12 ปี ผ่านไป และแล้ววันนี้ก็มาถึง ไบโพลาร์ หายจากชีวิตแล้ว

 อันที่จริง หมอวินิจฉัยว่าหายมาปีถึงสองปีแล้วค่ะ แต่เราถูกถามบ่อยมากว่าทำอย่างไรถึงหายได้ เราเองรู้สึกว่าการหายป่วยมันทำให้เราก้าวกระโดดมาก 12 ปี ที่อยู่กับไบโพลาร์ ไม่ได้เรียกว่าเสียไป แต่เรียกว่าได้มามากกว่า เราจึงอยากจะเป็นแรงบันดาลใจให้ไบโพลาร์ทุกๆคนลุกขึ้นเดินต่อกันเถอะ โลกสดใส สวยงาม เกินกว่าที่เราจะพลาดได้

 

                 แนะนำตัวก่อนนะคะ เราอายุ 31 ปีค่ะ ขอแทนตัวเองว่าโมเร เพราะ โมเร ชื่อนี้คนที่เคียงข้างเรามาตลอดใช้เรียกเราเพื่อกระตุกกำลังใจให้กลับมาเสมอๆ เริ่มเเรกที่เรารู้ว่าไบโพลาร์เข้ามาสิงในชีวิตเราก็อายุ 19 ปี ผ่านมาจนอายุ 29 ปี ที่หมอเริ่มบอกว่าเรานิ่งแล้ว และ ๆๆๆๆ ปีที่อายุ 31 คือ ปี 2019 ที่หมอยืนยันว่าเราหายแล้วจริงๆ ทุกอย่างที่เราเป็นมันคืออารมณ์ปกติของคน และนิสัยของเราเอง คิดแล้วน้ำตาจะไหล 12 ปี ที่สู้มา ฉันผ่านอะไรมาบ้าง......

 

               เราไม่อยากให้ทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านหดหู่ ดังนั้น เราจะเสนอในมุมของการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู้จนหายจากไบโพลาร์จะดีกว่าเนอะ  

1 2 3 เริ่ม!!! ต้องบอกว่าตลอดเวลาที่เรามีอาการไบโพลาร์ ซึ่งขออธิบายว่า มันคือความผิดปกติของอารมณ์ ส่วนตัวเราจะดีอารมณ์ดีจนถึงดีเกินไป และอารมณ์ซึมเศร้า เราหนักมาทางซึมเศร้า มันทรมานมากที่ต้องรับมือกับอารมณ์นี้สำหร้บเด็กอายุ 19 ปี ที่ไฟแรงมากในการเดินตามฝัน 

           

             พื้นฐานนิสัยเราเอง เราเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มง่าย หลายๆคนชอบคุยกับเรา เพราะ คุยกับเราแล้วสบายใจดี แต่อีกแง่เราก็เป็นคนที่จริงจัง และตั้งใจมากๆ แต่ก็มีความยืดหยุ่น สิ่งสำคัญคือ เรามองโลกในแง่ดี และมีความหวัง กำลังใจ ในตัวของเราเองสูงมากๆ เราชอบสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม เสมอ ๆ แต่เราก็เป็นคนธรรมดา ๆ มีความเป็นปุถุชนมากๆ มีโมโห มีโกรธ บ้างว่ากันไปตามสถานการณ์ แต่เราก็ดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย เสมอๆ เลือกทานอาหารดีๆ........มันเหมือนชีวิตก็ดีใช่ป่ะๆๆๆๆ แล้ววันหนึ่งเราเรียน ปี 1 อยู่ๆ ทำไมร้องไห้เอง ทุกเที่ยงต้องกลับไปร้องไห้ เย็นต้องร้องไห้ถึงสองทุ่ม แล้วต้องเรียน ต้องอ่านหนังสือ ทำงาน ก็ต้องหลังร้องไห้ มันใช้พลังใจสูงมากๆในการสลัดอารมณ์มาทำงานตรงหน้า สิ่งหนึ่งที่แฝงในตัวคือ สมาธิสั้น แล้วไม่รู้ตัวด้วย ทำให้บางครั้งสอบปลายภาค อ่านหนังสือไปไม่รู้เรื่องก็อ่านๆๆๆๆๆๆไปจนอ่านได้เอง แต่มันก็ลุ่มๆดอนๆ  เกรดตอนนั้น 3.75 ซึ่งหมอตกใจมาก บอกว่าทำได้อย่างไรในสภาพแบบนี้ ฉันนั่งพิมพ์อยู่ตอนนี้ ชั้นก็น้ำตาจะไหลว่า ฉันสู้มาก ณ ตอนนั้น 

 

            จริงๆแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เรามีสตินึกได้ คือ สถานะสสารทุกอย่างไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนสถานะ อารมณ์ก็เช่นเดียวกัน เศร้า ทรมานใจ แทบตาย ถ้าเราไม่เกาะกุมอารมณ์นั้น คิดแค่ว่ามาแล้วก็ไป แล้วเราก็ทำหน้าที่ตรงหน้าต่อไป ชีวิตก็ดำเนินไปได้ คล้ายๆกับว่า ความสุขมีได้ในทุกสถารการณ์ เพราะไม่มีกฏหมายระบุว่า ป่วยแล้วห้ามมีความสุข ฉันเข้าใจทุกๆคนที่ซึมเศร้าหนักหนา เข้าใจไบโพลาร์ทุกๆคน ว่ารู้สึกอย่างไร ทุกข์ทรมานแค่ไหน ชีวิต การงานเสียหายไปอย่างไร ฉันเคยประสบ เคยเจอ มาไม่ต่างกัน และฉันก็เดินออกจากมันมาแล้ว เพราะ ตลอดเวลาที่กินยา รักษาตัว ฉันคิดเสมอว่า ฉันต้องรักษาตัวจนหายป่วยจากไบโพลาร์ให้ได้ อย่างไรก็ต้องหาย หลายๆคนที่รู้จัก คิดเพียงว่าต้องกินยาตลอด ไม่หายหรอก แต่อยากบอกว่า ทุกความคิดของทุกๆคนมันถูกนะ แต่มันมีประโยชน์ไหมเล่าที่จะคิดแบบนั้น เพราะความคิดนี้ ที่แตกต่างจากหลายๆคน เป็นจุดเริ่มต้นของการหายจากไบโพลาร์ของฉัน.......

 

         วันนี้ก็เท่านี้ก่อนนะคะเพื่อนๆ ดิฉันต้องนอนพักแล้วล่ะ แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อนะคะ (โมเร)




Create Date : 11 มกราคม 2563
Last Update : 11 มกราคม 2563 5:38:48 น.
Counter : 305 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 1596055
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ปีใหม่แล้ว ก็อยากมอบสิ่งดีๆเป็นเพื่อน เป็นเเรงบันดาลใจ เป็นกำลังใจ ด้วยเรื่องราวของเราให้ทุกคนได้อ่านกันนะ
มกราคม 2563

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
14
15
16
17
18
19
20
22
23
24
26
27
28
29
30
31