณ ขณะนั้นนะ) แต่น่าเสียดาย ที่แม้หิมะจะงดงามสวยสะอาดแค่ไหน แต่มันมาเร็วไปเร็วเสมอ แป๊บเดียวหิมะก็ละลายแล้ว แถมมันยังอ่อนไหวกับความร้อนเสียด้วย ไม่อยากให้ความรักของฉันเป็นเหมือนหิมะเลย แต่ฉันเลือกไม่ได้เสียด้วยว่าความรักต้องเป็นแบบไหน



คุณเอ๋ นิ้วกลม ชายหนุ่มที่เซเว่นไม่มีให้ซื้อ เขาบอกว่า :: หิมะก็เหมือนจะบริสุทธ์อยู่หรอก แต่ใต้หิมะกลับซุกซ่อนอะไรไว้มากมายเต็มไปหมด พ่งเคยเห็นเมืองหลังหิมะละลายไหม มันไม่สวยเอาเสียเลย โคลนเละๆ ขยะเท่าๆ ที่ถูกทับเอาไว้เป็นเวลานานโชยกลิ่นไปทั่ว เมืองที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ อาจจะดูสวยงามและอ่อนนุ่ม แต่วันหนึ่งหิมะก็จะละลายหายไป การมาเยือนของความรักอาจเหมือนเกล็ดหิมะที่ปกคลุมเป็นชั้นหนา ต้องรอเวลาให้มันละลาย เมื่อนั้นเราจะได้อยู่กับความจริง



มีเรื่องโก๊ะๆเรื่องหนึ่งของฉัน ที่อยากจะเล่าให้คุณเหลือเกิน มันไม่ใช่เรื่องน่าขันซักนิด แต่เมื่อถึงนึกถึงขึ้นมาทีไรก็อดอมยิ้มไม่ได้ซักที ครั้งหนึ่งเมื่อสองปีก่อนโน้น จำได้ว่าตอนเช้าประมาณเจ็ดโมงเช้า ฉันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา เพราะว่ามีหิมะตกที่หมู่บ้านของเรา ทั้งๆที่มันไม่เคยตกมาหลายปีแล้ว ฉันจึงงัวเงียๆ ไปยืนเกาะที่หน้าต่างห้องนอน เห็นหิมะร่วงหล่นลงตกลงมาสู่พื้นอย่างช้าๆ ท่าทางเกล็ดหิมะ ในขณะที่ลอยตัวอย่างช้าๆ หมุนเป็นวงๆลงสู่พื้น ดูมันมีความสุขมากเลย











อารามดีใจฉันรีบวิ่งไปหยิบกล้องออกมาแล้ววิ่งไปที่ระเบียงข้างบ้านอย่างรวดเร็ว กะว่าจะให้เขาถ่ายรูปฉันกับหิมะแรกของชีวิตเสียหน่อย กะจะถ่ายรูปตัวเองอ่ะนะ เลยลืมถ่ายรูปหิมะที่ขาวโพลนไปทั่วทุกที่ก่อน ดูท่าว่าหิมะเพิ่งจะตกไม่นาน เพราะว่าแม้จะขาวโพลนไปหมดทั้งถนน และรางรถไฟ แต่มันก็มีชั้นที่บางเบา


ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังสวมชุดนอนตัวเก่าที่ใส่มาหลายปี สีซีดเซียว แถมหน้าตายังโทรมสุดๆ ตาบวมปูดจากการตื่นนอน นึกขึ้นได้อย่างนี้ ก็คิดจะเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสวยๆ และแต่งหน้าซักนิด(คิดว่าจะถ่ายรูปส่งกลับเมืองไทยทั้งที ต้องสวยเต็มที่เสียหน่อย) แต่พอเดินเข้าห้อง กลับง่วงนอนขึ้นมาอีก เลยปีนขึ้นเตียง บอกตัวเองว่า


...ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยตื่นมาถ่ายรูปใหม่ทีหลังก็ได้...


ตื่นมาอีกทีก็สิบเอ็ดโมงกว่าเกือบเที่ยงแล้ว แสงตะวันอ่อนๆเสียดนัยน์ตา จึงรีบวิ่งไปที่ริมหน้าต่าง ไม่กล้าบอกใครเลยว่า เวลานั้นหัวใจแอบตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย หิมะแรกของชีวิต หิมะแรกของฉัน มันละลายหายไปแล้ว ถนนที่เมื่อตอนเช้ามืดขาวโพลนอย่างกับเมืองในฝัน ตอนเกือบเที่ยงเหลือเพียงแต่สีขาวปนน้ำตาลเป็นหย่อมๆ


ถ้าเล่าให้ใครฟัง เขาก็ต้องว่าฉันเซ่อแน่ๆ หิมะไม่เคยรอใคร และฉันก็ช้าไปเสมอสำหรับทุกสิ่ง จะจำไว้เลย ถ้าหิมะตกคราวหน้า ฉันจะไม่รีรออีกแล้ว หิมะบางครั้งมันก็โปรยปรายมาแค่นิดเดียว เล่าให้คุณฟังแล้ว คุณคงไม่ได้แอบหัวเราะในใจกับความงี่เง่าของฉันใช่ไหม



...สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในวันนั้นหลังหิมะละลาย ไม่ใช่โคลนเละๆ ขยะเน่าๆหรอก ก็แค่ถนนที่ว่างเปล่าและเศษเสี้ยวความทรงจำที่เดียวดายเหมือนคุณกับฉันไงล่ะ...





Photo by Internet :: Flickr :: panuta





พูดถึงเรื่องหิมะมามากแล้ว คุยเรื่องอื่นกันบ้างดีกว่า ถ้าไม่อยากเรียกความสัมพันธ์ของเราว่ามันคือหิมะ งั้นฉันขอเรียกมันว่าละครซักฉากได้ไหม ใครกันมากมายก่ายกอง ที่ชอบพูดกรอกหูเสมอว่า ... โลกนี้คือโรงละครโรงใหญ่ และมนุษย์ทุกคนก็คือผู้แสดงนำ... งั้นเราทุกคนก็คือดาราน่ะสิ เป็นดวงดาราที่อยู่บนพื้นดินไม่ได้อยู่บนฟ้า แต่ก็ดีนะ ไม่สูงมาก ตกลงมาจะได้ไม่เจ็บตัวอะไรมากมาย


ฉากที่19-20 ตอนที่ได้รู้จักคุณ ซีนนั้นฉันกำลังเล่นเป็นเด็กสาวผู้อ่อนไหว แต่ตอนนี้ถึงฉากที่27แล้วนะ...ซีนนี้ฉันเล่นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่พอตัว เล่นเป็นคนที่กำลังใช้ชีวิตค่ะ ฉันขอเรียกตัวเองว่าคนใช้ชีวิต มิใช่เรียนรู้ชีวิต ฉันมีข้อเสียอยู่หนึ่งอย่างนะ คือเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้จักการเรียนรู้ชีวิตซักเท่าไหร่เลย


...ส่วนคุณล่ะกำลังเล่นบทเป็นอะไรอยู่เหรอ? ใช่บทคนรักของใครคนอื่นอยู่หรือเปล่า?...


รู้ไหมคะ ว่าตั้งแต่นาทีแรกที่ได้รู้จักคุณ คุณได้กลายเป็นตัวละครสำคัญในซีรี่ย์ของฉันไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าคุณจะเต็มใจแสดงหรือไม่ก็ตาม อยากรู้ไหมคะว่าบทที่ฉันให้คุณแสดงน่ะคือบทอะไร ฉันให้คุณเล่นเป็นประภาคารค่ะ ง่ายๆ ไม่ยากเลย ไม่ต้องแสดงอะไรมากมายทั้งนั้น

...แค่คุณอยู่ตรงนั้นในที่ของคุณ ให้ฉันได้มองเห็นหรือรู้สึกถึงการมีอยู่ ความเป็นอยู่ของคุณได้บ้าง แค่นั้นเพียงพอแล้วสำหรับคนที่ยืนอยู่ตรงนี้...




เมื่อรักใครคนหนึ่ง จึงไม่สำคัญเลยว่าเราจะได้กอดกันหรือไม่ ความรักบางอย่างในชีวิต คนเราเอื้อมไม่ถึง สัมผัสไม่ได้ เหมาะสำหรับเอาไว้มองดู... ไว้ชื่นชมอยู่ไกลๆ ดวงไฟประภาคารสวยล้ำค่า ยามที่เราล่องเรืออยู่ในทะเลจนหาทางกลับไม่ได้ แต่เราจ้องดูดวงไฟ เพียงให้รู้ว่าควรเดินหน้าไปในทิศทางใด ใช่ว่าเราจะต้องเบนหัวเรือเพื่อมุ่งไปจอดเทียบท่าหน้าประภาคารเสียเมื่อไหร่ ได้รักเธอ...ประภาคารก็ดูสวยดี คนที่ฉันกอดได้ ทำให้โลกนี้สดชื่นสว่างไสว อย่าสนใจเลยนะคนดีว่ารักเธอแล้วฉันคนนี้จะกอดใคร แค่เชื่อว่าฉันรักเธอตลอดไป เพียงพอแล้ว...ปราย พันแสง



ประโยคของคุณปรายประโยคนี้ คงได้ยินบ่อยละสิ ฉันก็ได้ยินได้เห็นอยู่บ่อยๆ มันสวยงามดีนะ ถ้าคนเราคิดได้แบบนี้จริงๆ อยากให้หิมะละลายใต้ประภาคารจัง อยากรู้ว่ามันจะให้ความรู้สึกอย่างไร แล้วหลังจากนั้น สิ่งที่หลงเหลืออยู่ใต้ซากหิมะจะใช่ขยะหรือเปล่า ฉันอยากรู้จริงๆ


จากเกล็ดหิมะ...ที่ห่างไกลประภาคาร












*หมายเหตุ ... ลายปากการายปักษ์วันนี้ ขอหยิบเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เรื่องนี้เคยเขียนไว้พักใหญ่ๆ ตั้งแต่ปีก่อนโน้น ที่ฉันและเพื่อนอีกสองคนร่วมจับมือกัน สร้างถนนสายมิตรภาพขึ้นมา

บล็อกในวันนี้ เป็นอารมณ์อันต่อเนื่องจากบล็อกที่แล้ว ที่แนะนำหนังสือของปราย พันแสง กับบทความเรียงสุดฮิตของปราย ที่ชื่อว่า รักเธอ กอดคนอื่น ...ซึ่งเป็นที่มาของหัวข้อ ฉาก :: หลังหิมะละลาย

ไม่ว่าคนอ่าน อ่านแล้วจะคิดว่า มันคือเรื่องจริงหรือมันเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันของผู้หญิงคนหนึ่งก็ตามแต่ ขอเพียงคุณอ่านและมีความสุข มีความทรงจำเล็กๆ เก่าๆ ที่เคยตกตะกอนนอนนิ่งมานาน ตื่น ฟื้น ผุดและฟุ้งกลิ่นหอมหวานของคิดถึง มีความคำนึง ผุดขึ้นมาทำให้หัวใจได้ปั่นป่วนอีกครั้ง

...ขอเพียงแค่นั้น ฉันก็มีความสุขแล้ว....






Create Date : 31 สิงหาคม 2553
Last Update : 31 สิงหาคม 2553 4:38:19 น. 9 comments
Counter : 857 Pageviews.

 
ว่าแล้วเชียวคุ้นๆเหมือนอ่านแล้วนะ เป็นเรื่องที่เศร้าๆซึ้งๆเหงาๆไงก็ไม่รู้อ่ะ
จากที่บ้านเราก็เพิ่งรู้จักหนังสือเล่มนี้ค่ะ เคยได้ยินแต่ชื่อหนังสือโดยไม่รู้มาก่อนว่ามันเป็นชื่อหนังสือ อ่ะงง


โดย: ท่านหญิงน่าเกลียด วันที่: 31 สิงหาคม 2553 เวลา:7:32:30 น.  

 
ระหว่างมือถือและหนังสือ เราก็ต้องเลือกหนังสือเพราะมือถือไม่จำเป็นสำหรับเรา(เพราะมีโทรศัพท์บ้าน อิ อิ) =_=" !!

เพราะชีวิตกับหนังสือสำหรับเราแยกกันไม่ได้ เหมือนหนังสือที่มีชีวิติอ่านเท่าไหร่ไม่เคยจบ อ่านเท่าไหร่ไม่เคยพอ


โดย: อ้อมกอดของความเหงา วันที่: 31 สิงหาคม 2553 เวลา:17:28:13 น.  

 
ในหนังสือระยะทางอันห่างใกล้นั้น...ไม่รู้ว่าตอนที่อ่านคุณแจงรู้สึกยังไง แต่ตอนที่ผมอ่าน ผมรู้สึกเหมือนนั่งดูคนเล่นไพ่โป็กเกอร์กัน ขานึงคือนิ้วกลม อีกขาคือพิมปาย ว่าแล้วก็สลับกันจั่ว และลงไพ่เกทับกันกันชนิดบทเว้นบท โดยมากแล้วพิมปายจะแค่ลงไพ่ไปตามปกติ บอกเล่าความรู้สึกของเธอไปตามที่คิด และมีนิ้วกลมเป็นฝ่ายทำหน้านิ่งแล้วเกทับราวกับจะพยายามชี้มุมต่าง แก้ไขแนวคิด หรือเปลี่ยนทัศนคติที่พิมปายมีต่อสิ่งนั้นไปตามที่เขานำเสนอ

ในเล่มนี้ผมชอบพิมปายมากกว่านิ้วกลม เพราะถึงจะเป็นการเขียนโต้ตอบกัน
แต่เนื้อแท้แล้ว พิมปายแสดงความคิดอ่านของตนออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ในขณะที่สิ่งที่นิ้วกลมทำมีเพียงแค่พยายามจะอธิบายอีกแง่มุมเพื่อหักล้างหรือเพิ่มเติมประเด็นที่พิมปายพูดมา

เหมือนอย่างย่อหน้าที่คุณแจงหยิบยกมาก็เหมือนกัน พิมปายพูดถึงหิมะไปอย่าง นิ้วกลมก็โชว์อาร์ตพูดถึงหิมะในอีกแง่มุมนึง
(แน่นอนว่า นิ้วกลมต้องพยายามพูดให้แลดูว่า “ข้ามาแบบเหนือเมฆกว่า” นิดๆ 555+)
แต่ก็แน่นอนอีกเช่นกันว่า ความคิดของนิ้วกลมบางครั้งก็ไม่เหนือกว่าพิมปายเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้นพอลองอ่านดูแล้ว ผมเลยชอบพิมปายมากกว่า เพราะเหมือนเธอแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ ราวกับคนเล่นไพ่ที่พอมีไพ่ดีก็แสดงออกชัดเจนว่ามีไพ่ดี ถ้ามีไพ่ไม่ดีก็ไม่แสร้งทำหน้าเหมือนมีของดีแอบไว้เพื่อลักไก่ การเปรียบความรักเป็นหิมะของพิมปาย มุ่งเน้นที่ความหนาวและสั่นในเชิงอารมณ์ แต่นิ้วกลมพูดถึงเรื่องนามธรรมเพียงว่าถ้าละลายแล้วอาจไม่งดงาม

อ่านที่พิมปายบอกแล้วทำให้คิดต่อไปว่า สำหรับผม ผมว่าต่อให้เป็นคนที่อาศัยในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่ไร้หิมะ แต่ลงเวลามีความรักแล้ว ก็จะรู้สึกหนาวๆ ขาวๆ เย็นๆ เหมือนกับที่พิมปายว่ามาได้เช่นกัน คำว่าหิมะของพิมปายจึงเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่าพูดถึงการสัมผัสหิมะจริงๆ เป็นดังนามธรรมที่ผ่านการอุปมาอุปมัยจนก่อเกิดเป็นรูปธรรมที่จับต้อง และเป็นจริงเสมอประดุจสัจธรรม

เพราะหิมะในความรู้สึกของคนมีความรัก...ไม่เคยละลายไม่ว่าจะอยู่ภายใต้อุณหภูมิใด
ถ้าคุณแจงมีความรักในลักษณะนี้ ต่อให้คลาดกันกับหิมะก็ยังรู้สึกหนาวเย็นชนิดอบๆอุ่นๆ ได้อยู่เสมอ

ในส่วนของประภาคารที่คุณแจงหยิบยกมานั้น ผมอ่านแล้วก็กลับมองเห็นต่างไปจากคุณปรายพันแสงนิดๆ ประเด็นเหมือนถ้าต้องให้เลือกระหว่างหนังสือกับมือถือ กลับกัน ถ้าต้องให้เลือกระหว่างคนที่คอยให้แสงสว่างเราในความมืดบนประภาคาร กับ คนที่อยู่คอยโอบกอดและร่วมเผชิญหน้ากับความมืดข้างๆ เรา

เป็นผม...ผมคงเลือกคนข้างๆ , เป็นผม...ผมคงกอดและรักคนที่กำลังกอดอยู่
เพราะเชื่อเหลือเกินว่า การมีคนร่วมหลงทางอยู่ในความมืดนั้นมีความสุขมากกว่าการวิ่งไล่ตามแสงสว่างที่อยู่ไกลๆ

แน่นอนว่า ที่ผมเขียนไป เป็นแค่การพยายามเกทับใส่ข้อความของคุณปรายพันแสง
และก็แน่นอนอีกเช่นกันว่า ความคิดของผมไม่ได้เหนือกว่าคุณปรายเลยแม้แต่น้อย 555+


โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน IP: 125.25.30.1 วันที่: 31 สิงหาคม 2553 เวลา:19:14:34 น.  

 
^
^
555555+
เห็นเม้นท์แล้วตกใจ น่าจะไปเขียนหนังสือแข่งกับนิ้วกลมนะคะนี่
ขอเวลานั่งอ่านเม้นท์อย่างละเอียด และเรียบเรียงความคิดหน่อย

ไม่ได้คิดจะทำตัวเป็นนิ้วกลม ที่ตั้งตัว ตั้งตน คอยหักล้างชุดนอนนะคะ
แต่ตอนเราอ่านเรื่องนี้ เรากลับคิดตรงข้ามกับคุณชุดนอน...ตรงที่ว่า
ในครึ่งแรก เราชอบพิมปาย และนิ้วกลมก็เป็นแบบที่คุณว่าจริงๆ นั่นแหล่ะ

แต่พอมาถึงครึ่งเล่ม เริ่มตั้งแต่บทที่ว่าด้วยการเล่นบล็อก เป็นต้นมา..
พิมปายกลับทำให้เรารู้สึกตรงข้ามกับครึ่งแรก เพราะในส่วนครึ่งหลังนั้น
พิมปายกลับตัวของตัวเองมากๆ มากจนเกินไป คิดในแง่ของตัวเองมากเกินไป
ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร ก็ความคิดของเธอ หนังสือของเธอเองนี่น่า...คิดอย่างที่เขียนนั่นแหล่ะ

แต่ในขณะเดียวกันนั้น นิ้วกลมใครครึ่งแรก กลับค่อยๆ พลิกความคิดและตัวตนอ่อนละมุนลง
กลายเป็นผู้เป็นคนธรรมดาอีกครั้ง คือยอมรับความเห็นของคนอื่นมากขึ้น และการหักล้างในบทหลังๆ
เราชอบนิ้วกลมมากกว่าค่ะ ดูเข้าใจชีวิต เข้าใจผู้คน (ไม่รู้สิ หรืออาจจะเป็นเรื่องราวในบทนั้นๆ ก็ได้ ที่โดนใจ)


"เป็นผม...ผมคงเลือกคนข้างๆ , เป็นผม...ผมคงกอดและรักคนที่กำลังกอดอยู่"
^
^
5555+ ประโยคนี้ของคุณชุดนอน มิได้คิดจะแย้งอะไรหรอกค่ะ
แค่รู้สึกว่า แหม...ถ้าเราบังคับจิตใจของตัวเองได้ก็ดีสิคะ ว่าจะเลือกรักใคร
ไม่เลือกรักใคร...(เพราะลึกๆ เชื่อว่า คนกอดก็คงไม่ได้อยากรักประภาคารหรอก
แต่เมื่อมันรักไปแล้ว จะให้ทำยังไงล่ะ?...สุดท้ายมันก็ทำได้แค่รัก..แต่สงสารคนในอ้อมกอดจัง)



"การมีคนร่วมหลงทางอยู่ในความมืดนั้นมีความสุขมากกว่าการวิ่งไล่ตามแสงสว่างที่อยู่ไกลๆ "
^
^
ส่วนประโยคนี้ ใครมีความรักจริงๆ ก็คงจะรู้แหล่ะค่ะ ว่าแบบไหนมีจะมีความสุขมากกว่ากัน...


โดย: nikanda วันที่: 31 สิงหาคม 2553 เวลา:20:17:09 น.  

 
^
^
^
....
.
.
.




สองคนข้างบนนี้ ... คาดว่ามาเขียนหนังสืออีกเล่ม
ด้วยกันเลยก็เป็นไอเดียที่ดีเหมือนกันนะค่ะ

เพราะว่าคนอ่านได้อ่านแล้วก็ยิ้มไป ยิ้มไป


โดย: JewNid วันที่: 1 กันยายน 2553 เวลา:9:05:47 น.  

 
ยิ้มก่อน ...

เมื่อวานเข้ามาอ่านแต่ไม่ได้เม้นท์
แต่ถ้าเม้นท์จะบอกว่า สำนวนรายปักษ์คราวนี้
ออกละเมียดละมุน นุ่ม ๆ เนิบ ๆ ในความรู้สึก บอกไม่ถูก

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเรื่องราววน ๆ เกี่ยวกับความรัก
ที่เป็นจุดอ่อนของคนอ่านอย่างเรา

เลยทำให้อ่านแล้วเห็นภาพ ผู้หญิงคนนึงกำลังเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง
แบบที่คนเล่ากำลังเพลิดเพลินจนคนฟังไม่คิดที่จะขัดให้เสียบรรยากาศ

แม้กระทั่งเกิดคำถามเล็ก ๆ ที่ให้เลือกระหว่างหนังสือกับมือถือ
คนอ่านอย่างเรา ที่กำลังสมมติว่านั่งฟังอยู่ข้าง ๆ ก็คงมีแค่รอยยิ้มเป็นคำตอบ

แต่เชื่อนะว่าคนกำลังนั่งเล่า (เขียน) จะเข้าใจได้ว่าคำตอบคืออะไร


โดย: Paulo วันที่: 1 กันยายน 2553 เวลา:10:12:59 น.  

 
ช่วงครึ่งหลังเหมือนนิ้วกลมจะจับทางได้แล้วว่า พิมปายเธอแร๊งแรง ตัวตนชัดเจน และไม่มีทีท่าว่าจะถูกกล่อมได้ง่ายๆ เขาเลยเขียนแบบไม่อ้างอิงประเด็นของพิมปายเพื่อหวังจะหักล้างแล้ว ทีนี้นิ้วกลมก็เลยเขียนตามที่ถนัดคือเขียนสไตล์แบบ “คนของประชาชน ณ วันมาฆบูชา” คือเขียนแบบพอคนอ่าน - อ่านแล้วจะพยักหน้าเห็นด้วยชนิดพร้อมเพียงกันโดยมิได้นัดหมาย

คำพูดของนิ้วกลมในช่วงหลังเลยฟังดูรื่นหูและไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านทางความคิดมากเท่าพิมปายที่ยังยึดหลัก
“ตัวฉันเอง 4” คือ แร๊งแรง – ฉันคือฉัน – ไม่ฟังใคร – และโลกแม่งเน่าไปแล้ว! สาด!

...................

“แหม...ถ้าเราบังคับจิตใจของตัวเองได้ก็ดีสิคะ ว่าจะเลือกรักใคร”
จริงอย่างที่คุณแจงว่าแฮะ...บางทีเราก็เลือกไม่ได้จริงๆ ทั้งๆที่หลักเหตุผลในใจก็บอกไว้ชัดเจนว่าเราคิดจะเลือกคนไหน

...................

"การมีคนร่วมหลงทางอยู่ในความมืดนั้นมีความสุขมากกว่าการวิ่งไล่ตามแสงสว่างที่อยู่ไกลๆ”
^
^
“ส่วนประโยคนี้ ใครมีความรักจริงๆ ก็คงจะรู้แหล่ะค่ะ ว่าแบบไหนมีจะมีความสุขมากกว่ากัน...”

อันนี้คือตัวอย่างเรื่อง “คนใกล้กับคนไกล” โดยแท้จริง คือพอลงรักเข้าจริงๆ บางครั้งอะไรๆก็ผิดเพี้ยนไปได้ อย่างผมที่บอกว่า “ถ้าเลือกได้ จะเลือกรักคนที่อยู่ใกล้มากกว่าคนที่อยู่ไกลๆ เพราะรักที่จะมีคนร่วมแชร์ความมืดมากกว่าให้อีกคนไปยืนสว่างอยู่ไกลๆ”

แต่พอลงรักเข้าจริงๆ... ... ...ผมกลับเลือกที่จะรักคนที่อยู่ห่างไกล อาศัยอยู่คนละดินแดน
รวมถึงเธอไม่ได้ยืนอยู่บนประภาคารใดๆ เลย แต่ผมก็ยังเลือกที่จะอยู่ในความมืดมิดชนิดไม่มีแสงนำทางเพื่อเฝ้ารอเธอ

พูดอย่างทำอย่าง แบบนี้จะถือว่าผมหักล้างตัวเองได้ไหมนะ?


โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน IP: 125.25.209.20 วันที่: 1 กันยายน 2553 เวลา:15:25:52 น.  

 
อิอิ รีบวิ่งมาเล่าแจ้งแถลงไขว่า
ท่าทางจะ QSD mania จริงๆ ...
แถมช่วงนี้งานรุม..เลยไม่มีมุขอื่นเขียนบล๊อคเลยคะ..
เบื่อแล้วเหรอคะ ..อิอิ


โดย: mutcha_nu วันที่: 2 กันยายน 2553 เวลา:21:56:13 น.  

 
อ่านแล้วนึกถึงหิมะแรกในชีวิตของตัวเองเลยครับ เบบี๋กว่านี้เยอะเลย ไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าหิมะแรกของคุณแจงเล้ย


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 12 กันยายน 2553 เวลา:17:50:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nikanda
Location :
จันทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 31 คน [?]




ลายปากกา









New Comments
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
31 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add nikanda's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.