

อ่าน 14643 ครั้ง โดย
โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
สาขาวิชาความดันโลหิตสูง ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ระบาดวิทยา
ความดันโลหิตสูงเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่พบมากที่สุดในเวชปฏิบัติ จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562-2563 ที่ศึกษาในคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป พบความชุกของโรคความดันโลหิตสูงร้อยละ 25.4 (ชายร้อยละ 26.7 และหญิงร้อยละ 24.2) สถิติสูงกว่าการสำรวจครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557 ซึ่งพบความชุกร้อยละ 24.7 (ชายร้อยละ 25.6 และหญิงร้อยละ 23.9) ความชุกของโรคนี้จะเพิ่มขึ้นตามอายุ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่มีอาการ หากไม่ได้รับการตรวจวัดความดันโลหิตจะไม่ทราบว่าเป็นโรคนี้ จนเกิดภาวะแทรกซ้อน ความดันโลหิตสูงจึงได้รับฉายาว่า “ฆาตกรเงียบ”
คำจำกัดความของความดันโลหิตสูง
1. การวัดความดันโลหิตที่สำนักงานแพทย์
จะต้องได้รับการวัดความดันโลหิตอย่างถูกต้องโดยบุคลากรทางการแพทย์ กล่าวคือ ไม่ดื่มชาหรือกาแฟ และไม่สูบบุหรี่ ก่อนทำการวัดความดันโลหิตอย่างน้อย 30 นาที หากปวดปัสสาวะแนะนำให้ไปปัสสาวะก่อน ให้วัดในท่านั่งโดยนั่งพักบนเก้าอี้หลังพิงพนักเก้าอี้ เท้า 2 ข้างวางราบกับพื้น ไม่ไขว่ห้าง ไม่พูดคุยก่อนและขณะทำการวัด ให้นั่งพักเป็นเวลา 5 นาที วางแขนซ้ายหรือขวาที่จะทำการวัดบนโต๊ะ เจ้าหน้าที่จะพันผ้าพันแขนที่ต้นแขนให้อยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ กล่าวคือ ให้เหนือข้อพับแขนประมาณ 2-3 ซม. และเครื่องมือวัดความดันโลหิตต้องได้รับการตรวจสอบมาตรฐานแล้ว
ปัจจุบันตามโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลจะมีเครื่องวัดความดันโลหิตชนิดอัตโนมัติ โดยให้ผู้ป่วยวัดความดันโลหิตเองได้ การเตรียมการก่อนทำการวัดก็ใช้ลักษณะเดียวกัน แต่ผู้ป่วยต้องสอดแขนที่จะวัดเข้าไปในเครื่องเอง และกดปุ่มให้เครื่องทำการวัด จากนั้นจะมีผลการวัดออกมาจากเครื่องอัตโนมัติ ความดันโลหิตที่วัดได้จะมี 2 ค่า คือ ความดันโลหิตตัวบน (แรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจบีบตัว) และความดันโลหิตตัวล่าง (แรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจคลายตัว) ในสำนักงานแพทย์หรือโรงพยาบาลความดันโลหิตตัวบนที่สูงตั้งแต่ 140 มม.ปรอทขึ้นไป และ/หรือ ความดันโลหิตตัวล่างที่สูงตั้งแต่ 90 มม.ปรอทขึ้นไป ถือว่ามีความดันโลหิตสูง
2. การวัดความดันโลหิตที่บ้าน
เพื่อให้การวัดความดันโลหิตมีความถูกต้องยิ่งขึ้น จึงมีการแนะนำให้ผู้ป่วยซื้อเครื่องวัดความดันโลหิตเองที่บ้าน เพราะสามารถทำให้แพทย์วินิจฉัยความดันโลหิตสูงเทียม (white coat hypertension) คือวัดความดันโลหิตที่สำนักงานแพทย์พบว่าสูง แต่วัดความดันโลหิตที่บ้านไม่สูง ซึ่งพบร้อยละ 20 และความดันโลหิตปกติเทียม (masked hypertension) กล่าวคือวัดความดันโลหิตที่สำนักงานแพทย์ปกติ แต่วัดความดันโลหิตที่บ้านสูง ซึ่งพบร้อยละ 10 ผู้ป่วยสามารถวัดได้ด้วยตนเอง หากผู้ป่วยถนัดมือขวาแนะนำให้ผู้ป่วยวัดแขนซ้าย ไม่แนะนำให้ซื้อเครื่องวัดความดันโลหิตที่ข้อมือ การวัดความดันโลหิตที่บ้านจะมีตัวเลขปรากฏที่หน้าจอ 3 ค่า ค่าบน คือ ความดันโลหิตตัวบน ค่ากลาง คือ ความดันโลหิตตัวล่าง ค่าล่างสุด คือ ชีพจร กรณีวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน ความดันโลหิตตัวบนที่สูงตั้งแต่ 135 มม.ปรอทขึ้นไป และ/หรือความดันโลหิตตัวล่างที่สูง ตั้งแต่ 85 มม.ปรอทขึ้นไป ถือว่ามีความดันโลหิตสูงเช่นกัน
สาเหตุของความดันโลหิตสูง
ร้อยละ 95 จะไม่พบสาเหตุ เชื่อว่าเกิดจากกรรมพันธุ์ เช่น ผู้ที่มีบิดา และ/หรือ มารดา เป็นโรคความดันโลหิตสูง ลูกจะมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ที่บิดาและมารดาที่ไม่เป็นโรคดังกล่าว มีเพียงร้อยละ 5 ที่ทราบสาเหตุ ซึ่งหากแก้ไขสาเหตุได้ก็จะหาย เช่น หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตตีบ เนื้องอกต่อมหมวกไต เป็นต้น หากเป็นสาเหตุจากโรคที่แก้ไขไม่ได้ เช่น โรคไตเรื้อรังจะไม่สามารถทำให้ความดันโลหิตสูงหายได้
ผลแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูง
หากเป็นความดันโลหิตสูงและไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานาน จะเกิดผลแทรกซ้อนที่อวัยวะต่างๆ ได้ เช่น
1. สมอง ทำให้หลอดเลือดแดงที่สมองตีบ หรือแตกได้ ทำให้เป็นอัมพฤกษ์/อัมพาต
2. หัวใจ ที่บีบตัวภายใต้แรงดันหลอดเลือดที่สูงนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัว หัวใจจะบีบตัวดีแต่คลายตัวไม่ดี ทำให้ผู้ที่เป็นเกิดอาการเหนื่อยง่าย และหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจลดลง ก็ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง บางครั้งเจ็บร้าวไปที่คอ หรือแขนซ้ายได้ และระยะท้ายหัวใจจะมีขนาดโตขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจบางลงและบีบตัวไม่ดี ทำให้หัวใจล้มเหลวได้
3. ไต เป็นอวัยวะที่มีหลอดเลือดแดงไปเลี้ยงมากที่สุด เพราะเป็นที่กรองของเสียออกจากเลือดออกไปทางปัสสาวะ เมื่อหลอดเลือดแดงที่ไตหนาตัวขึ้นจากความดันโลหิตสูง จะทำให้เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง ทำให้ไตเสื่อมสมรรถภาพ การขับเกลือและของเสียทำได้น้อยลงเกิดอาการบวมจากการคั่งของเกลือและน้ำ ไตเป็นอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อฮอร์โมนสร้างได้น้อยลง ผู้ป่วยดังกล่าวจะมีอาการซีด เหนื่อยง่าย ด้วย
4. ตา หลอดเลือดแดงที่ตาจะหนาตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงที่จอตาลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จอตา จนถึงขั้วจอตาบวม ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวได้ ร่วมกับอาการปวดศีรษะ
5. หลอดเลือดแดงตามแขนขา หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงแขนขาหนาตัวขึ้นจะทำให้เลือดไปเลี้ยงที่แขนขาลดลง ทำให้เกิดอาการเดินไกลไม่ได้จะปวดขาต้องนั่งพัก หายปวดแล้วจึงเดินต่อได้ หากไม่ได้รับการรักษาระยะทางที่เดินได้จะสั้นลงๆ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง (นอกจากกรรมพันธุ์)
- การรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม (เกลือโซเดียมสูง)
- ภาวะเครียด
- ภาวะอ้วน
- การไม่ออกกำลังกาย
- การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากและเรื้อรั้ง
- การสูบบุหรี่
- การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้หวัด ยาคุมกำเนิด ยาแก้ปวดข้อ ยาแก้แพ้บางชนิด ยาแก้อักเสบ หรือ สเตียรอยด์ เป็นต้น
คำแนะนำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง
สำหรับประชาชนทั่วไปหรือผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง แนะนำให้ตรวจวัดความดันโลหิตทุกปี ตั้งแต่อายุ 30 ปี และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้น เช่น
- ไม่รับประทานอาหารเค็ม เช่น ปลาเค็ม ไข่เค็ม ผักดอง น้ำพริก หรือ อาหารที่ปรุงสำเร็จแล้วไม่ควรเติมน้ำปลา ซีอิ๊ว อีก และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่ซอง หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง ไส้กรอก เป็นต้น
- ลดภาวะเครียด เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การนั่งสมาธิ
- ลดน้ำหนัก ทำโดยลดการรับประทานอาหารประเภทแป้ง ข้าว น้ำตาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวาน น้ำหวาน ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก ลำไย ลองกอง ลิ้นจี่ สับปะรด กล้วยหอม เป็นต้น ให้จัดสัดส่วนของอาหารใน 1 จาน ควรมีข้าว ¼ จาน เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมัน ¼ จาน และผัก ½ จาน
- ส่งเสริมการออกกำลังกาย ควรจัดสรรเวลาในการออกกำลังกายทุกวัน วันละ 20-30 นาที หนักเบาตามสภาพของร่างกายจะอำนวย ข้อแนะนำในผู้ที่เริ่มออกกำลังกาย ให้วิ่งเหยาะๆ กับที่ 5 นาที (warm up) ต่อจากนั้นวิ่งจริง 5 นาที และลดความเร็วของการวิ่งให้ช้าลงจนหยุด 5 นาที (cool down) ทำเช่นนี้ 1 สัปดาห์ สัปดาห์ต่อๆ ไปให้ค่อยๆ เพิ่มระยะที่วิ่งจริงสัปดาห์ละ 2 นาที เช่น จาก 5 นาที เป็น 7 นาที เป็น 9 นาที และต่อๆ ไป เป็นต้น จะลดการบาดเจ็บจากการเริ่มวิ่งและทำให้สามารถวิ่งทนได้
- งด หรือ ลด การดื่มแอลกอฮอล์ ควรงดดื่มในผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์ โรคตับ หรือไขมันในเลือดสูง (ไตรกลีเซอร์ไรด์สูง)
- งด สูบบุหรี่เด็ดขาด เพราะบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดแดงหนาตัวและแข็งก่อนวัยอันควร
- ไม่ควรซื้อยารับประทานเองโดยเฉพาะยาที่ไม่ทราบผลข้างเคียงเพราะยาบางชนิดอาจก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง ควรปรึกษาแพทย์
คำแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง
ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรหยุดยา/ปรับยาเอง หรือซื้อยากินเองโดยไม่ไปพบแพทย์ เพราะความดันโลหิตอาจขึ้นลงได้ตามสภาวการณ์ที่อาจต้องการการปรับยา และแพทย์ไม่ได้ดูแต่เรื่องความดันโลหิตเท่านั้น ยังต้องควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ด้วยในขณะเดียวกัน เช่น ระดับน้ำตาล ไขมันในเลือด ความอ้วน ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูงที่รักษาอยู่ควรมีเครื่องวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน จะได้ตรวจสอบความดันโลหิตเป็นครั้งคราวได้ หรือเมื่อมีอาการผิดปกติ แต่ไม่แนะนำให้วัดในผู้ที่มีความเครียดจากการวัดและกังวลกับการวัดมากเกินไป
สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาลดความดันโลหิตและขอไปซื้อยาเองด้วยเหตุผลใดก็ตาม ควรนำยามาตรวจสอบกับแพทย์เป็นระยะเพื่อความถูกต้องและเข้าใจตรงกัน
ไปตรวจติดตามหลังผ่าตัด คุณหมอที่ผ่ายุ่งอยู่ เลยให้หมอผู้ช่วยมาตรวจแทน ตรวจเสร็จเรียบร้อย หมอก็ยื่นแฟ้มส่งให้เอาไปให้ พยาบาลอีกที อาจารย์เต๊ะ เป็นคนช่างสังเกต ดูปกแฟ้ม ชื่อใครก็ไม่รู้
แต่ไส้ในเป็นของเรา รีบเอาไปบอกพยาบาลให้เปลี่ยนแฟ้มให้ใหม่
นี่ถ้าไม่ไหวตัว สงสัยว่าน่าจะยุ่งแน่ๆเลยนะครับ 555
เรื่องความดันอาหารที่บอกต้องห้ามนี่ ของโปรดอาจารยืเต๊ะ ทุกอย่างเลยเชียวครับ เป็นความดันมานาน น่าจะเพราะ อ้วนนี่แหละ เพราะบุหรี่ก้ไม่ได้สูบกะเค้าครับ
ลงทุนซื้อเครื่องวัดมาใหม่ อาทิตย์ที่แล้ว ของเดิมใช้จนจอมืดอ่านไม่ออกแล้ว เพราะสงสัยมาก วัดที่ รพ ความดันแยะทุกที
พอกลับมาวัดที่บ้าน ก็ปกติ ไปบอกหมอ หมอไม่เชื่ออีก
หาว่าเครื่องเราไม่แม่น ทั้งทีมันก็ยี่ห้อเดียวกับของ รพ นั่นแหละ 555