1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30
ทำไมถึงทุกข์ใจ ทำไมถึงไม่ทุกข์ใจ
ทำไมถึงทุกข์ใจ ทำไมถึงไม่ทุกข์ใจ . ผมได้เฝ้าดูขบวนการของทุกข์ใจทีเกิดขึ้นมานานมาก จนพบกลไกของทุกข์ใจได้ในทีสุด บทความนี้ จะบอกให้พวกท่านได้ทราบ จะได้ไม่เสียเวลาในชีวิตไปเปล่า ๆ เมื่อท่านอ่านจบเรื่องทีผมเขียน ท่านอาจพูดกับตนเองว่า มันง่าย ๆ นี่ ไม่เห็นยุ่งยากอะไรเลย แต่ถ้าท่านลองหาเอง โดยทีไม่มีใครบอกท่านมาก่อน ท่านจะพบได้หรือไม่ คงขึ้นกับบุญบารมีของท่านแล้วละ . สิ่งทีเขียนนี้ เมื่อท่านอ่านแล้ว ท่านต้องพิสูจน์เองต่อไป อย่าได้เชื่อผม ให้พิสูจน์เองว่า สิ่งทีผมบอก เป็นจริงหรือไม่ ถ้าจริง ขอให้ท่านนำไปใช้เพื่อดับทุกข์แก่ตนเอง ถ้าไม่จริง ขอให้ท่านลืมเรื่องนี้ไปเสีย แล้วก็ให้ไปค้นหาทางใหม่ด้วยตัวของท่านเอง . ทุกข์ใจ เกิดได้อย่างไร... ทุกข์ใจจะเกิดทุกครั้ง ทีจิตพลังงานวิ่งไปทีบริเวณหน้าผากของท่าน ในขณะที่ท่านไม่มีสติสัมปชัญญะในสติปัฏฐาน ดังนั้น เงื่อนไขของทุกข์ใจจะมี 2 อย่างคือ . 1..จิตพลังงงานวิ่งไปทีหน้าผาก 2..ตัวท่านขาดการมีสติสัมปชัญญะในสติปัฏฐาน . ถ้า 2 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ท่านจะมีอาการทุกข์ใจเกิดทันที ถ้าท่านจะสลายทุกข์ใจ ท่านเพียงทำให้ อย่าให้เข้าเงื่อนไขใน 2 ข้อ หรือ เพียงข้อใด ข้อ 1 ก็ได้เช่นกัน . ข้อ 1 นั้น ถ้าท่านมีเรื่องต้องคิด ต้องทำทางโลก จิตพลังงานจะวิ่งมาทีหน้าผากทันที ถ้าท่านไม่ต้องคิด ไม่ต้องทำงานทางโลก จิตพลังงานจะไม่วิ่งมาที่นี่ แต่ว่า ความเคยชินทีท่านเคยทำงานทางโลกมาก่อน ปัญหาต่างๆ ในชีวิตทีท่านพบอยู่ ถึงแม้ว่า ท่านไม่ทำงานทางโลก จิตพลังงงานก็จะมาค้างอยู่ทีนี่เช่นกัน ด้วยความเคยชินในนิสัย - ภาษาไทยหยาบ ๆ เรียกว่า สันดาน - . การไม่รู้ว่า จิตพลังงานปรากฏค้างอยู่ทีนี้ คือ อวิชชา ในปฏิสมุปบาท ดังข้อแรกทีกล่าวว่า อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เจ้าพลังงานทีหน้าผากนี่แหละ คือ สังขาร ทีเกิดขึ้น เพราะท่านไม่รู้ว่าค้าง นี่คือ อวิชชา . ทำอย่างไร จึงจะรู้ได้ว่า ค้าง.. ท่านต้องมีดวงตาเห็นธรรมก่อนครับ ท่านจะเห็นมันได้ว่ามีพลังงานของจิตพลังงานค้างอยู่หรือไม่ ตรงนี้ ท่านต้องฝีกฝนสัมมาสติ สัมมาสมาธิไป จนเกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา แล้วท่านจะเห็นได้ . ข้อ 2 นั่นเป็นสิ่งทีท่านสามารถฝีกฝนขึ้นมาได้ ก็คือ การมีสติสัมปชัญญะ หรือทีเรียกว่า อยู่ในอารมณ์แห่งสติปัฏฐาน แล้วจะอยู่ในอารมณ์สติปัฏฐานได้อย่างไร.. ท่านต้องฝึกฝนขึ้นมา ผมได้บอกไปแล้วในกิจกรรมต่างๆ หรือในบทความต่างๆ ทีผมเขียนว่า ท่านสามารถฝีกได้อย่างไร . ทีนี้ ในของจริงในชีวิต เพียงท่านรู้ว่า ร่างกายท่านมีการสัมผัสอะไรอยู่ เช่นรุ้ว่า เสื้อผ้าสัมผัสกับร่างกายอยู่ เพียงรู้ได้เท่านี้ ท่านก็อยู่ในอารมณ์ของสติปัฏฐานแล้ว ซึ่งไม่ยากเลย แต่ที่ยากก็คือ ท่านรู้บ้างไม่รู้บ้างต่างหาก พอท่านเผลอตัว ไม่รู้ในอารมณ์สติปัฏฐาน พอข้อ 1 มีอยู่แล้ว จะทำให้ทุกข์ใจเกิดทันทีเลย แต่ถ้าทุกข์ใจท่านมีอยู่ ท่านมีสติปัฏฐานในข้อ 2 อยู่ ทุกข์ใจจะค่อยๆ สลายๆ ไป ซึ่งความเร็วในการสลาย ขึ้นกับพลังสติ พลังสมาธิของท่่านเอง ถ้าท่านมีพลังสติสมาธิที่แรง การสลายจะเร็วมาก ถ้าท่านไม่มีพลัง การสลายจะช้ามาก ๆ หรือไม่สลายเลย . ดังนั้น การหมั่นฝีกฝนให้มีอารมณ์สติปัฏฐานอยู่เสมอ จนเป็นนิสัย หรือ อยู่ใน สันดาน ใหม่ในใจท่าน จะเป็นเกราะป้องกันการทุกข์ใจได้ทันที . ข้อ 1 ท่านห้ามไม่ได้ เพราะท่านต้องทำงานทางโลก แต่ข้อ 2 ท่านทำได้ ถ้าท่านต้องการพ้นทุกข์ ท่านทำขี้นมาได้เลยครับ แล้วถ้าท่านมีสติปัฏฐานใน 2 ปรากฏตลอดเวลา ทุกข์ใจจะเกิดไม่ได้เลย . แต่ถ้าท่านเผลอเมื่อใด ทุกข์ใจเกิดได้ ถ้าสติปัฏฐานในข้อ 2 ของท่านดีมาก พอทุกข์ใจเกิด สติปัฏฐานข้อ 2 ทำงานทันทีอย่างเร็วสุด ทุกข์ใจดับทันทีเป็นไตรลักษณ์ให้ท่านเห็นจะ ๆ ได้เลย ท่านจะได้ปัญญาตามมา ทีเห็นไตรลักษณ์แบบนี้ แล้วท่านก็จะไม่ทุกข์ . เพียงท่านไม่ทุกข์ใจ เพราะมีสติปัฏฐานในข้อ 2 ทีดี ท่านไม่ต้องกลัวการตกนรก การไปอบาย ท่านจะไม่มีทางไปทีนั้น ท่านจะไปดีเมื่อตายไป . แต่ถ้าท่านมีสติปัฏฐานทีดีมาก และ ไม่มีข้อ 1 อยู่ ท่านจะไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป สิ้นสุดกันที โลกมนุษย์ห่วยๆ แบบนี้ บ๊ายบาย
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2560
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2560 11:28:32 น.
0 comments
Counter : 1342 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****