|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
- รวม Review หนังสั้นประจำเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน 2550
- รักแห่งสยาม : บทพล่ามถึงความรักที่ลอยอยู่รอบตัวเรา
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน ตุลาคม 2550
- ร่าง พรบ. ฉบับใหม่... กูไม่ใช่เกาหลีเหนือโว้ย!!
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550(2)
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550(1)
- ชำแหละความชิบหายของ "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ"
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน สิงหาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ขนาดยาวประจำเดือน สิงหาคม 2550 (2)
- รวม Review ภาพยนตร์สั้นที่ได้ดูในเดือนสิงหาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ขนาดยาวประจำเดือน สิงหาคม 2550 (1)
- รวม Review ภาพยนตร์ 16 เรื่องจาก Bangkok Film
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนกรกฎาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมิถุนายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนพฤษภาคม 2550
- Memories of Matsuko แค่อยากเป็นคนที่ถูกรัก แค่อยากเป็นคนที่ถูกใครสักคนเข้าใจ
- Pan's Labyrinth มันหนังรัฐศาสตร์ชัดๆเลยครับพี่น้อง!!!
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนเมษายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมีนาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนกุมภาพันธ์ 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมกราคม 2550
- Fur: An Imaginary Portrait of Diane Arbus (สหรัฐอเมริกา, Steven Shainberg, 2006)
- Open Season (สหรัฐอเมริกา, กำกับสามคน, 2006)
- Thank You for Smoking (สหรัฐอเมริกา, Jason Reitman, 2005)
- Earthcore - หนังสั้นปฐมบทของ "13 เกมสยอง" (ไทย, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, อนุโลมว่า 2550 ละกัน)
- Final Score-365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ (ไทย, โสรยา นาคะสุวรรณ, 2550)
- A Stranger of Mine aka Unmei janai hito (ญี่ปุ่น, Uchida Kenji, 2005)
- Velvet Goldmine (สหราชอาณาจักร+สหรัฐอเมริกา, Todd Haynes, 1998)
- ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคองค์ประกันหงสา (ไทย, หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, 2550)
- Dead Poets Society (สหรัฐอเมริกา, Peter Weir, 1989)
- ครูสมศรี (ไทย, หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, 2528)
- Reservoir Dogs (สหรัฐอเมริกา, Quentin Tarantino, 1992)
- 10 หนังสั้นในโครงการ "ชวนเด็กดูหนัง"
- Conflict (สหภาพโซเวียต, ใครกำกับ?, ปีไหนก็ไม่รู้)
- Takeshis' (ญี่ปุ่น, Kitano Takeshi, 2005)
- Wordplay (สหรัฐอเมริกา, Patrick Creadon, 2006)
- The Black Dahlia (เยอรมนี+สหรัฐอเมริกา, Brian de Palma, 2006)
- Hidden aka Cache (ฝรั่งเศส+ออสเตรีย+เยอรมนี+อิตาลี, Michael Haneke, 2005)
- Perfume: The Story of a Murderer (เยอรมนี+ฝรั่งเศส+สเปน, Tom Tykwer, 2006)
- Blood Diamond (สหรัฐอเมริกา, Edward Zwick, 2006)
- Nanoguy Awards 2006
- Nanoguy Awards 2006 ช่วงที่ 2
- Nanoguy Awards 2006 ช่วงที่ 1
- จมโลกเซลลูลอยด์
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 4 : อำมหิตพิศวาส/ เปนชู้กับผี/ Stormy Night/ หมากเตะรีเทิร์น/ mastersOFhorror
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 3 : Days of Glory/ Candy/ The Pianist / Infernal Affairs /Monster House
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 2 :: The Last Emperor/ DOA/ ผีคนเป็น/ Climates/ 21 Grams/ The Departed
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 1 : Cars/ The Ant Bully/ 13 เกมสยอง/ A Soap/ Paris, I Love You/ Rob-B-Hood
- แซ่บหนัง ทั้งเทอม!!
- แซ่บเรื่องหนัง(7-จบ) : The Wind that Shakes the Barley, WTC, The Devil Wears Prada, The Child
- แซ่บเรื่องหนัง(6) : Me and Youฯ, The Thomas Crown Affair, The Host, Seasons Change, Death Note
- แซ่บเรื่องหนัง(5) : Jasmine Women/ My Super Ex-Girlfriend/ Dreamer/ An Inconvenient Truth/ Cube
- แซ่บเรื่องหนัง(4) : โคตรรักเอ็งเลย/ The Lake House/ House of Wax/ Miami Vice/ United 93/ Brick
- แซ่บเรื่องหนัง(3) : Superman Returns/ แก๊งชะนีกับอีแอบ/ The Alibi/ Lady in the Water/ Sad Movie
- แซ่บเรื่องหนัง(2) : Don't Tell/ X-Men 3/ หนูหิ่น เดอะมูฟวี่/ The Bow/ Pirates of the Caribbean 2
- แซ่บเรื่องหนัง(1) : Sympathy For Mr Vengeance/ The Lover/ Spirited Away/ The Omen/ Scary Movie 4
- ต้มยำรวมมิตร(3-จบ) Poseidon/ มอ๘/ Match Point/ The Da Vinci Code/ Kinsey/ Always/ ก้านกล้วย
- ต้มยำรวมมิตร(2) ลาง-หลอก-หลอน/ The Wild/ Red Lights/ Perhaps Love/ Date Movie/ Ice Age 2/ M:I:3
- ต้มยำรวมมิตร(1) Capote/ V For Vendetta/ Inside Man/ Where the Truth Lies/ Hoodwinked/ She's the Man
- จับฉ่ายตอนอวสาน : The Constant Gardener/ Transamerica/ Final Destination 3/ A History of Violence
- จับฉ่ายตอนที่ 2 : Paradise Now/ กระสือวาเลนไทน์/ Walk the Line/ Munich/ เด็กหอ/ Invisible Waves
- จับฉ่ายตอนที่ 1 : Memoirs of a Geisha/ Brokeback Mountain/ Sophie Scholl : The Final Days/ Tsotsi
- When Crash was crashed, เมื่อ Crash กลายเป็นแพะ
- Rashomon ธรรมชาติของมนุษย์
- March of the Penguins วิบากแห่งเผ่าพันธุ์
- Nanoguy Awards 2005
- The Chronicles of Narnia : The Lion, The Witch and the Wardrobe แฟนตาซีอลังการส่งท้ายระกาศก
- King Kong ลิงยักษ์ที่คนต้องเสียน้ำตาให้
- Harry Potter and the Goblet of Fire ขาดหาย ตกหล่น พอทน ดูไป
- Nana สองสาว สองฝัน แต่ชื่อเดียวกัน
- เที่ยวนี้ ว่าด้วยความตาย Corpse Bride / Saw 1-2
- คอมโบหนังโรง Into the Blue / Flightplan / 3-Iron / อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม
- คอมโบอีกซักทีดีไหม? Cinderella Man/Red Eye/เพื่อนสนิท
- Charlie and the Chocolate Factory หนังเด็ก ที่น่าให้ผู้ใหญ่ดู
- คอมโบอย่างบ้าคลั่ง กับหนัง 4 เรื่องรวด
- Team America : World Police เสียดสี ดีเดือด เลือดพล่าน
- The Machinist หลอนได้ที่ สยองได้ใจ
- The Island มนุษย์หนอมนุษย์...
- A Snake of June อสรพิษ=ตัณหา
- War of the Worlds ถึงมนุษย์ผู้หลงลำพอง
- Mr and Mrs Smith อารมณ์เดียวกับ "มหาลัยเหมืองแร่"
- มหาลัยเหมืองแร่ กินได้ แต่ไม่กลมกล่อม
- Star Wars Episode 3 : Revenge of the Sith เหมือนจะไม่ดี แต่ก็เหมือนจะดี...
- Sin City โหด ซาดิสต์ ถึงลูกถึงคน ถึงเลือดถึงเนื้อ...
- Kingdom of Heaven รบกันไปเพื่อ???
- I Am David เรียบๆ เฉยๆ พอดูได้
- Bangkok:Dangerous ร่วมกันยืนไว้อาลัยออกไซด์ แปง...
- The Interpreter เมื่อสามออสการ์โคจรมาพบกัน
- Hide and Seek ใครบอกตอนจบ บ้านบึ้ม...
- The Fog of War ม่านหมอกแห่งสงคราม
- And all razzies go to........ The Eye 10
- The Chorus หนังดีแบบดูง่ายๆ
- The Motorcycle Diaries เรียบๆ แต่ลุ่มลึก
- บุปผาราตรี เฟส 2 หนังเอามันส์ กระชากจิต...
- Hotel Rwanda กับความจัญไรของใจคน
- ความแตกต่างของหนังผู้หญิงและหนังผู้ชาย
- หลวงพี่เท่ง...ง่ะ
- ย้อนอดีต อันดากับฟ้าใส...
- เก็บตกสถิติออสการ์ (น่าอ่าน)
|
|
|
|
|
รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550(1)
หนังสั้น
Fat Girl (ไทย, ชัญชนา+ชญานุช อรรฆจิรัตฐิกาล, 2550, A+)
Fat Girl คือหนังสั้นเสียดสีสังคมที่ไร้ไดอะล็อก แต่รุ่มรวยด้วยท่วงทำนองดนตรีและท่วงท่าการร่ายรำของตัวละคร
หนังเปิดภาพได้เฮี้ยนโหดด้วยภาพของหญิงร่างอ้วนใส่ชุดเปิดหน้าท้องยืนอยู่หน้ากระจกเงา เธอเอาปากกาเมจิกขีดเส้นลงบนหน้าท้องของตัวเองราวกับจะมาร์คว่า "ตรงนี้คือส่วนเกิน" ก่อนจะเอามีดคัตเตอร์กรีดลงไปตามเส้นนั้นจนเลือดไหลโชกเป็นทางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หลังจากนั้นหนังก็ก้าวเดินเข้าสู่หนทางของเซอร์เรียล (55+) เปรียบเทียบสภาพสังคมปัจจุบันที่คนอ้วนจำนวนน้อยนิดต้องหันมาสู้รบปรบมือกับสาวหุ่นผอมเพรียวจำนวนมากกว่า โดยใน Fat Girl นำเสนอออกมาเป็นการร่ายรำแข่งขันกัน ซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ดูจะไม่มีหวังสำหรับสาวอ้วนเอาเสียเลย เหมือนกับค่านิยมที่ประดังประเดเข้ามาอย่างมหาศาลเรื่องของรูปร่างสวยเพรียว(จนบางคนเป็นอะนอเร็กเซียแล้วยังไม่สำเหนียก) ตรงนี้เฉียบคมมากๆ และดนตรีที่สาวๆเต้นกันนั้นก็ช่างเร้าอารมณ์คนดูเหลือเกิน
คิดไปคิดมา น่าจะมีอีกเรื่องชื่อ Black Girl นะ อาจจะเริ่มด้วยการที่สาวดำเอาสกอตช์ไบรท์มาขัดหน้าจนเลือดสาด แล้วก็มีออกมาแข่งประชันความขาวกัน อะไรเทือกนี้ (เปลี่ยนจากหน้าเป็นรักแร้ได้ตามอัธยาศัย) เพราะเริ่มจะเบื่อพวก Whitening แล้ว
กวนตีน (ไทย, เอกราช มอญวัฒ, 2550, B+)
ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่ //minihome.truelife.com/fat_film5/vdo/393071-1463009-1
หนังเรื่องที่สองของผู้กำกับคนนี้ (เอ่อ.. รู้จักกันผ่านเน็ต) ไม่ได้ดูเรื่องแรก แต่ก็เป็นกำลังใจให้พัฒนาฝีมือยิ่งๆขึ้นไปเน่อ ^^
ในส่วนของ "กวนตีน" ที่ทำส่ง fat film ครั้งที่ 5 นี่ก็ยินดีด้วยที่คนดู alert กับหนังเรื่องนี้มากกว่าหนังเรื่องอื่นที่ฉายในวันนั้น (รึเปล่า?) เพราะโทนหนังที่ต่างออกไป กับการนำเสนอเรื่องราวของวัยรุ่นอารมณ์ร้อนสามคน ด้วยสไตล์แบบ Mockumentary ได้ "กวนตีน" สมชื่อ และไม่ออกมาเป็นมิวสิกวิดีโอจนเกินไป (ซึ่งหนังใน fat film คราวนี้หลายเรื่องประสบปัญหา เพราะดันตั้งโจทย์ให้เอาชื่อเพลงมาเป็นชื่อหนัง ไปๆมาๆ เลยยัดเพลงเข้ามามากเกินไป)
เสียดายที่เสียงอัดมาไม่ดีหรือเปล่า เพราะว่าดูในเว็บแล้วไม่ค่อยได้ยินอะไรเลย แต่ไม่เป็นไร กลับไปอ่านบทที่ส่งมาให้ก็แล้ว ^^
หนังยาว
Ikiru aka To Live (ญี่ปุ่น, Kurosawa Akira, 1952, A+)
วาตานาเบ้ คันจิ ทำงานอยู่ในศาลากลางแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ใช้ชีวิตเหมือนข้าราชการทั่วไป routine แทบไม่เปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน ใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวมาหลายปีดีดักหลังจากเมียตาย ความสัมพันธ์กับลูกและลูกสะใภ้ก็เป็นไปในทางที่ไม่ดีนัก เหมือนคนแก่คนหนึ่งที่ใช้ชีวิตไปวันๆเพื่อให้ถึงวันตาย หลังจากที่รับรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร
จนวันหนึ่ง ลูกน้องสาวได้มาขอลาออกจากแผนกที่เขาเป็นหัวหน้า ด้วยเหตุผลที่ว่างานมันซ้ำๆเดิมๆ ชีวิตทำงานน่าเบื่อ เมื่อเขาได้ทำความรู้จักกับเธอ เธอพาเขาไปดูโลกใหม่ เปิดโลกทัศน์ ดูสังคมที่เปลี่ยนไป ดูชีวิตผู้คนที่เปลี่ยนแปลง เขารู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้เธอ และรู้สึกว่าเธอทำให้ชีวิตของเขามีความหมายมากขึ้นกว่าการทำงานเช้าชามเย็นชามไปวันๆ
จากชีวิตของข้าราชการวัยใกล้เกษียณที่หมดไฟในการทำงาน ชีวิตของพ่อที่ลูกชายไม่เคยใส่ใจ ชีวิตของชายแก่ที่ใกล้ตายเพราะเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เขาจึงเริ่มลงมือทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เพื่อค้นหาความหมายของคำว่า "ชีวิต" ที่ดูเหมือนเขาจะสูญเสียไปตั้งแต่ครองตนเป็นโสดหลังจากเมียตาย
หนังเรียบๆนิ่งๆ ของคุโรซาว่าเรื่องนี้ นอกจากจะพูดถึงคุณค่าและความหมายของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์แล้ว ยังเสียดสีระบบราชการแบบเช้าชามเย็นชามของญี่ปุ่น (ในยุค 1950s และในยุคปัจจุบันของบางประเทศ) ที่ทำงานเพียงเพื่อหวังยศหวังตำแหน่งเลียแข้งเลียขาเจ้านาย ในขณะที่ความทุกข์ร้อนของประชาชนเป็นเรื่องรอง แต่ละแผนกโยนเรื่องความทุกข์ของประชาชนไปๆมาๆ ปัดความรับผิดชอบกันแบบไม่ใส่ใจ
วาตานาเบ้ เริ่มลงพื้นที่เพื่อรับรู้ความทุกข์ร้อนและความต้องการของชาวบ้าน เขาเริ่ม fight กับระบบราชการเดิมๆและผู้มีอิทธิพลหลายต่อหลายกลุ่ม เพื่อสร้างสวนสาธารณะในแหล่งเสื่อมโทรมแห่งหนึ่งของเมือง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในแถบนั้น จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
ฉากสุดท้ายในงานศพคือความสะเทือนใจขั้นรุนแรง เมื่อเพื่อนร่วมงานของวาตานาเบ้ มัวแต่เลียแข้งเลียขานายกเทศมนตรีว่าสวนสาธารณะแห่งนั้นเกิดได้ก็เพราะท่านนายกฯ วาตานาเบ้ไม่ได้ทำอะไร แถมยังเป็นตัวน่ารำคาญเพราะก้าวก่ายงานของส่วนอื่นเขาไปทั่ว เกือบทุกคนปรามาสวาตานาเบ้ในงานศพของเขาเอง แต่ลูกชายของเขาก็ไม่มีแม้แต่น้ำตาสักหยด!!!
งานผ่านไป นายกเทศมนตรีขอตัวกลับบ้าน ชาวบ้านในเขตที่ไปสร้างสวนสาธารณะเข้ามาเคารพศพ พวกเขาไม่พูดอะไร มีแต่น้ำตาที่หลั่งไหลมาเป็นสายให้กับชายชราที่ชื่อวาตานาเบ้ ผู้พยายามทำทุกอย่างเพื่อชาวบ้านที่นั่น
เวลาผ่านไปอีก... เมื่อทุกคนดื่มสาเกกันจนเริ่มเมามาย จากที่เคยเลียนายกเทศมนตรี ทุกคนเริ่มพูดถึงสิ่งที่วาตานาเบ้ทำในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาลงทุนลงแรงใดๆไปเท่าไหร่ เพียงเพื่อคุณภาพชีวิตของชาวบ้านที่นั่น (ช่วงนี้หนังตัดสลับฉากงานศพกับเหตุการณ์ในอดีต) ก่อนที่คนทั้งหมดจะลงสัตยาบันว่า "ต่อไปนี้เราจะไม่เช้าชามเย็นชาม เราจะทำทุกอย่างเพื่อประชาชน"
เมื่อทุกคนสร่างเมาในรุ่งเช้า ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาพเดิม....
The Invasion (สหรัฐอเมริกา, Oliver Hirschbiegel, 2007, A-)
แครอล เบนเนลล์ จิตแพทย์สาวผู้อาศัยอยู่กับลูกชายในกรุงนิวยอร์คหลังหย่ากับสามี เริ่มพบความผิดปกติของผู้คนหลังจากที่เกิดเหตุอุกกาบาตตกในอเมริกา ทั้งสามีเก่าที่พฤติกรรมเปลี่ยนไป คนไข้พูดถึงสามีที่พฤติกรรมเปลี่ยนไป จนกระทั่งตอนหลังถึงรู้ว่าเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ต่างดาวที่คิดครองโลกด้วยการเข้าสิงในตัวคน เปลี่ยนให้คนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนหุ่นยนต์ มันใช้วิธีการหลายวิธี ทั้งบังคับขู่เข็ญซึ่งหน้า ไปจนถึงการเข้าสิงสามีของแครอลที่เป็น ผอ.ศูนย์โรคติดต่อ และแพร่เชื้อในรูปวัคซีนป้องกันโรค แทบจะทันทีหลังเกิดเหตุอุกกาบาต
สิ่งที่ทำให้ The Invasion เวอร์ชั่น 2007 ต่างจากหนังแนวมนุษย์ต่างดาวบุกโลกเรื่องอื่นๆ ก็เพราะว่าแทนที่มนุษย์ต่างดาวพวกนี้บุกโลกแล้วจะมุ่งสร้างความเสียหายให้โลกหรือเผ่าพันธุ์มนุษย์ กลับกลายเป็นว่าสถานการณ์แย่ๆบนโลก กลับกลายเป็นดีแทบทุกอย่าง
ฉากที่โต๊ะกินข้าวในบ้านพ่อแม่ของสามีเก่าของแครอล คือฉากที่ใช้เวลาน้อยแต่กินความที่ต้องการสื่อได้มหาศาล ด้วยการให้แครอล(ซึ่งเป็นคนเดียวในบ้านนั้นที่ยังเป็นคนปกติอยู่) เข้าไปทานข้าวกับพ่อแม่สามีเก่า แล้วทีวีก็เปิดทิ้งไว้ ในข่าวพูดถึงสงครามอิรักที่จบลง วิกฤตการณ์ดาร์ฟูร์ที่เลิกแล้วต่อกัน ความขัดแย้งบุช-ชาเวซสิ้นสุดลง อินเดียกับปากีสถานลงสนธิสัญญาสงบศึก และอื่นๆอีกมากมายที่ทำให้เราเห็นว่า มนุษย์ต่างดาวเหล่านี้มาสร้างสันติภาพให้โลก นำโลกกลับสู่ความสงบสุข
แต่แม่มนุษย์ปกติอย่างแครอลและคนอื่น ดันไม่ยอมรับซะนี่!!!
จากที่พอรู้มา The Invasion เวอร์ชั่นแรกๆ สร้างออกมาเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ (ซึ่งอเมริกาก็ไม่ได้รู้อะไรจริงจังนักหรอกว่าไอ้นิสต์ๆนี่มันคืออะไร มีแนวคิดยังไง ต่อต้านไว้ก่อน) เลยสันนิษฐานไว้ว่าภาพของมนุษย์ต่างดาวที่ออกมาในหนังเวอร์ชั่นเก่าน่าจะต่างจากเวอร์ชั่น 2007 อยู่พอสมควร
ทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงต้องเข้าสิงคนแล้วคนคนนั้นต้องไร้แล้วซึ่งอารมณ์ความรู้สึก? ตรงนี้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะผู้กำกับต้องการแสดงให้เห็นถึง "ความไม่มีชนชั้น" ที่คอมมิวนิสต์ยึดถือหรือเปล่า? เพราะปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ก็เกิดจากความแตกต่างทางด้านชนชั้น ด้านวัฒนธรรม ด้านความเชื่อ จนเกิดความขัดแย้งและเข่นฆ่าประชาชนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
สิ่งที่ตัวละครเอกเชื่อ คือคนจะหมดสิ้นความเป็นคน หากกลายเป็นตัวอะไรที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก หรืออีกนัยก็คือ คนจะหมดสิ้นความเป็นคน หากโลกนี้ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นดั่งเช่นในปัจจุบัน พวกเธอถึงได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อกำจัดมนุษย์ต่างดาวพวกนี้
แม้ว่าตอนจบของเรื่องนี้จะเข้าข่ายมักง่าย (ไม่ใช่ความผิดของผู้กำกับเจ้าของผลงานยอดเยี่ยมเรื่อง Downfall คนนี้ หากแต่เป็นความผิดของสตูดิโอที่เร่งแก้ตอนจบให้ถูกใจตัวเองจนเละเทะและมักง่าย) แต่คำพูดหนึ่งของฝ่ายตัวละครเอกที่น่าสนใจมากก็คือ "เราไม่รู้ว่าจะดีขึ้นหรือเลวลง แต่อย่างน้อยเราก็กลับมาเป็นคนเหมือนเดิม" และก็ตามมาด้วยภาพของสงครามอิรักบนหน้าหนังสือพิมพ์ กับทหารอเมริกันที่ตายเป็นใบไม้ร่วงทุกวันๆ....
2 Days in Paris aka Deux jours à Paris (ฝรั่งเศส+เยอรมนี, Julie Delpy, 2007, A เกือบบวก)
Marion สาวฝรั่งเศส กับ Jack ชายหนุ่มชาวอเมริกันเป็นคู่รักที่ไม่ใคร่จะลงรอยกันเท่าไหร่ ทั้งคู่ได้ไปเที่ยวเวนิสด้วยกันแต่ก็ยังมีบรรยากาศของความไม่เข้าใจกัน ก่อนที่พวกเขาจะกลับอเมริกาก็เลยแวะไปพักที่บ้านของ Marion ในปารีสเสียสองวันเพื่อฆ่าเวลา ก่อนที่วันเวลาสองวันนั้นจะทำให้ชีวิตคู่ของพวกเขาต้องเปลี่ยนไป
หนังมันออกจะเป็นฝรั่งเศสนิดๆ คือนิ่งๆ เรียบๆ แต่เรื่องนี้จะต่างกับฝรั่งเศสปกติที่จะเงียบด้วย เพราะเรื่องนี้จะเน้นพูดๆๆๆๆๆ คุยๆๆๆๆๆ เถียงๆๆๆๆๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยหลักก็คือความไม่ลงรอย และความไม่เข้าใจกันของสองพระนาง ตลอดเวลาที่อยู่ฝรั่งเศส พร้อมกับบรรดากิ๊กเก่าที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายให้ชีวิตคู่ของคนทั้งคู่
ทั้ง Adam Goldberg กับ Julie Delpy เล่นได้ดีมากๆ คือมันไม่มากเกินไป ดูเป็นคนปกติที่มีชีวิตคู่ธรรมดาๆ คู่นึง ไม่เล่นใหญ่เกินเหตุ และทำให้เราเชื่อในความรักของคนทั้งคู่ โดยเฉพาะฉากที่ทะเลาะกันตอนท้าย และหนังจบลงในห้องนอนของทั้งคู่ในวันสุดท้ายที่จะอยู่ปารีส เป็นไคลแมกซ์ที่สะเทือนอารมณ์ใช้ได้เลย
ไชยา aka Muaythai Chaiya (ไทย, ก้องเกียรติ โขมศิริ, 2550, A)
หนังไทยเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของการประเคนแอ็คชั่น martial arts อะไรมากมายเหมือนกับหนังอย่าง องค์บาก หรือว่า ต้มยำกุ้ง แต่หนังเรื่องนี้พูดถึงความเป็นเพื่อน เส้นทางชีวิตที่ต่างกัน และมุมมืดของวงการมวยไทย ที่ค่อยๆกัดกินจิตใจของศิลปะอันทรงคุณค่านี้ไปทุกทีๆ เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้คือหนังดราม่าที่ปนแอ็คชั่นเข้ามาแบบพอกล้อมแกล้มเป็นพิธี
ตัวละครเอกลูกทะเลทั้งสามต่างก็พยายามตามหาฝันด้วยการมาขึ้นชกที่เวทีมวยราชดำเนิน หลังจากที่พี่ชายของหนึ่งในสามคนนี้เข้ากรุงมาเพื่อประกาศศักดาของ "มวยไชยา" ให้คนได้รับรู้ แต่สิ่งที่พวกเขาเจอคือความเน่าเฟะของวงการมวยที่มีอำนาจเงินเข้ามาแทรกซึมอยู่ทุกอณู ตั้งแต่วงการพนันในสนาม มาจนถึงการรับจ้างล้มมวยของครูมวยทั้งหลาย จน "เปี๊ยก" และ "สะหมอ" อดรนทนไม่ได้ลงมือลงตีนกับครูมวยเห็นแก่เงิน และออกจากค่ายไป ก่อนที่ทั้งสองคนจะเข้าไปอยู่ในวงการมวยใต้ดิน ที่พยายามงัดข้อกับเจ้าของอิทธิพลเดิมในเวทีมวยราชดำเนิน ในขณะที่ "เผ่า" ยังคงต่อยมวยอย่างสุจริต แต่ก็ไม่วายถูกอิทธิพลมืดเข้าเล่นงาน
ถึงแม้หนังจะเลือกโปรโมตด้านงานแอ็คชั่น(คาดว่าเพื่อขายตลาดต่างประเทศ เพราะแอ็คชั่นมวยไทยกำลังมาแรง-มั้ง) แต่เอาเข้าจริงแล้วหนังเรื่องนี้กลับเป็นหนังดราม่าน้ำดีเรื่องหนึ่งที่มีศักดิ์ศรีไม่ด้อยกว่าเรื่องก่อนหน้านี้ เรื่องบทภาพยนตร์ถือว่าเกลามาเป็นอย่างดีเหมือนกับผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับเรื่อง "ลองของ"
อีกด้านที่ "ไชยา" โดดเด่นคือการแสดง คนที่ควรค่าแก่การชื่นชมได้แก่ อัครา อมาตยกุล, สนธยา ชิตมณี และสุดเซอร์ไพรส์คือบทสมทบเล็กๆ ของจี๊ด-แสงทอง เกตุอู่ทอง อดีต "จิน" จากหมานคร ผู้ซึ่งสร้างความสงสัยให้ผมมานานว่า เธอเข้าถึงคาแรคเตอร์จิน หรือเธอเล่นแข็งๆแล้วมันบังเอิญ "ใช่" (เหมือนกรณีของจีน-มหาสมุทร จากหมานครเช่นเดียวกัน) แต่เมื่อเห็นการแสดงของเธอในเรื่องนี้ก็ขอฟันธงว่า นางแบบแฟนอนันดาคนนี้มีความสามารถจริงๆ
อีกอย่างที่ต้องชมคือการออกแบบฉาก ทั้งฉากชกมวยบนเวทีราชดำเนิน ฉากสู้ในเวทีมวยใต้ดิน และฉากที่ผมชอบมากที่สุดคือฉากควักปืนจากชามหูฉลาม เท่โคตรๆ เก๋าเกมสมกับเป็นเจ้าพ่อ
จุดที่ผมไม่ค่อยชอบก็คือช่วงที่เปิดเผยความจริงทั้งหมดของเรื่องก่อนจะจบ คือมันเหมือนกับว่าหนังพยายามให้ตัวละครทุกตัวดูเป็นคนดีไปหมด ตั้งใจมากจนเกินไปจนมันดูกระเดียดไปทางน้ำเน่า แถมการให้ตัวละครตัวหนึ่งมีนิสัยชอบเป่าฮาร์โมนิก้า นอกจากจะไม่เข้ากับบรรยากาศโดยรวมของหนังแล้ว ยังให้ความรู้สึกเหมือนไปก๊อป Infernal Affairs มา...
Hwang Jin Yi (เกาหลีใต้, Chang Yoon-hyun, 2007, B-)
หนังพีเรียดเกาหลีว่าด้วย "ฮวางจินยี" ลูกสาวขุนนางคนหนึ่งที่ชาติกำเนิดถูกเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วเป็นลูกคนใช้ที่พ่อตัวเองไปข่มขืนเอาไว้ เธอจึงตัดสินใจสละยศภาบรรดาศักดิ์ แล้วเดินทางเข้าสู่เส้นทางสาย "คีแซง" (เหมือนเกอิชา แต่เป็นเกาหลี) เพื่อพิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นว่าเธอไม่ต้องอาศัยความเป็นขุนนางก็ยืนหยัดอยู่ในสังคมนี้ได้ แม้จะประกอบอาชีพเต้นกินรำกินก็ตาม
จริงๆหนังมีองค์ประกอบที่จะทำให้ดูดีและน่าติดตามได้มากกว่านี้ แต่ผู้กำกับดันทำให้หนังออกมาเรียบ นิ่ง น้ำเน่า และน่าเบื่อเกินไป บวกกับเราไม่ได้รู้สึกอินไปกับเรื่องราวของฮวางจินยีเท่าไหร่ โดยเฉพาะจุดไคลแมกซ์กลางเรื่องที่ฮวางจินยีได้ "บรรลุสัจธรรม" ก็ทำออกมาเหมือนผ่านๆมากเกินไป ไม่ชวนให้เรารู้สึกว่าเธอเปลี่ยนตัวเองและเรียนรู้ชีวิตจากคำพูดของนักปราชญ์คนนั้น
สิ่งเดียวที่น่าจดจำในหนังเรื่องนี้คือความสวย และการแสดงที่ใช้ได้ของ ซองเฮเคียว เท่านั้นเอง
Midnight Sun aka Taiyo no Uta (ญี่ปุ่น, Koizumi Norihiro, 2006, B เกือบบวก)
หนังแนวความรักที่เป็นไปไม่ได้แบบเอเชียตะวันออกอีกเรื่อง เรื่องนี้ว่าด้วยนางเอกเสียงดีผู้อาภัพเป็นโรค XP ที่โดนแสงอาทิตย์ไม่ได้เป็นอันตรายถึงตาย วันๆต้องออกไปร้องเพลงสนองนี้ดตัวเองตอนกลางคืน แล้วดันไปหลงรักผู้ชายเข้าให้คนนึง (ก็พระเอกนั่นแหละ) ก็เลยบังเกิดเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ และจบยังไงก็รู้ๆกันอยู่ เดาได้ตั้งแต่เห็นตัวอย่าง
เอาเถอะ เงินหนึ่งร้อยบาทเข้าไปฟังเพลงของ "น้องยุ้ย" นางเอกก็ถือว่าพอทำเนา เพลงเพราะและก็เข้ากับเนื้อเรื่องดี (เขาเขียนเนื้อเรื่องเพื่อให้ใส่เพลงเข้าไปได้หรือเปล่าวะ) การแสดงก็เป็นแบบหนังญี่ปุ่นทั่วไปนั่นแหละ คือเล่นกันเหมือนอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่น 5555555555
อนึ่ง พระเอกนางเอกชอบไปคุยกันอยู่ตรงรางรถไฟเหลือเกิน ถ้าผมเป็นคนกำกับ อาจจะเขียนให้รถไฟวิ่งมาทับมันสองคนตายห่าไปแล้วก็ได้ กรั่กๆๆๆๆ
The Corporation (แคนาดา, Mark Achbar, 2003, A++++++)
หนังเรื่องนี้ดูในคลาส Intro IR (Introduction to International Relations - ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) ในพาร์ตว่าด้วย IPE (International Political Economy - เศรษฐกิจการเมืองโลก) โดยหลักๆก็พูดเรื่องการกำเนิดของบรรษัทอะไรเทือกนั้น อ.สุรัตน์เลยเอาเรื่องนี้มาให้ดูแล้วบอกว่าจะออกสอบ
ผมไม่อาจสรุปเนื้อเรื่องของ The Corporation ย่อๆได้ เพราะตลอดสองชั่วโมงครึ่งของมันเต็มไปด้วยข้อมูล ข้อมูล ข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริง ซึ่งล้วนแล้วแต่ตรงประเด็นและเจ็บแสบเป็นที่ยิ่ง การที่จะสรุปเนื้อความรวมๆให้เห็นเรื่องราวนั้นจึงไม่สามารถทำได้ (นอกจากจะหยิบดีวีดีขึ้นมานั่งเปิดดูไปเรื่อยๆ แล้วนั่งพิมพ์ตามไปด้วย ซึ่งผมก็ไม่มีดีวีดีด้วยสิ - แต่เค้าจะแถมใน "ฟ้าเดียวกัน" เล่มล่าสุดนะ.. อยากได้~~~) นอกจากคำว่า "ชำแหละบรรษัทชนิดหมดทุกอณูของร่างกาย" (ซึ่งระหว่างที่นั่งดูนั้น เพื่อนค่อนคลาสผู้ยังไม่มีภูมิต้านทานในการดูสารคดีก็บ่นแทบทุกสองนาทีว่า "เมื่อไหร่จะจบวะสาดด" ส่วนผมก็ได้แต่คิดในใจ "อะไรฟระ สนุกจะตาย!!")
มุขที่ฮามากๆของสารคดีเรื่องนี้คือตอนที่สารคดีเรื่องนี้ทำตัวเหมือนเป็นจิตแพทย์ แล้วบรรษัทมหาอำนาจเป็นคนไข้ พร้อมกับค่อยๆบอกอาการทางจิตของบรรษัทมาทีละข้อๆ จนได้ข้อสรุปว่า บรรษัทคือคนไข้โรคจิตที่อยู่ในขั้นวิกฤติ (555+) สมกับที่คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. เอาไปตั้งหัวข้อเสวนาว่า "บรรษัทวิปลาส"
หนังขับเคลื่อนเรื่องราวด้วยการสัมภาษณ์ผู้คนที่มีความเห็นเกี่ยวกับบรรษัท ตั้งแต่ NGO เลือดร้อนอย่างไมเคิล มัวร์, นักการเมือง, นักวิชาการอย่าง Noam Chomsky และไม่เว้นเจ้าของบรรษัทเอง โดยเล่าเรียงร้อยสลับกันไปมากับฟุตเตจข่าวและภาพเหตุการณ์จริงจากทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่เกาหลีใต้ยันโบลิเวีย
ถึงแม้หนังจะนำเสนอในรูปแบบเดียวกับไมเคิล มัวร์ แต่หนังก็ใจกว้างมากพอที่จะสัมภาษณ์เจ้าของบรรษัทให้คำแก้ตัว หรือสัมภาษณ์นักคิดที่ศรัทธาระบบบรรษัทมากอย่าง Noam Chomsky เพื่อแก้ตัวให้กับสิ่งที่ผู้คนกล่าวหาว่าบรรษัททำให้เกิดขึ้น และเรียกร้องให้ออกมาแสดงความรับผิดชอบ ตรงนี้ถือเป็นความใจกว้างของทีมทำสารคดีชุดนี้ (เอาเถอะ.. แม้ว่าตอนหลังจะเอาฟุตเตจบางอย่างมาบอกว่า ไอ้บรรษัทนี่มันตอแหล ก็ตาม 5555+)
เอาเป็นว่า ใครอยากดูอะไรมันส์ๆ เหมือน Fahrenheit 9/11 ของไมเคิล มัวร์ เรื่องนี้ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งขอรับ ^^
The Truth be Told: The Cases Against Supinya Klangnarong (ไทย, พิมพกา โตวิระ, 2550, A)
หนังสารคดีที่ใช้เวลานานนับสามปีในการตามติดชีวิตของ สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้เขียนบทความ "เอ็นจีโอประจาน 5 ปีรัฐบาลไทย ชินคอร์ปรวย" ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ จนโดนทักษิณฟ้องเรียกค่าเสียหายร่วม 400 ล้านบาทในข้อหาหมิ่นประมาท
พิมพกา โตวิระ ตามติดชีวิตของสุภิญญาตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของคดี จนถึงวันที่เธอชนะคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนมหาศาล แต่สิ่งที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังการเมืองแยกค่ายคนรัก/เกลียดทักษิณ หากแต่เป็นหนังชีวิตที่มุ่งถ่ายทอดชีวิตของสุภิญญา หลังจากที่เจอกับมรสุมจนต้องเดินเข้าๆออกๆศาลเป็นว่าเล่นตลอดเวลาร่วมสามปี(ถึงกระนั้นเธอก็ยังมีอารมณ์ขันกับพ่อแม่ อย่างช่วงต้นเรื่องที่เธอพูดกับแม่ว่า "มือถือแม่ก็ AIS นี่") รวมไปถึงการสะท้อนภาพของญาติพี่น้อง และสภาพสังคมในช่วงร้อนแรงจากการชุมนุมขับไล่ผู้นำ
หนังเล่าเรื่องด้วยท่าทีเรียบเฉย สงบ และไม่เข้าไปแทรกแซงเหตุการณ์โดยรอบ แม้ว่าจะอยู่ในบ้านของสุภิญญา หรืออยู่ท่ามกลางม็อบสนธิ สิ่งที่พิมพกาถามผู้ร่วมเหตุการณ์ในแต่ละเหตุการณ์ ไม่มีคำถามชี้นำหรือพูดถึงเรื่องการเมือง หนังกำลังจะจบอย่างที่เรารู้กัน ก็คือชัยชนะในเสรีภาพของสื่อและสุภิญญา กลางณรงค์
และแล้วความชิบหายก็เกิดขึ้นในวันที่ 19 กันยายน 2549.... ชัยชนะที่ได้มานั้นสูญเปล่า และถูกนำไปใช้เป็นหนึ่งในข้ออ้างของการขึ้นสู่อำนาจของสถาบันทหาร ทั้งสุภิญญาและพิมพกาต่างตั้งคำถามกับตัวเองว่า ที่เราทำไปนั้นเราได้อะไรกลับมากันแน่?
ฉากจบของหนังที่กล้องซูมเข้าไปหาต้นไม้ใบเขียว ในขณะที่เสียงแบ็คกราวนด์นั้นเป็นเสียงของสุภิญญาคราวที่ปราศรัยอยู่บนเวทีม็อบพันธมิตร เป็นฉากจบที่สวยงามและ irony กรีดใจเหลือเกิน...
สายลับจับบ้านเล็ก aka Bedside Detective (ไทย, คมกฤษ ตรีวิมล, 2550, C เกือบบวก)
นอกจากเป็นหนังจีทีเอชที่ผมเกลียดที่สุด (ไม่นับ "โกยเถอะโยม" เพราะว่ายังไม่เคยดู และไม่คิดจะดู) นี่คือหนังของเหล่าผู้กำกับแฟนฉันที่ผมเกลียดที่สุดเช่นกัน (หนูหิ่นเดอะมูฟวี่ ผมยังชอบมากกว่าเรื่องนี้) แต่ถึงจะบอกว่าเกลียดหนังเรื่องนี้ อย่างน้อยหนังเรื่องนี้ก็มีข้อดีอยู่บ้าง ขอชี้แจงเป็นข้อๆไปก็แล้วกัน
1. การแสดงที่สอบผ่าน ซันนี่+พีค+โอปอล์+เหล่าสามีตัณหากลับ+เหล่าเมียหลวงเหลาเหย่ ไม่ได้ให้การแสดงที่แย่อะไรมากนัก คนที่การแสดงมาตรฐาน drop ลงไปมากที่สุดคือ แจ๊ค ผมรู้สึกว่าเขาตื่นกล้องมากกว่าตอนเล่น "แฟนฉัน" เสียอีก...
2. ประเด็นทางสังคมเรื่อง "บ้าน" ชอบตัวละครน้ำปั่นที่ฝันจะมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลัง เลยเลือกเส้นทางพริตตี้เพื่อทำงานเก็บเงิน และเป็นเมียเก็บเศรษฐีเพื่อเก็บเงินให้มากขึ้น เพื่อที่จะซื้อบ้านในฝันสักหลัง โดยที่เธอไม่รู้ความหมายของ "บ้าน" ที่แท้จริง (แต่ก็ดันแตะประเด็นนี้แค่ผิวๆ เหมือนใส่เข้ามาให้ดูมีสาระไปงั้น)
3. เพลงที่เข้ามาถูกจังหวะ ทั้ง "ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ" ที่แทรกเข้ามาสองหน และ "คนของเธอ" ในตอนจบ สอดรับกับอารมณ์หนังตอนนั้นได้ดี หากแต่บริบทอื่นไม่ได้ช่วยให้เราอินกับสามฉากนั้นมากมายนัก
จบแล้วครับ ข้อดีของ "สายลับจับบ้านเล็ก"
ผมรู้สึกว่า "สายลับจับบ้านเล็ก" เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาด้วยเจตนารมณ์ประมาณว่า เราจะทำหนังตลกรวมดาราจีทีเอชทั้งหลายทั้งปวงโดยมีผู้กำกับแฟนฉัน และนางเอกน่ารักๆ อีกหนึ่งคน
ทั้งหลายทั้งปวงนั้นจึงเหมือนเป็นเพียงหนังที่ทำแบบ "เอามันส์เข้าว่า"
สายลับจับบ้านเล็ก เป็นหนังจีทีเอชที่เริ่มกระเถิบตัวเข้าใกล้ความเป็นหนังตลกคาเฟ่เข้าไปทุกที แม้ว่ามุขคำหยาบในเรื่องนี้จะไม่มากเท่ากับหนังตลกคาเฟ่กำกับเรื่องก่อนหน้า แต่ก็ถือว่ามากเกินความจำเป็นไปอักโข (โดยเฉพาะไดอะล็อกของโอปอล์กับแจ๊ค มันดูผิดธรรมชาติไปหน่อย)
ตัวละครจำนวนมหาศาลที่เหมือนใส่เข้ามาเพื่อหางานให้คนทำ เช่น แก๊งทวงหนี้ที่ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จนไปถึงนักสืบนิสัยเลวแต่รักหมา (เฮียทิชชู่ห้าบาทเล่นได้โรคจิตดี) เหมือนเป็นตัวละครที่ใส่เข้ามาเพื่อให้เอื้อกับมุขแบบคาเฟ่ มุขประเภทเจ็บตัว มุขควาย และเพื่อฉากสตึๆ ท้ายเรื่องอย่างฉาก "พี่เก็บตกโดดรับกระสุนแทนซันนี่"
ถ้าไม่ติดว่าผมอยู่ในโรงหนัง ผมคงตะโกนด่าไปแล้วว่า "อะไรของมึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง"
ผมอยากจะร้องไห้... เสียดายเงินเจ็ดสิบบาท ทั้งที่หนังก็วางพล็อตโรแมนติกของจ๊อกกับน้ำปั่นออกมาได้ไม่แย่ วางบทตลกของโอปอล์ออกมาได้ไม่เลว การแสดงก็โอเค แต่ทำไมบทภาพยนตร์และโครงเรื่องมันถึงได้เละเทะเหลวเป๋วได้ขนาดนี้??
ผมถึงบอกว่ามันเหมือนหนังสนองตัณหาคนทำน่ะครับ อย่างบทคนทวงหนี้ก็เหมือนใส่มาให้เพื่อนก๊วนแฟนฉันมีหนังเล่น (ถ้าจำไม่ผิดคือคุณปิ๊ง หมากเตะ) บทแจ๊คก็เหมือนใส่มาให้แจ๊คมีหนังเล่น ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย บทนักสืบเลวนั้นจะว่าไม่จำเป็นก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เหตุการณ์ไล่ยิงกันในช่วงท้ายมันออกทะเลไปไกลโขเสียยิ่งกว่ามุขตลกสถุลของ "คนหิ้วหัว" เสียอีก!!!
หลังจากปฏิบัติการแย่งชิงซีดีคลิปนางเอกนัวเนียกับเสี่ย เมื่อพวกพระเอกนางเอกมาจนมุมไอ้นักสืบ นางเอกตะโกนออกมาว่า "อยากได้ซีดีนี่นักใช่มะ!!" แล้วก็ขว้างออกไปสุดแรงเกิด แล้วซีดีแผ่นนั้นก็ลอยไปตกใส่หน้าผากของปิ๊ง หมากเตะได้ยังไงก็ไม่รู้ แล้วแผ่นซีดีนั้นก็ไปถึงมือของคุณนายเมียไอ้เสี่ยตัณหากลับ!!! (อะไรเนี่ย!!)
โดยเฉพาะตอนที่ไอ้นักสืบชุดดำนั่นยิงนางเอกพร้อมกับพูดว่า "อีเมียน้อย!! ตายซะเถอะ" อันนี้เรียกว่าโคตรแห่งความมักง่ายของการเขียนบทครับ มักง่ายยิ่งกว่าฉากพ่อบ้านบอกความจริงแฮร์รี่ในสไปเดอร์แมนสาม ทั้งๆที่ฉากก่อนหน้านั้นไอ้นักสืบตัวนี้มันยังทำตากรุ้มกริ่มโลมเลียนางเอกอยู่เลย ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีมันยิงนางเอกแบบไม่ต้องคิดอะไร (แล้วก็ไปสู่ฉากสตึๆ คือซันนี่เอาตัวมาบังนางเอก แล้วเจ้าเก็บตกก็กระโดดมารับกระสุนแทนซันนี่ แล้วไอ้นักสืบเลวแต่รักหมาก็เกิดอาการสำนึกผิด.... อะไรของมืงงงงง!!!!!) แถมทั้งเรื่องก็ไม่ได้มีส่วนไหนที่หนังบอกว่านักสืบตัวนี้เกลียดเมียน้อย เป็นพวกคลั่งศีลธรรม เพราะมันก็ทำงานนี้เพื่อเงินเท่านั้น
จีทีเอชครับ.... ความถนัดของคุณไม่ใช่ตลกคาเฟ่ เลิกพยายามเถอะ!!!
Create Date : 02 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 17 ตุลาคม 2550 6:10:50 น. |
|
16 comments
|
Counter : 2718 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ป๊ากบิ๊กเปา IP: 69.26.104.98 วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:6:42:00 น. |
|
|
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:13:31:15 น. |
|
|
|
โดย: Unravel วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:13:52:12 น. |
|
|
|
โดย: myo IP: 161.200.96.253 วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:14:29:02 น. |
|
|
|
โดย: pangz วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:23:53:28 น. |
|
|
|
โดย: มุก IP: 125.25.73.0 วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:13:39:01 น. |
|
|
|
โดย: >>...++"J:o:Y"++...<< IP: 58.8.189.243 วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:17:55:53 น. |
|
|
|
โดย: S e m a k u t e k ! IP: 124.121.230.161 วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:21:54:49 น. |
|
|
|
โดย: iaiapprentice IP: 59.141.98.178 วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:22:59:01 น. |
|
|
|
โดย: จั่น* IP: 58.8.71.224 วันที่: 19 ตุลาคม 2550 เวลา:0:23:38 น. |
|
|
|
โดย: KITAMURA IP: 125.24.39.226 วันที่: 24 ตุลาคม 2550 เวลา:3:55:44 น. |
|
|
|
โดย: msdonat วันที่: 31 ตุลาคม 2550 เวลา:18:18:30 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าดิน วันที่: 19 พฤศจิกายน 2550 เวลา:3:28:49 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
คนในสังคมจารีตที่มีความคิดทางเวลาแบบไตรภูมิจะไม่ให้ความสำคัญแก่เวลาตามประสบการณ์ กล่าวคือไม่ให้ความสำคัญแก่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงของชีวิตและสังคมว่าดำเนินมาและดำเนินไปอย่างไร เชื่อในการคลี่คลายเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสังคมซึ่งจะต้องเป็นเช่นนั้นตามกฎแห่งเวลาของพุทธศาสนา
- อรรถจักร สัตยานุรักษ์ (จากบทความ "ความเปลี่ยนแปลงความคิดทางเวลาในสังคมไทย" วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง 4 ตุลาคม 2531)
Let this song rhyme our souls when your voice and mine become one and whole.
Let it carry us high above When we recite our poetry of love that when there's love then there's hope.
Your love is my light, and it'll get us through this lonely night.
- รักแห่งสยาม (ซับไตเติ้ลอังกฤษเพลง กันและกัน ท่อนฮุค)
|
|
|
|
| |
|
|
ฟังเพลงแล้วตอนแรก เดาว่าหนังน่าจะมันมากๆ
ดูเหมือนจะฮานะ (ปะ) แต่อ่านของคุณพี่แล้ว
ผิดหวังไปด้วยเช่นกัน
แต่รักโอปอล์อะ ><"