คำขวัญข้างต้น บางคนอาจเคยได้ยิน บางคนก็อาจไม่คุ้นเคย ก็ขอบอกให้ทราบตรงนี้เลยแล้วกันครับ ว่าคำขวัญดังกล่าว เป็น "คำขวัญของจังหวัดปราจีนบุรี" สถานที่ทำงานของผมเองครับ วันนี้อยู่ว่างๆ ในวันหยุด ผมขอถือโอกาสนี้พาเที่ยวจังหวัดปราจีนบุรีไปตามสถานที่หรือจุดน่าสนใจที่ปรากฎอยู่คำขวัญจังหวัด เผื่อจะได้เป็นข้อมูลให้กับผู้สนใจที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดปราจีนบุรีต่อไปครับ"ศรีมหาโพธิ์คู่บ้าน" ประโยคแรกในคำขวัญหมายถึง "ต้นศรีมหาโพธิ์" ซึ่งเป็นกิ่งพันธุ์ของต้นพระศรีมหาโพธิ์อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า กิ่งพันธุ์นี้เจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขามาแต่สมัยเมืองโบราณศรีมโหสถจวบจนปัจจุบัน ตั้งอยู่ในเขตวัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ นับเป็นต้นไม้ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานนับพันปี และมีความสำคัญจนถูกนำไปใช้เป็นตราประจำจังหวัดปราจีนบุรีเลยครับ+++ ภาพต้นศรีมหาโพธิ์ ที่ปรากฏอยู่ในตราประจำจังหวัดปราจีนบุรี ++++++ ต้นศรีมหาโพธิ์ อยู่ในบริเวณวัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ แห่งนี้ +++ "ต้นศรีมหาโพธิ์" เป็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ลำต้นวัดโดยรอบประมาณ 20 เมตร สูงประมาณ 30 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 25 เมตร มีเรื่องราวเล่าว่าเป็นหน่อจากต้นโพธิ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งบำเพ็ญเพียรและตรัสรู้ ต่อมาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ภิกษุณีสังฆมิตาเถรี ซึ่งไปเผยแพร่พระพุทธศาสนายังลังกาทวีปพร้อมกับพระมหินทร์เถระ ได้นำเอาหน่อโพธิ์ไปปลูกยังลังกา และในระยะหลังพุทธศาสนิกชนในบริเวณอื่นที่อยู่ไกล ก็ได้นำเอาหน่อพระศรีมหาโพธิ์นี้ไปปลูกยังท้องถิ่นของตนเพื่อเป็นพุทธานุสติ และสันนิษฐานว่าต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิต้นนี้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาจากเมืองอนุราชปุระ ประเทศลังกา มาปลูกเป็นต้นแรกเมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว ต้นศรีมหาโพธิ์นี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดปราจีนบุรี เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวปราจีนบุรีและจังหวัดใกล้เคียง มีงานนมัสการเวียนเทียนรอบพระศรีมหาโพธิในวันวิสาขบูชาเป็นประจำทุกปี+++ ต้นศรีมหาโพธิ์ เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ++++++ ใบโพธิ์บนต้นศรีมหาโพธิ์ สืบทอด DNA มาจากต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับเมื่อคราวตรัสรู้ +++"ไผ่ตงหวานคู่เมือง"ประโยคที่สองในคำขวัญ หมายถึง "ไผ่ตงหวาน" ของ จ. ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ นับเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัด มีการปลูกเป็นสวนขนาดใหญ่แห่งแรกของประเทศปราจีนบุรีปลูกไผ่ตงมากในเขต อ. เมือง ไผ่ตงปราจีนบุรีมีรสหวานมากกว่ารสขื่น ด้วยสภาพภูมิอากาศซึ่งได้รับอิทธิพลความชื้นจากเทือกเขาใหญ่ เอื้อต่อการเจริญเติบโตของไผ่ตง ประกอบกับการคัดเลือกสายพันธุ์รวมถึงวิธีการปลูกของชาวสวนซึ่งเป็นภูมิปัญญาถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นกล่าวคือ เป็นการปลูกแบบ "ไผ่หมก" เมื่อไผ่เริ่มแทงหน่อชาวสวนจะใช้ถุงพลาสติกที่เรียกกันว่าถุงดำ บรรจุขี้เถ้าหรือแกลบ แล้วคว่ำถุงครอบหน่อไผ่ไว้จนกระทั่งหน่อโต วิธีนี้นอกจากป้องกันแมลงแล้วยังทำให้หน่อไม้มีสีขาว เนื้อนุ่มไร้เสี้ยน และรสชาติหวานอร่อยไผ่ตงจะเริ่มแตกหน่อเมื่อมีอายุ 3 ปี และจะขุดหน่อได้ตั้งแต่เดือน มี.ค.-ต.ค. ปัจจุบันไผ่ตงที่นิยมปลูกมากที่สุดในปราจีนบุรีมี 2 สายพันธุ์ คือ ตงหม้อหรือตงใหญ่ และตงดำหรือตงกลาง ทั้งสองพันธุ์นี้ให้หน่อใหญ่ น้ำหนักดี เนื้อหน่อไม้ละเอียด ไม่มีเสี้ยน รสชาติหวาน นอกจากนี้ยังปลูกไผ่ตงพันธุ์ตงเขียวและพันธุ์ตงเล็กด้วยข้อมูลจาก : //www.nairobroo.com+++ ไผ่ตงหวาน ผลผลิตทางการเกษตรที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปราจีนบุรี ++++++ มาปราจีนบุรี อย่าลืมแวะซื้อหน่อไม้ไผ่ตงหวาน รสชาติดีกลับบ้านด้วยนะครับ +++"ผลไม้ลือเลื่อง"ประโยคที่สามในคำขวัญ หมายถึง "ผลไม้ของเมืองปราจีนบุรี" ที่ได้ชื่อว่ารสชาติดีไม่เป็นรองใครครับจังหวัดปราจีนบุรีมีแม่น้ำปราจีนบุรีไหลผ่าน จึงมีความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ เหมาะสมกับการทำสวนผลไม้นานาชนิด ผลไม้ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปราจีนบุรีมีหลายชนิด ได้แก่ "ทุเรียนปราจีน" ที่มีเนื้อหวาน กลิ่นไม่แรง เก็บไว้ได้นานกว่าทุเรียนพันธุ์อื่น ผลไม้อื่นๆ ที่ขึ้นชื่อก็คือ "กระท้อนพันธุ์อีล่าและพันธุ์ปุยฝ้าย" ซึ่งมีผลโต เนื้อในสีขาวนวลเป็นปุยนุ่มหนา รสชาติถูกปากผู้บริโภค "มะปรางหวานปราจีนบุรี" ที่มีลักษณะเด่นกว่าที่อื่นคือ ผลโต ผิวสวย เปลือกบาง เนื้อหนา เมล็ดเล็ก รสชาติหวานมัน และมีกลิ่นหอม น้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 12-13 ผล (ผลขนาดเท่าไข่ไก่) ต่อกิโลกรัม+++ ผลไม้หลากหลายชนิด เลือกซื้อได้ที่ปราจีนบุรี +++ สำหรับท่านที่สนใจ อยากหาซื้อผลไม้เป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้าน ผมขอแนะนำให้ไปที่ "ตลาดผลไม้หนองชะอม" ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสุวรรณศร (รังสิต-นครนายก) กม. 151 บริเวณทางแยกที่จะเลี้ยวมาทางจังหวัดปราจีนบุรีครับ ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดกลางขายสินค้าพื้นเมือง ผลไม้ ของฝากจังหวัดปราจีนบุรีและจากจังหวัดอื่น ๆ ของขายในตลาดส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าภายในจังหวัดปราจีนบุรี โดดเด่นด้วยผลไม้ตามฤดูกาล - ทุเรียนเนื้อหนา กระท้อนเนื้อนุ่ม มังคุดหวานหอม ส้มโอ มะไฟ และหน่อไม้ไผ่ตงซึ่งปัจจุบันมีขายตลอดทั้งปี+++ ตลาดหนองชะอม แหล่งขายผลไม้และของฝากแหล่งใหญ่ของปราจีนบุรี +++ นอกจากนี้แม่ค้ายังรับสินค้าจากต่างถิ่นมาจำหน่ายในช่วงนอกฤดูผลไม้ของปราจีนบุรี สินค้าจึงมีความหลากหลายผลัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาล นักท่องเที่ยวที่เดินทางจะขากลับหรือขาไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวในเขตจังหวัดปราจีนบุรีหรือจังหวัดใกล้เคียง เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติทับลาน กิจกรรมล่องแก่งหินเพิง ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นต้น จะแวะเลือกซื้อไปรับประทานระหว่างการเดินทางหรือเป็นของฝากกลับบ้านสามารถซื้อได้ตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ แม่ค้าเปิดขายทุกวันไม่เว้นวันหยุดครับ+++ แวะมาเที่ยวปราจีนบุรีแล้ว อย่าลืมเลือกซื้อผลไม้กลับบ้านกันนะครับ +++"เขตเมืองทวารวดี"ประโยคสุดท้ายในคำขวัญ หมายถึง จังหวัดปราจีนบุรีมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน นับย้อนไปได้ถึงสมัยทวารวดี โดยมีการพบหลักฐานทางโบราณคดีหลายแห่ง ที่สำคัญคือ เมืองโบราณศรีมโหสถและเมืองโบราณสระมรกต ที่มีอายุกว่า 2,500 ปี ซึ่งผมจะพาไปเที่ยวชมกันในวันนี้ครับกลุ่มโบราณสถานเมืองศรีมโหสถ ตั้งอยู่ที่บ้านโคกวัด ตำบลโคกปีบ เป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดีขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นรูปไข่ หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน มีเนื้อที่ประมาณ 700 ไร่ ลักษณะของเมืองมีคูเมือง และคันดินกำแพงเมืองล้อมรอบคูน้ำ ภายในเมืองมีโบราณสถาน เนินดิน สระน้ำ บ่อน้ำ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปกว่า 100 แห่ง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยทวารวดี หลักฐานส่วนใหญ่ที่พบมักจะเกี่ยวเนื่องกับศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู เช่น เทวาลัย เทวรูป ศิวลึงค์ภายในเมืองโบราณแห่งนี้ยังคงปรากฏสระน้ำโบราณ 2 แห่ง คือ "สระแก้วและสระขวัญ" อยู่ห่างจากคูเมืองประมาณ 100 ม. ลักษณะเป็นสระรูปสี่เหลี่ยม ที่ขอบสระแก้วมีภาพสลักรูปสัตว์บนศิลาแลง เช่น ช้าง สิงห์ เสือ มกร ฯลฯ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเป็นสระน้ำที่ใช้ประกอบพิธีกรรม+++ สระแก้ว เป็นสระน้ำโบราณที่อยู่ในเขตเมืองโบราณศรีมโหสถ ++++++ ที่ดื้อใหญ่ชี้อยู่ เป็นแผ่นหินจำลองแสดงภาพสลักรูปสัตว์ที่อยู่ตามขอบสระแก้ว +++กลุ่มโบราณสถานสระมรกต ตั้งอยู่ที่วัดสระมรกต ตำบลโคกไทย อำเภอศรีมโหสถ เป็นกลุ่มโบราณสถานทางพุทธศาสนาขนาดใหญ่ ที่สร้างซ้อนทับกันหลายสมัย เริ่มตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 18 ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างศิลาแลงและอิฐ ส่วนใหญ่คงเหลือเฉพาะรากฐานอาคารเท่านั้น +++ ซุ้มทางเข้าวัดสระมรกตซึ่งเป็นที่ตั้งโบราณสถานสระมรกต ++++++ โบสถ์วัดสระมรกต จะเห็นซุ้มประตูเป็นโลหะ สวยแปลกตาดี ++++++ พระประธานภายในโบสถ์วัดสระมรกต ++++++ ดื้อใหญ่ขอไหว้พระก่อน เดี๋ยวค่อยไปชมโบราณสถานกัน +++ ก่อนที่จะเดินทางไปชมสถานที่จริงของกลุ่มโบราณสถานสระมรกต ขอแนะนำให้เข้าเยี่ยมชม "อาคารศรีมโหสถ" ที่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเมืองศรีมโหสถ เพื่อเป็นแนวทางในการเยี่ยมชมและปูพื้นทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศและความสัมพันธ์กับกลุ่มเมืองโดยรอบ ซึ่งจะช่วยให้เราได้มีจินตนาการย้อนกลับไปเมื่ออดีตก่อนพุทธศตวรรษที่ 11 ได้เป็นอย่างดีเลยครับ+++ เข้าชมนิทรรศการในอาคารศรีมโหสถแห่งนี้ ก่อนไปชมสถานที่จริง ++++++ แผนผังแสดงสภาพภูมิประเทศและความสัมพันธ์กับกลุ่มเมืองโดยรอบ ++++++ วัตถุโบราณบางส่วนที่จัดแสดงอยู่ในอาคารศรีมโหสถ ++++++ ดื้อเล็กยิ้มดีใจที่ได้มาเที่ยวอีกแล้ว ++++++ แบบจำลองเมืองโบราณสระมรกต อยู่หน้าอาคารศรีมโหสถ +++ "กลุ่มโบราณสถานสระมรกต" อยู่ห่างมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้จากเมืองมโหสถราว 3 กิโลเมตร ตั้งชื่อตามสระน้ำขนาดใหญ่ เรียกตามภาษาปากชาวบ้านว่า สระมรกต เป็นกลุ่มโบราณสถานที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเขมรโบราณ กำหนดอายุราว พ.ศ. 1400-1800 ประกอบไปด้วย สระมรกต สระบัวล้า ศาสนสถานประจำโรงพยาบาล และร่องรอยของสถูปเก่า ต่อมามีการสร้างวัดขึ้นใหม่ชื่อวัดสระมรกต อยู่ภายในบริเวณกลุ่มโบราณสถานด้วย+++ ศิลาแลงที่เห็นเป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานสระมรกต +++"สระมรกต" เป็นอ่างเก็บน้ำ อย่างที่เรียกว่า บาราย กว้าง 115 เมตร ยาว 214 เมตร ลึก 3.5 เมตร เนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการบริโภคน้ำของชาวเมืองในราวพุทธศตวรรษที่ 15 - 18 ปัจจุบันมีน้ำตลอดปี กรมศิลปากรดูแลให้คงสภาพเดิมไว้+++ สระมรกต ในปัจจุบันเห็นเป็นเพียงสระน้ำขนาดย่อมๆ +++ อาคารส่วนใหญ่ที่โบราณสถานแห่งนี้พังทลายลงเหลือเพียงส่วนฐาน แต่เมื่อพิจารณาจากแผนผังแล้วก็ถือว่าอยู่ในแบบมาตรฐานการวางแผนผังศาสนสถานประจำโรงพยาบาล(อโรคยาศาล) ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าทั่วไป โดยเพิ่มเติมบ่อน้ำทางด้านหลังของปราสาทประธาน และอาคารอิฐ ที่ปัจจุบันเรียกว่าวิหารรอยพระพุทธบาท อยู่ทางด้านในสุด ซึ่งคงเป็นเพราะว่าศาสนสถานประจำโรงพยาบาลแห่งนี้สร้างทับลงบนวิหารสำหรับประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่มีมาก่อนนั่นเอง+++ อดีตอาคารโบราณสถาน ขณะนี้หลงเหลือให้เห็นเพียงแค่ส่วนฐานเท่านั้นเอง ++++++ ศิลาแลงก้อนนี้เคยเป็นส่วนเศียรพญานาคเจ็ดเศียร ++++++ วันนี้พาสองเด็กดื้อมาชมอดีตที่เคยรุ่งเรืองของจังหวัดบ้านเกิดของเค้า ++++++ ดื้อใหญ่บริเวณเสานางเรียงด้านข้างโบราณสถาน ++++++ ที่เห็นล้อมรั้วกั้นอยู่เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่บริเวณด้านหลังของปราสาทประธาน ++++++ ในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทุกวันนี้ก็ยังมีน้ำอยู่ +++"รอยพระพุทธบาทคู่" อยู่ภายในวิหารรอยพระพุทธบาทในเขตโบราณาสถานสระมรกต สลักลึกลงไปในพื้นศิลาแลงธรรมชาติ วัดขนาดความกว้างรวมของพระบาททั้งสองข้างรวม 3.10 เมตร พระบาทข้างซ้ายยาว 3.50 เมตร พระบาทข้างขวายาว 3.30 เมตร กำหนดอายุอยู่ช่วงราว พ.ศ. 1484 เมื่อเทียบจากจารึกเนินสระบัวภายในรอยพระพุทธบาททั้งสองข้างสลักรูปธรรมจักรอยู่ตรงกึ่งกลาง แสดงให้เห็นถึงลักษณะทางประติมาวิทยาอย่างเก่าแก่ที่นิยมอยู่ในงานช่างอินเดีย และลังกา ซึ่งมักจะจำหลักรูปธรรมจักรไว้ที่กึ่งกลางของพระบาท เพื่อแสดงเป็นสัญลักษณ์ว่ารอยพระบาทนี้เป็นของพระพุทธเจ้า หลายครั้งอาจจะสลักลวดลายมงคลอื่นๆ แวดล้อม เช่น ศรีวัตสะ ตรีรัตน์ สวัสดิกะ ฯลฯ ประกอบอยู่ด้วย ระหว่างพระบาทขุดเซาะเป็นร่องรูปกากบาทมีหลุมกลมอยู่ตรงกึ่งกลาง นักวิชาการสันนิษฐานว่ามีไว้สำหรับปักเสาฉัตรหรือเสาเพลิงรองรับเครื่องหมายตรีรัตน์หรือธรรมจักรรอยพระพุทธบาทคู่เมืองศรีมโหสถนี้ สันนิษฐานว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 14 เป็นบริโภคเจดีย์สมมติตามคติลังกา เพื่อแสดงว่าพระพุทธศาสนาได้เผยแพร่มา ณ ดินแดนแห่งนี้แล้ว รอยพระพุทธบาทคู่แห่งนี้ เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวปราจีนบุรีเป็นอย่างมาก และทุกปีในช่วงวันมาฆบูชา ชาวปราจีนพร้อมใจกันจัดงานแสดงแสงเสียงยิ่งใหญ่ และมีพิธีเวียนเทียนรอบรอยพระพุทธบาทคู่ เรียกชื่องานว่า "มาฆปูรมีศรีปราจีน" ซึ่งผมจะได้มาแนะนำให้รู้จักกับงานนี้ในโอกาสต่อๆ ไปครับ+++ รอยพระพุทธบาทคู่ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในอาคารหลังคาคลุมแห่งนี้ ++++++ ให้ดูภาพรอยพระพุทธบาทคู่องค์จำลองก่อนไปดูของจริงนะครับ ++++++ อันนี้เป็นภาพรอยพระพุทธบาทคู่ของจริง ปัจจุบันรอยสลักดูเลือนลางลงไปมากแล้ว +++ หลังจากชมเมืองโบราณของในเขตอำเภอศรีมโหสถทั้งสองแห่งแล้ว แนะนำให้ไปกราบนมัสการพระพุทธรูปเก่าแก่สมัยทวารวดี นั่นก็คือ"หลวงพ่อทวารวดี" ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ในวิหารหน้าสถานีตำรวจศรีมโหสถ พระพุทธรูปองค์นี้พบที่เนินดินที่อยู่อาศัยนอกเมืองศร๊มโหสถทางทิศตะวันออก ภายในนิคมโรคเรื้อน พบโดยผู้ป่วยโรคเรื้อนขณะพรวนดินเพื่อทำเกษตรกรรม เมื่อปี พ.ศ. 2514+++ วิหารหลวงพ่อทวารวดี อยู่หน้าสถานีตำรวจอำเภอศรีมโหสถ +++องค์พระมีลักษณะเป็นพระพุทธรูปยืนปางประธานธรรม ทำจากหินทรายสีเขียวสูง 1.63 เมตร ลักษณะพระพักตร์แบน ริมฝีปากแบะ คิ้วต่อกันเป็นรูปปีกกา เม็ดพระศกใหญ่ พระทวารวดีองค์นี้เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวอำเภอศร๊มโหสถและชาวปราจีนบุรีเป็นอย่างมากเลยครับ+++ หลวงพ่อทวารวดี พระพุทธรูปเก่าแก่อายุนับพันปี ++++++ วันนี้สองดื้อได้มากราบขอพรหลวงพ่อทวารวดีด้วย +++ ไม่ไกลจากอำเภอศรีมโหสถ ก็ยังมีโบราณสถานที่น่าสนใจให้ชมกันอีก ซึ่งโบราณสถานดังกล่าวจะอยู่ในเขต "อำเภอศรีมหาโพธิ" ห่างจากอำเภอศรีมโหสถประมาณ 14 กิโลเมตร ซึ่งสามารถจัดเป็นทริปเดียวกันได้หากมาเที่ยวชมโบราณสถานในจังหวัดปราจีนบุรีครับ แหล่งโบราณคดีในเขตอำเภอนี้ได้แก่ "โบราณสถานลายพระหัตถ์" ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองโพรง อำเภอศรีมหาโพธิ เลยที่ว่าการอำเภอศรีมหาโพธิไปทางบ้านโคกขวาง ประมาณ 1.5 กิโลเมตร เป็นลายพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจารึกไว้บนแผ่นศิลาแลงซึ่งเป็นซากโบราณวัตถุสมัยลพบุรี อายุราวพุทธสตวรรษที่ 12-13 ครั้งเมื่อเสด็จประพาสปราจีนบุรี ปี พ.ศ. 2451+++ โบราณสถานลายพระหัตถ์ ++++++ ลายพระหัตถ์รัชกาลที่ 5 ที่จารึกอยู่บนศิลาแลงโบราณ++++++ วันนี้พาดื้อใหญ่มากราบนมัสการลายพระหัตถ์ด้วย+++"โบราณสถานหลุมเมือง" อยู่ฝั่งถนนตรงข้ามกับโบราณสถานลายพระหัตถ์ ลักษณะเป็นหลุมขนาดต่างๆ ขุดเจาะลึกลงไปในศิลาแลงธรรมชาติ ไม่ทราบว่าขุดขึ้นในสมัยใดและทำขึ้นเพื่อเหตุอะไร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2451 มีพระราชสันนิษฐานว่า "เป็นหลุมสำหรับโขลกปูนที่จะปั้นลวดลายประดับปรางค์ปราสาท" แต่คำบอกเล่าของคนรุ่นเก่ากล่าวว่า เป็นหลุมสำหรับเล่นกีฬาพื้นบ้านเรียกว่า "การเล่นหลุมเมือง"+++ หลุมตื้นๆ บนศิลาแลง ที่โบราณสถานหลุมเมือง ++++++ สองดื้อ กำลังดื้ออยู่ในหลุมเมือง +++"เทวสถานพานหิน" ตั้งอยู่ที่บ้านโคกขวาง ตำบลหนองโพรง อำเภอศรีมหาโพธิ เลยที่ว่าการอำเภอไปทางบ้านโคกขวางประมาณ 2 กิโลเมตร แล้วแยกขวาเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร สันนิษฐานว่าเป็นเทวาลัยประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 แห่งเจนละ ตรงกลางของซากเทวาลัยมีฐานของเทวรูป ตะแคงอยู่มีลักษณะคล้ายพานจึงเรียก "พานหิน"+++ สองดื้อขออาสาพาไปชมเทวสถานพานหินกันนะครับ ++++++ ส่วนฐานของเทวรูปลักษณะคล้ายพาน เป็นที่มาของชื่อเทวสถานพานหิน +++ ถึงตรงนี้ก็เป็นอันว่าผมได้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวตามคำขวัญจังหวัดปราจีนบุรีครบถ้วนแล้วนะครับ หวังว่าการแนะนำแหล่งท่องเที่ยวจากการที่ผมได้ไปสัมผัสมาด้วยตัวเองครั้งนี้ คงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่แวะเวียนผ่านมาท่องเที่ยวที่จังหวัดปราจีนบุรีได้มากพอสมควรนะครับ เพราะเท่าที่ผมค้นดูข้อมูลตาม website ต่างๆ พบว่าข้อมูลจากประสบการณ์จริงของสถานที่ท่องเที่ยวหล่านี้ยังมีค่อนข้างน้อยเลยล่ะครับ สำหรับบล็อกนี้ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ ไว้พบกันใหม่บล็อกหน้า สวัสดีครับ
เหมือนได้มาเที่ยวเมืองปราจีนบุรีจนครบเลยนะคะ
จำได้ว่าตอนนั้นที่ไปวังน้ำเขียว
ก็ผ่านเส้นทางนี้เหมือนกันค่ะ
แต่เวลามีน้อย เลยไม่ได้แวะเที่ยวอ่ะ...
ผ่านปราจีนทีไร
ก็ซื้อหน่อไม้กลับมาทุกทีค่ะ
เอามาให้แม่ต้มกับกระดูกหมู หวาน อร่อยจริงๆ
(ไม่พ้นเรื่องกินอีกแล้วสิเรา....)