อัมพวา นอกจากจะมีความโดดเด่นในเรื่องของ "ตลาดน้ำยามเย็น" และ "การล่องเรือชมหิ่งห้อย" ตามที่ผมได้พาไปเที่ยวชมกันแล้วในบล็อกเอนทรี่ก่อน (Click!!!) ที่นี่ก็ยังคงมีวิถีชีวิตที่น่าสนใจอยู่อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อผมได้เห็นภาพแล้วก็รู้สึกประทับใจ จนตั้งใจว่าจะต้องหาโอกาสมาสัมผัสด้วยตนเองให้ได้ นั่นคือ "การบิณฑบาตทางเรือ" โดยพระสงฆ์จะพายเรือล่องมาตามลำคลอง มีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวรอตักบาตรอยู่สองฟากฝั่ง ภาพแบบนี้คงหาชมได้ยากมากแล้วในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีหลงเหลือให้ชมกันที่อัมพวา ..... เช้าวันนั้นผมตื่นนอนตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้า ตั้งใจเต็มที่ว่าจะเตรียมตัวไปตักบาตร และเก็บภาพพระพายเรือบิณฑบาตมาให้ชมกัน แต่น่าเสียดายที่ต้องพบกับความผิดหวังเข้าเต็มๆ เพราะสายฝนได้โปรยปรายกระหน่ำลงมาขัดขวางผมตั้งแต่เช้ามืด กว่าฝนจะหยุดตกได้ก็ปาเข้าไปช่วงสายๆ ผมอุตส่าห์เลือกเวลามาเที่ยว "อัมพวา" ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน กะว่าอากาศต้องดีแน่นอน แต่ก็ยังมาเจอฝนหลงฤดูเข้าจนได้ โชคไม่ดีเอาซะเลยนะครับ ..... +++ ภาพ "การบิณฑบาตทางเรือ" ที่ผมตั้งใจจะมาชม แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะเจอฝนตกตั้งแต่เช้ามืด +++ หลังจากฝนหยุดตก ผมออกมาเดินถ่ายภาพที่ "ตลาดน้ำอัมพวา" อีกครั้ง ในช่วงเช้าๆ แบบนี้ ร้านค้าส่วนใหญ่ยังคงปิดประตูเงียบ เพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดตลาด มีนักท่องเที่ยวเดินสวนไปมานานๆ ครั้ง ที่ด้านหน้าเรือนแถวไม้บางห้องจะเห็นคุณตาคุณยายหน้าตาใจดี แง้มประตูออกมานั่งทอดอารมณ์หน้าบ้านแบบสบายๆ บรรยากาศดูสงบนิ่ง แตกต่างจากอัมพวายามเย็นในช่วงที่ตลาดเปิดอย่างสิ้นเชิง ..... ภาพที่ผมได้เห็นนี้ น่าจะเป็นภาพชีวิตประจำวันที่แท้จริงของชาวบ้านที่นี่ ในช่วงเวลาที่ "อัมพวา" กลับมาเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ช่วงเวลาที่ไม่ได้ถูกรบกวนด้วยความสับสนวุ่นวายจากผู้คนและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ที่แห่แหนกันเข้ามาเที่ยวในช่วงเย็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ถ้าหากใครไม่ได้มาพักค้างคืนที่อัมพวา ก็คงยากที่จะได้เห็นภาพอัมพวาในมุมสงบแบบนี้ .....+++ ยามเช้าที่อัมพวา ดูเงียบสงบผิดกับช่วงเปิดตลาดตอนเย็นอย่างลิบลับ ++++++ แม้แต่รถจักรยานยนต์ ก็ยังสัญจรไปตามทางเดินเลียบคลองได้สะดวก เพราะตลาดยังร้างผู้คน ++++++ ร้านค้าส่วนใหญ่ยังคงปิดร้านพักผ่อน รอเวลาตลาดเปิดในช่วงบ่าย ++++++ บ้านและเรือนแถวไม้สองฝั่งคลองในยามเช้า ดูสงบ นานๆ จะมีเรือแล่นผ่านมาสักลำ ++++++ บ้านไม้สองชั้นเก่าแก่ เสน่ห์ของอัมพวาที่ทำให้หลายๆ คนประทับใจ +++ "ตลาดน้ำอัมพวา" จะเริ่มกลับมาคึกคักหลังจากเวลาเที่ยงวันไปแล้ว บรรดาร้านค้าจะค่อยๆ ทยอยกันเปิดร้าน แม่ค้าเริ่มจัดแผงขายของหน้าร้าน เรือขายอาหารเริ่มเข้ามาจอดเทียบท่ารอนักท่องเที่ยวมาสั่งอาหาร เพียงไม่นานอัมพวาก็กลับคืนสู่สภาพเดิม เป็นอัมพวาที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวแบบที่เราคุ้นเคย และพบเห็นกันบ่อยๆ ตามสื่อต่างๆ ..... ในช่วงกลางวันขณะที่อากาศยังค่อนข้างร้อน นักท่องเที่ยวบางส่วนก็เลือกที่จะหลบร้อนด้วยการไปล่องเรือ "ไหว้พระ 5 วัด" สนนราคาค่าโดยสารคนละ 50 บาท หรือจะใช้วิธีเช่าเหมาลำไปก็ได้ในราคาลำละประมาณ 500 บาท ส่วนใหญ่เรือจะพาไปไหว้พระที่วัดท้องคุ้ง วัดบางแคใหญ่ วัดบางเกาะเทพศักดิ์ วัดภุมรินทร์กุฏีทอง และสุดท้ายที่วัดบางกุ้ง .....+++ ช่วงกลางวัน นักท่องเที่ยวนิยมล่องเรือไปไหว้พระ 5 วัด เพื่อความเป็นศิริมงคล ++++++ เก้าอี้นังเล่นที่อัมพวา "นั่งที่อัมพวา ... น่ารักกว่า" ++++++ มุมสวยๆ ที่จัดไว้ใช้เป็นฉากถ่ายรูป (แต่ต้องเสียเงินนะครับ) ++++++ พอตกบ่าย บรรดาเรือพายก็เริ่มมาเทียบท่าเตรียมขายสินค้ากันแล้ว ++++++ พ่อค้าท่านนี้ขนฝรั่งสดจากสวนมาขายเต็มลำเรือ น่าทานมากๆ +++ หลังเช็คเอ๊าท์ออกจากที่พัก เราใช้เวลาช่วงบ่ายเดินเที่ยวใน "ตลาดน้ำอัมพวา" กันอีกครั้ง เป็นการเก็บตกก่อนจะเดินทางไปเที่ยวที่อื่นต่อ ในบ่ายวันอาทิตย์แบบนี้ ดูเหมือนปริมาณนักท่องเที่ยวจะมากกว่าวันเสาร์อยู่พอสมควร มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชาวเอเชีย เดาว่าน่าจะมาจากฮ่องกงไม่ก็ไต้หวัน สินค้าแต่ละร้านก็ดูจะซื้อง่ายขายคล่อง โดยเฉพาะประเภทอาหารการกินและของที่ระลึก เราเดินเลือกซื้อของในตลาดอยู่ประมาณชั่วโมงเศษๆ ก็ได้เวลาออกเดินทางไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ นอกเขตคลองอัมพวากันบ้างแล้ว .....+++ สองเด็กดื้อแวะมาเดินเที่ยวตลาดน้ำอัมพวากันอีกรอบ ก่อนจะออกไปเที่ยวที่อื่นต่อ ++++++ โปสการ์ดรูปหมาและแมวของร้านนี้น่ารักมากๆ ผมชอบทุกใบเลยทีเดียว ++++++ เดินไปเดินมาก็วนกลับมาเจอร้าน "กาญจนาพานิช" อีกแล้ว ++++++ อากาศช่วงกลางวันค่อนข้างร้อน เราเลยแวะดื่มน้ำเย็นๆ และทานขนมหวานกันที่ร้าน "กาญจนาพานิช" ++++++ สร้อยโลหะแบบแนวๆ สามารถสลักตัวอักษรเป็นชื่อเราได้ ++++++ ของที่ระลึกน่ารักแบบแฮนด์เมด บนแผงเล็กๆ ข้างทาง ฝีมือลูกสาวคุณลุงคนขายวาดเองเลย ++++++ เดินมาเกืือบสุดทางเดิน เจอร้านเสก๊ตรูป สองเด็กดื้อเลยขอเป็นแบบให้ศิลปินเขาวาดบ้าง ++++++ ใช้เวลาวาดภาพละประมาณ 10 นาที สนนราคาคนละ 90 บาท ++++++ ผลงานที่ออกมาสวยดีครับ อาจไม่เหมือนเป๊ะแต่ก็ถือว่ามีส่วนคล้าย ++++++ ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ให้ลึกซึ้ง +++ ตอนที่เราออกจากตลาดน้ำอัมพวาในช่วงบ่ายแก่ๆ ท้องฟ้าที่เคยมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝนมาตั้งแต่เช้า ก็กลับกลายเป็นฟ้าสดใสราวกับปาฏิหาริย์ ฟ้าสวยๆ แบบนี้น่าจะเหมาะกับการถ่ายภาพแนวสถาปัตยกรรม ดังนั้นเราจึงเลือกเดินทางไปเที่ยวชม "อาสนวิหารแม่พระบังเกิด" ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์ใกล้อัมพวา ที่ว่ากันว่าสวยงามและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ..... โบสถ์สวยแห่งนี้ ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลบางนกแขวก อำเภอบางคนที มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ "โกธิค" หลังคาเป็นยอดแหลมขึ้นไปบนฟ้า ตามความเชื่อเพื่่อให้อยู่ใกล้พระเจ้ามากที่สุด ตัวโบสถ์สร้างด้วยอิฐเผา ผนังฉาบด้วยปูนตำกับน้ำเชื่อมจากอ้อยใสสีดำเพื่อเพิ่มความแข็งแรง สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2433 (ค.ศ.1890) โดยบาทหลวงเปาโลซัลมอน มิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ใช้เวลาสร้างนานถึง 6 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์ นับจนถึงปัจจุบันก็มีอายุเก่าแก่กว่า 122 ปีแล้ว .....+++ อาสนวิหารแม่พระบังเกิด เป็นโบสถ์คริสต์ใกล้อัมพวา ที่ว่ากันว่าสวยงามและเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ++++++ โบสถ์แห่งนี้มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิค มียอดแหลมของอาคารพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ++++++ ปัจจุบันอาสนวิหารแม่พระบังเกิด มีอายุเก่าแก่กว่า 122 ปีแล้ว +++ ตัวโบสถ์จะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดังนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายภาพควรจะเป็นช่วงบ่ายจนถึงเย็น จะได้ภาพสวยสดใสไม่ย้อนแสง น่าเสียดายช่วงที่ผมไป ทางโบสถ์มีการจัดงานบรรพชาของบาทหลวงพอดี ลานกว้างด้านหน้าโบสถ์จึงมีเต๊นท์จำนวนมากกางไว้เต็มพื้นที่ไปหมด ไม่สามารถเก็บภาพมุมกว้างของโบสถ์ได้เลยเพราะถูกเต๊นท์บัง ต้องอาศัยเลนส์มุมกว้างพิเศษ ถ่ายภาพในมุมเงยใกล้ตัวโบสถ์ เลยได้ภาพมาเพียงไม่กี่ภาพเท่าที่เห็นในบล็อกนี้ ..... สำหรับภายในโบสถ์จะประดับด้วย "ภาพกระจกสี (Stained Glass)" จากฝรั่งเศส ส่วนใหญ่เป็นภาพนักบุญ เมื่อแสงลอดผ่านกระจกสี จะทำให้ภาพโดดเด่นมีสีสันสวยงาม นอกจากนี้ยังมีธรรมาสน์เทศน์ อ่างสำหรับใช้ในพิธีรับศีลล้างบาป เชิงเทียนลักษณะต่างๆ และรูปแกะสลักของเทพหลายองค์ตามพระคัมภีร์ไบเบิล ก่อนเข้าชมภายในโบสถ์ควรติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนทุกครั้ง และหลีกเลี่ยงการเข้าชมในวันจันทร์, อังคาร เพราะเป็นวันที่มักมีการประกอบศาสนกิจสำคัญในโบสถ์ ....+++ ประตูทางเข้าโบสถ์ ประดับแผ่นโลหะดุนนูนเป็นลวดลายตามพระคัมภีร์ สวยงามมาก ++++++ รูปปั้นทูตสวรรค์ที่อยู่ด้านในโบสถ์ ++++++ ภายมุมกว้างในโบสถ์ ดูแล้วโอ่โถงและอลังการจริงๆ ++++++ มุมสงบมุมหนึ่งภายในอาสนวิหารแม่พระบังเกิด ++++++ ภาพกระจกสี (Stained Glass) จากฝรั่งเศส เป็นภาพพระแม่มารีและพระเยซู ++++++ ภาพกระจกสีส่วนใหญ่ จะเป็นภาพจากพระคัมภีร์ ++++++ ภาพนักบุญ Saint Matthias ++++++ ภาพนักบุญ Saint Madeleine +++ สถานที่สุดท้ายที่เราแวะเที่ยวก่อนเดินทางกลับบ้าน ก็คือ "โบสถ์ปรกโพธิ์" ที่ค่ายบางกุ้ง อำเภอบางคนที ซึ่งได้รับการโปรโมทให้เป็นหนึ่งใน Unseen in Thailand ด้วย โบสถ์แห่งนี้เป็นอุโบสถหลังเดิมของวัดบางกุ้ง ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตัวโบสถ์จะถูกปกคลุมด้วยรากไม้ใหญ่ 4 ชนิด คือโพธิ์ ไทร ไกร และกร่าง รากไม้เหล่านี้ช่วยยึดให้โบสถ์คงรูปอยู่ได้ ทั้งยังให้้ความรู้สึกขรึมขลังอีกด้วย ภายในมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อโบสถ์น้อย (หลวงพ่อนิลมณี) และผนังโบสถ์ด้านในยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติให้ชมกันอีกด้วย .....+++ เราแวะกราบพระที่ "โบสถ์ปรกโพธิ์" ในค่ายบางกุ้ง เพื่อความเป็นศิริมงคลก่อนเดินทางกลับบ้าน ++++++ ตัวโบสถ์จะถูกปกคลุมด้วยรากไม้ใหญ่ 4 ชนิด คือโพธิ์ ไทร ไกร และกร่าง ++++++ ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อโบสถ์น้อย (หลวงพ่อนิลมณี) ++++++ มุมถ่ายภาพตลกๆ ที่จัดไว้ด้านข้างโบสถ์ ++++++ รูปปั้นหุ่นนักมวยไทยภายในค่ายบางกุ้ง ++++++ หุ่นแ่ต่ละคู่จะแสดงท่าแม่ไม้มวยไทยแตกต่างกันไป ในภาพเป็นท่า "มอญยันหลัก" ++++++ รูปปั้นหุ่นนักมวยคู่นี้ แสดงแม่ไม้มวยไทยท่า "หักงวงไอยรา" ++++++ สองเด็กดื้อกำลังสนุกกับการโพสต์ท่าต่อสู้กับหุ่นนักมวยไทย +++ แม้ว่าระยะเวลาเพียงสองวันหนึ่งคืนใน "อัมพวา" อาจจะดูไม่มากมายนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมได้รู้จักกับอัมพวามากขึ้นกว่าเดิม จากที่เมื่อก่อนผมคอยเอาแต่หลบเลี่ยงการมาเที่ยวที่นี่อยู่หลายปี ครั้นพอได้มาสัมผัสกับอัมพวาเข้าจริงๆ กลับรู้สึกผิดคาดไปมาก อาจเป็นเพราะผมโชคดีี่ที่ได้มาเที่ยวในช่วงที่อัมพวามีนักท่องเที่ยวไม่มากจนเกินไปนัก เลยพอจะได้พบเห็นแง่มุมดีๆ ของที่นี่อยู่บ้าง แต่ถ้าหากมาแล้วเจอสภาพคนแน่นขนัด ถึงขนาดต้องไหลตามกันไปแบบที่หลายๆ คนเคยเจอ ผมอาจจะรู้สึกเข็ดอัมพวาเหมือนกับพวกเขาเหล่านั้นก็เป็นได้ ทางที่ดีถ้าเลี่ยงได้ก็อย่ามาเที่ยวในช่วงวันหยุดเทศกาลจะดีกว่านะครับ สำหรับทริปนี้ก็คงต้องขอจบเพียงเท่านี้ ไว้พบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ .....
ขอตามมาเที่ยวGoodbye อัมพวาด้วยคนค่ะ
เห็นแล้วคิดถึงอัมพวาจัง
ขอให้มีความสุขกับการทำงานนะคะ